QZGS

[Fic QZGS] – A present (หวังเยี่ย)

Fic 全职高手 – A present (หวังเจี๋ยซี x เยี่ยซิว)
#หวังเยี่ย #HBDToWangjiexi #หวังHBD

note : เรื่องของคู่รักที่ไม่ค่อยพูดคำหวานกันสักเท่าไหร่

 

 

—–

 

 

 

“เจี๋ยซี นี่เอาจริง?”

 

เมื่ออีกฝ่ายพยักหน้าอย่างสุขุมเยือกเย็น เยี่ยซิวก็ได้แต่มองของในมือพลางทำหน้าจนใจ

 

เรื่องมันกลายเป็นแบบนี้ได้ยังไงกันนะ…

 

 

 

ย้อนกลับไปราวห้าชั่วโมงก่อน

 

หวังเจี๋ยซีจ้องมองหน้าจอคอมพิวเตอร์ของตัวเอง กวาดสายตาบนหน้าต่างโปรแกรม QQ ที่เปิดอยู่ หน้าจอโล่งๆ ที่มีแค่ข้อความจากเขาส่งไปฝ่ายเดียว ไม่มีข้อความตอบกลับจากอีกฝ่ายมาสามวันแล้ว…

 

เมื่อเช้ามีกล่องปริศนาจ่าหน้าถึงกัปตันแห่งเวยเฉ่า หวังเจี๋ยซีไม่สะทกสะท้านกับสายตาอยากรู้อยากเห็นของเพื่อนร่วมทีม เปิดกล่องด้วยสีหน้าเรียบเฉย

 

เมื่อเห็นของภายในกล่อง หวังเจี๋ยซีก็เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย หยิบกระดาษโน้ตที่วางเด่นหราอยู่ตรงกลางขึ้นมาอ่าน

 

‘ถึง : ท่านเทพหวัง นี่เป็นของขวัญให้คุณ คิดว่ามันต้องเหมาะกับแฟนคุณแน่ๆ เลย! จาก : แฟนคลับผู้หวังดี’

 

หวังเจี๋ยซีปิดกล่อง ใช้ร่างกายตนเองบังสายตาลูกทีม เอ่ยด้วยเสียงราบเรียบ “ไม่มีซ้อมกัน?”

 

เหล่าลูกทีมเวยเฉ่าตัวน้อยๆ ต่างพากันก้มหน้าก้มตาหลบกัปตัน แยกย้ายไปซ้อมกันเงียบๆ พื้นที่แออัดเมื่อครู่ดูโล่งขึ้นทันตา

 

 

หวังเจี๋ยซีเหลือบมองปฏิทินตั้งโต๊ะที่เป็นสีประจำสโมสรครู่หนึ่ง ตัดสินใจลุกขึ้นปิดคอมพิวเตอร์ แล้วเดินไปหาผู้จัดการที่ห้อง จากนั้นก็ซื้อตั๋วเครื่องบินมุ่งหน้าไปสู่หังโจว

 

 

สองชั่วโมงต่อมา ภายในร้านเน็ตก็มีโม่งโผล่มาคนหนึ่ง

 

ถังโหรวไม่แปลกใจ เพราะบุคคลที่อยู่ในร้านนั้นเป็นตัวเรียกโม่ง–แฮ่ม เรียกมหาเทพชั้นดี พอได้ฟังเสียงสุภาพตรงหน้าเคาท์เตอร์แล้ว ถังโหรวก็จัดให้โม่งคนใหม่อยู่ในหมวดคนคุ้นเคยทันที

 

“เยี่ยซิวอยู่ด้านนั้น เดี๋ยวฉันไปตามให้นะคะ”

 

สาวสวยหายไปครู่หนึ่ง ก็มีชายหนุ่มท่าทางโทรมๆ แต่งตัวมอซอออกมาแทน เยี่ยซิวคาบบุหรี่อย่างเอื่อยๆ ดูซึมกะทือเหมือนอดหลับอดนอนมาหลายวัน

 

“ไฮ”

 

เยี่ยซิวคีบบุหรี่ออกจากปาก มือเรียวบอบบางยกขึ้นทักทายโม่งหน้าร้าน โม่งคนนั้นไม่ได้ทักทายกลับ แต่เอ่ยปากถาม

 

“วันนี้คุณว่างไหม”

“หา? เอ่อ อันที่จริงก็ไม่ว่างหรอก…แต่จะให้ว่างก็ได้นะ เดี๋ยวเกอไปลาเจ้านายก่อน นายรอเดี๋ยว” เยี่ยซิวพูดถึงกลางประโยคก็ต้องกลับคำทันทีที่สัมผัสถึงไอบางอย่างลอยคุกรุ่น เมื่อบอกกล่าวเจ้านายเรียบร้อยเขาก็เดินออกมาหาโม่งที่ยืนรอนิ่งไม่ขยับไปไหน “เอ้า ไปกันเถอะ”

 

ผู้ที่ปิดหน้าปิดตามองมือเขาที่ยื่นมาให้ จากนั้นก็ค่อยๆ เลื่อนมาจับช้าๆ

 

 

ชายหนุ่มสองคนเดินเคียงข้างกันไปในยามราตรี ทั้งคู่ไม่ได้พูดคุยอะไรกันจนกระทั่งเยี่ยซิวเห็นคู่รักคู่หนึ่งกระหนุงกระหนิงกันอยู่ในสวนสาธารณะ เขาหันไปมองหวังเจี๋ยซี แล้วเอ่ยกระเซ้าอีกฝ่าย

 

“เฮ้อ คนรักเกอนี่ใจดำชะมัดเลย บางทีเกอก็อยากสวีทเหมือนคู่อื่นเขาบ้างนะ”

 

หวังเจี๋ยซีไม่ตอบ แต่กระชับมือบางแน่นขึ้น เยี่ยซิวก็ไม่ได้พูดอะไรอีกจนถูกอีกฝ่ายพามาถึงย่านโรงแรม

 

“เฮ้ เจี๋ยซี ไม่คิดจะพูดอะไรหน่อยรึ เอะอะก็พาเข้าโรงแรม คนหนุ่มสมัยนี้นี่ใช้ไม่ได้จริงๆ” เยี่ยซิวบ่นงึมงำพลางถอดรองเท้าและเสื้อคลุมพาดไว้บนเก้าอี้ หากแต่น้ำเสียงนั้นไม่ได้มีร่องรอยต่อว่า คล้ายกับเป็นการพูดลอยๆ เพื่อยั่วโมโหอีกฝ่ายเล่นเสียมากกว่า

 

หวังเจี๋ยซีไม่ได้ไปโต้ตอบถ้อยคำพวกนั้น เขาถอดแว่นตาและผ้าพันคอที่ใช้พรางตัวออก แล้วกอดอกยืนมองเยี่ยซิวเงียบๆ

 

“อย่ามัวแต่อ้ำอึ้งสิ มีอะไรก็พูดมา”

 

เยี่ยซิวนั่งลงบนเตียงหนานุ่มพลางเอ่ยด้วยเสียงเรียบเรื่อย หวังเจี๋ยซีถอนหายใจ ก่อนจะทิ้งตัวลงตาม

 

“คุณไม่ตอบผมมาสามวัน”

“…ช่วงนี้เกองานยุ่ง!”

“ยุ่งจนลืมใช่ไหมว่าวันนี้วันอะไร”

 

เยี่ยซิวตาโตเมื่อได้ยินคนรักของตนกล่าวด้วยน้ำเสียงเจือความตัดพ้อ ดวงตาขนาดไม่เท่ากันเสหลบไปอีกทาง บางทีหวังเจี๋ยซีก็รู้สึกว่าตนเองงี่เง่ามากที่คิดเล็กคิดน้อยอย่างกับผู้หญิง ทั้งเขาและเยี่ยซิวต่างก็ยุ่งกันทั้งนั้น แต่เขาก็อยากให้…เยี่ยซิวใส่ใจตนมากกว่านี้อีกสักนิด

 

“เอ่อ เจี๋ยซี…” เห็นเยี่ยซิวเอียงคอเล็กน้อยเหมือนไม่แน่ใจ หวังเจี๋ยซีก็ถอนหายใจเฮือก ก่อนจะเฉลยด้วยเสียงราบเรียบ

“วันนี้วันเกิดผม”

“…”

“ผมรอคุณตั้งแต่เที่ยงคืน แต่คุณก็ไม่ยอมทักมา”

“เจี๋ยซี…”

“ผมรู้ว่ามันดูงี่เง่า ผมแค่…อยากคุยกับคุณเท่านั้น”

 

หวังเจี๋ยซีกล่าวจบก็เงียบไปอีกครู่ใหญ่ เยี่ยซิวยกมือเกาแก้ม หัวเราะเสียงแห้งๆ

 

“ถ้างั้นนายอยากจะไปที่ไหนไหม หรืออยากกินอะไร เกอจะเลี้ยงเอง!”

แต่หวังเจี๋ยซีกลับส่ายหน้า “ที่จริงผมไม่ได้อยากจะไปที่ไหน ผมอยากอยู่ในที่ที่มีคุณ”

 

ถูกคนอายุน้อยกว่าบอกมาแบบนั้น ฝ่ายเยี่ยซิวเองก็หน้าร้อนไปถึงไปหู วันนี้คนรักของเขาดูจะแปลกๆ อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

 

แต่ถึงอย่างนั้น…

 

 

“มันก็ไม่เกี่ยวกับนี่ตรงไหนเลย”

 

ใบหน้าของเยี่ยซิวปรากฏร่องรอยของความลำบากใจ เมื่อเห็นสิ่งที่หวังเจี๋ยซียื่นมาให้เขา

 

“วันนี้วันเกิดผม ตามใจผมสักหน่อยเถอะ” หวังเจี๋ยซีเอ่ยด้วยน้ำเสียงขอร้องแกมบังคับ นำของที่ติดตัวมาด้วยส่งให้เยี่ยซิว

 

“เจี๋ยซี นี่เอาจริง?”

 

เมื่ออีกฝ่ายพยักหน้าอย่างสุขุมเยือกเย็น เยี่ยซิวก็ได้แต่มองของในมือพลางทำหน้าจนใจ แล้วก็เดินเข้าห้องน้ำไปเงียบๆ

 

 

“เจี๋ยซี คือ…ต้องใส่หมดเลยหรือ?” สักพักเสียงเยี่ยซิวก็ดังออกมาจากห้องน้ำ ชายหนุ่มเว้นจังหวะไปครู่หนึ่ง ก่อนตอบกลับไปว่า “ครับ”

“…เฮ้อ ก็ได้ ก็ได้”

 

หวังเจี๋ยซีได้ยินเสียงกุกกักๆ แล้วก็เงียบหายไป ชายหนุ่มมองนาฬิกาข้อมือตนเอง ผ่านมายี่สิบนาทีแล้วแต่เยี่ยซิวกลับยังไม่ออกมา

 

“เสร็จหรือยังครับ” หวังเจี๋ยซีอดเร่งเล็กน้อยไม่ได้

“…เสร็จแล้วๆ” ได้ยินเสียงเอื่อยๆ ตอบกลับมาเสมือนกำลังปลงกับชีวิต ประตูห้องน้ำพลันเปิดออก จากนั้น…หวังเจี๋ยซีก็นิ่งค้าง

 

กี่เพ้าสีแดงสดตัดกับผิวขาวซีด ทำให้ร่างกายของเยี่ยซิวดูมีน้ำมีนวลเปล่งปลั่งขึ้นทันตา ดวงตาปรือปรอยใต้แพขนตาหนานั้น วันนี้ดูมีสเน่ห์ยั่วยวนมากเป็นพิเศษ เยี่ยซิวเป็นผู้ชายที่มีโครงร่างค่อนข้างเล็กอยู่แล้ว ดังนั้นเมื่อสวมชุดกี่เพ้าจึงดูราวกับมีแรงดึงดูดบางอย่างออกมา เนื้อผ้ามันลื่นแนบกับผิวกายเผยเอวคอดเล็กได้รูป ขาเรียวยาวโผล่พ้นรอยผ่าสูงด้านข้างค่อยๆ เยื้องย่างมาทางเขาช้าๆ พวกแก้มใสแต่งแต้มด้วยสีระเรื่อน่ามอง

 

เป็นภาพที่หวังเจี๋ยซีสาบานว่าจะไม่มีวันลืม

 

“…ดูพอหรือยัง”

 

เสียงเบาหวิวดังลอดออกมาผ่านริมฝีปากบาง ถ้าตาไม่ฝาด หวังเจี๋ยซีเห็นว่าแก้มของเยี่ยซิวมีสีแดงเข้มขึ้นอีกเฉดหนึ่ง ชายหนุ่มฉุดข้อมืออีกคนเข้ามาจนเยี่ยซิวเสียหลักล้มลงบนตัวของคนด้านล่าง

 

หวังเจี๋ยซีใช้ปลายนิ้วไล้ไปตามขาขาวๆ ที่อยู่ข้างตัว สัมผัสบางเบาค่อยๆ เลื่อนสูงขึ้น หวังเจี๋ยซีลูบผิวเนื้อนิ่มตรงขาอ่อน บรรจงมองจูบเนิบช้าปรนเปรอให้แก่เยี่ยซิว

 

“อือ…”

 

โพรงปากอ่อนนุ่มถูกอีกคนสำรวจอย่างเชื่องช้า ราวกับกำลังจดจำทุกพื้นที่ในนั้น ความอ่อนหวานรุ่มร้อนโอบรอบทั้งคู่ไว้ด้วยกัน มือของหวังเจี๋ยซีสอดเข้าไปตามรอยแยกของเสื้อผ้า เมื่อสัมผัสถูกอะไรบางอย่างก็หยุดชะงัก เยี่ยซิวปรือตามองคนที่ผละออกไปอย่างไม่ใคร่เข้าใจนัก

 

“คุณ…คุณเปลี่ยนข้างในด้วยหรือ” ใบหน้าของหวังเจี๋ยซีมีร่องรอยของความไม่แน่ใจ

 

เยี่ยซิวอ้าปากค้าง นึกถึงสิ่งที่ตนสวมแล้วใบหน้าก็แดงยิ่งกว่าเดิม เข้มจนแทบจะสูสีกับชุดได้อยู่แล้ว

 

การที่เยี่ยซิวไม่ตอบก็ถือเป็นคำตอบให้เขาแล้ว หวังเจี๋ยซีมองคนรักของตนอีกครั้ง นี่หมายความว่าที่เยี่ยซิวถามเขาก่อนหน้าคือเรื่องนี้…

 

“จะว่าไป นายก็ไม่ค่อยบอกรักเกอเลยนะ เกอน้อยใจรู้หรือเปล่า”

 

เยี่ยซิวทำทีเปลี่ยนเรื่อง หยิบเอาเรื่องคู่รักที่พวกเขาเจอเมื่อเย็นมาพูดแทน หวังเจี๋ยซีหรี่ตาลงอย่างรู้ทัน แต่ก็ยินยอมให้ความร่วมมือ

 

“คุณเองก็ด้วย”

เยี่ยซิวยิ้มเผล่ “งั้นก็ถือว่าเจ๊ากัน ดีไหม”

 

หวังเจี๋ยซีส่ายหน้า เอื้อมมือไปด้านหลังของเยี่ยซิวเพื่อที่จะรูดซิบชุดลง แต่กลับโดนมือบอบบางตีเข้าหนึ่งที

 

“ทำอะไรน่ะ”

ดวงตาของหวังเจี๋ยซีส่อแววอันตราย “หรือคุณอยากทำทั้งชุดนี้ ผมไม่เกี่ยงหรอกนะ”

 

สุดท้ายเยี่ยซิวจึงต้องยอมให้หวังเจี๋ยซีค่อยๆ รูดซิบลงแต่โดยดี อาภรณ์สีแดงเลื่อนหลุดออกจากร่าง เผยหัวไหล่มนกลมกลึง จมูกของหวังเจี๋ยซีไล่ไปตามผิวเนื้อเนียนละเอียด ผ่านกระดูกไหปลาร้า ลูกกระเดือก จบที่ริมฝีปากอุ่นนุ่มคลอเคลียไม่ห่าง

 

มือเลื่อนไปยังเบื้องล่าง สัมผัสบางเบาและขรุขระจากเนื้อผ้าซีทรูลายลูกไม้สีดำส่งผ่านปลายนิ้วมือ เยี่ยซิวบิดตัวเร่า เมื่อความปราถนาใต้ร่มผ้าถูกแตะต้องอย่างแนบชิดกว่าที่ควรจะเป็น หวังเจี๋ยซีลูบมันอย่างเชื่องช้าประหนึ่งกำลังให้ความเอ็นดูอย่างที่สุด

 

หวังเจี๋ยซีเกาะเกี่ยวมันลงมา ความเป็นชายของเยี่ยซิวขยายขึ้นเมื่อถูกปลดปล่อย หวังเจี๋ยซีพรมจูบรอบสะดือ ถอยลงไปตรงท้องน้อย ก่อนจะกลับมาครอบครองยอดตุ่มไต่เสมือนกำลังหยอกล้อ

 

“อ๊ะ…อืม”

 

เยี่ยซิวอ้าปากหายใจเบาๆ เผลอเกร็งขึ้นมาฉับพลันที่ถูกบางสิ่งสอดใส่เข้ามาในตัว หวังเจี๋ยซีตระเตรียมโพรงอุ่นแคบอย่างไม่เร่งร้อน รอจนเยี่ยซิวผ่อนคลายลงแล้วจึงค่อยๆ พาตนเองเข้าไปในร่างของอีกฝ่าย

 

เสียงหอบหายใจดังคละเคล้าในห้อง เตียงส่งเสียงลั่นประท้วงเมื่อถูกแรงจากด้านบนโหมกระหน่ำมาไม่หยุด ขาเรียวเหยียดออกตวัดรอบเอวของผู้ที่อยู่ด้านบนเพื่อรองรับแรงอารมณ์ของอีกฝ่าย

 

หวังเจี๋ยซีผ่อนจังหวะให้ช้าลง จูบบนเรือนผมดำขลับเปียกชื้นเบาๆ

 

“ผมคิดถึงคุณ”

 

เยี่ยซิวที่บัดนี้ถูกย้อมไปด้วยแรงราคะมองคนรักอย่างไม่เข้าใจ หวังเจี๋ยซีหยุดขยับ โน้มตัวลงจูบที่เปลือกตาของเยี่ยซิว

 

“ผมหลงใหลคุณ”

 

สมองเยี่ยซิวเริ่มกลับมากระจ่างใสช้าๆ หวังเจี๋ยซีไม่ได้หยุดแค่นั้น ริมฝีปากอุ่นๆ เลื่อนมาที่ลำคอ

 

“ผมต้องการคุณ”

 

หวังเจี๋ยซีประทับจูบลงบนหน้าอกที่กระเพื่อมเบาๆ ลมหายใจอุ่นร้อนรดลงบนผิวเนื้อ ถ้อยคำกระซิบหวานถูกส่งออกมา

 

“คุณเป็นของผม”

 

ดวงตาเยี่ยซิวเบิกกว้างมากขึ้น พร้อมๆ กับความร้อนในร่างกายที่เพิ่มขึ้นตามไปด้วย นี่คงไม่ใช่…

 

ข้อมือบอบบางถูกยกขึ้นมาจรดลงบนริมฝีปาก หวังเจี๋ยซีเหลือบตาขึ้นมองขณะเอ่ยคำพูดชวนให้เขินจนแทบบ้า

 

“ผมปราถนาในตัวคุณ”

 

“เจี๋ย–” เสียงถูกกลืนหายไปในลำคอ กลีบปากถูกกลืนกลิ่นอย่างนิ่มนวล หวังเจี๋ยซีละจากความอุ่นนุ่มอย่างอ้อยอิ่ง ดวงตาสองของอาบย้อมไปด้วยความหมายลึกซึ้ง

 

“ผมรักคุณ”

 

“…”

 

ต้องบอกว่าเป็นอะไรที่…เยี่ยซิวคาดไม่ถึงมาก่อน

 

ตัวเขาเป็นถึงเจ้ากลยุทธ์ การอ่านเกมหรืออ่านนิสัยคนล้วนทำจนชำนาญ ดังนั้นย่อมรู้จักนิสัยของหวังเจี๋ยซีดี การที่เด็กนี่มีมุมโรแมนติกถึงขนาดบอกรักด้วยการจูบ…เป็นอะไรที่เยี่ยซิวไม่เคยคิดว่าหวังเจี๋ยซีจะกระทำ

 

“…เยี่ยซิว?”

 

หวังเจี๋ยซีร้องเรียกเบาๆ เมื่อคนรักของตนก้มหน้านิ่งเงียบไป หวังเจี๋ยซีเม้มปาก รู้สึกใจเสียเล็กน้อย

 

เยี่ยซิวเงยหน้าขึ้นมา พวงแก้มสุกปลั่ง แดงไปถึงใบหูมน นัยน์ตาสีเข้มอ่อนเชื่อมกำลังมองตรงมาที่เขา

 

เยี่ยซิวยืดตัวขึ้น ใช้ลำแขนโอบรอบคอหวังเจี๋ยซีให้โน้มลงมา จากนั้นก็จูบที่สันจมูก

 

หวังเจี๋ยซีกระพริบตาเชื่องช้า จูบที่สันจมูกคือ…การให้ความสำคัญ

 

จากนั้นริมฝีปากก็ย้ายไปตามส่วนต่างๆ ของร่างกายเขา ตั้งแต่เรือนผม เปลือกตา ลำคอ แผ่นอก ข้อมือ ตามลำดับที่หวังเจี๋ยซีทำไม่มีผิดเพี้ยน จบท้ายด้วยการทาบทับริมฝีปากเบาๆ

 

“ฉันก็รักนาย”

 

ใบหน้าหล่อเหลาของกัปตันหนุ่มขึ้นสีเลือดทันที เยี่ยซิวชอบทำอะไรที่เขาคาดไม่ถึงอยู่เสมอ เยี่ยซิวเอียงคอ หัวเราะเบาๆ เงยหน้าจูบที่ใบหูอีกฝ่าย

 

“รออะไรอยู่หรือ”

 

จูบที่ใบหูหมายถึงการเชื้อเชิญ

 

นัยน์ตาของหวังเจี๋ยซีวาววับ เขาโอบกอดอีกฝ่ายเอาไว้ ความปราถนาขยับชักนำคนรักให้ตกอยู่ในห้วงอารมณ์อีกครั้ง ค่อยๆ ละเลียดชิมเนื้อกระต่ายนุ่มนิ่มจนเหลือเพียงเสียงครางดังสะท้อนก้องทั้งคืน

 

 

 

หวังเจี๋ยซีเดินมาส่งเยี่ยซิวที่หน้าซิงซินในตอนเช้า เขาถูกรั้งไว้ด้วยข้อมือขาว บางสิ่งถูกยัดใส่มาในมือของเขา มันคือถุงกระดาษที่เยี่ยซิวซ่อนเอาไว้ในเสื้อโค้ทตั้งแต่เมื่อวาน

 

เยี่ยซิวกระซิบที่ข้างหูของเขา น้ำเสียงเจือแววชั่วร้ายนิดๆ “เกอไม่ได้ลืมหรอก แต่ช่วงนี้ถังแตกนิดหน่อย ถือเป็นของสมนาคุณแล้วกัน”

 

หวังเจี๋ยซีเหม่อมองคนที่เดินหายเข้าไปในร้าน ก่อนจะแกะถุงกระดาษออกมาดู

 

 

 

หลังจากวันนั้น กุญแจห้องนอนของกัปตันแห่งเวยเฉ่าก็มีพวงกุญแจเพนกวิ้นหน้าตาประหลาดสวมเสื้อคลุมพ่อมดสีเขียวเพิ่มมาอีกหนึ่งอัน

 

 

 

 

 

END

 

พี่หวังคนคูล จะบอกรักแบบธรรมดามิได้ ต้องบอกด้วยการจูบแบบคูลๆ/ผิด

ที่จริงคือวันนี้วันจูบค่ะ //_\\ ก็อยากให้ต้าเหยี่ยนได้จูบพี่เยี่ยเยอะๆ พี่หวังเป็นพวกปากแข็ง ส่วนพี่เยี่ยเป็นพวกไม่ค่อยชอบพูด แต่งคู่นี้แล้วสนุกดีค่ะ

สุขสันต์วันเกิดนะคะพี่หวัง! น้องใช้หยาดเหงื่อและแรงกายเขียนฟิคเพื่อพี่เลยนะคะ! อันนี้แต่งเร็วมาก เทียบกับความเชื่องช้าในยามปกติ แอบสะพรึงตัวเองมาก นี่ต้องเป็นคำสาปของพี่หวังแน่ๆ/ไม่ใช่

/จากนี้ขอนอนอืดสามวัน

QZGS

[Fic QZGS] – light and darkness 3 (หวังเยี่ยเฉียว)

Fic 全职高手 – light and darkness 3 (หวังเยี่ยเฉียว) (3P)
#หวังเยี่ย #เฉียวเยี่ย เราจะบาปไปด้วยกันใช่ไหม—

มีตัวละครที่ยังไม่ปรากฏอยู่ในเล่มไทยแต่ไม่ได้กล่าวถึงตรงๆ ค่ะ

 

NC18

 

 

 

 

:: 04 ::

 

แผ่นออกขาวซีดที่สะท้อนขึ้นลงบ่งบอกว่าอีกคนอยู่ในห้วงนิทรา

เฉียวอี้ฟานอุ้มอีกฝ่ายขึ้นมา ผ่านโถงทางเดินไร้ผู้คน ไปยังห้องนอนที่ถูกดูแลจัดเตรียมอย่างดีมาเป็นเวลาหลายเดือน ห้องของเยี่ยซิวไม่ได้อยู่ด้านตะวันออกซึ่งเป็นฝั่งห้องรับแขก แต่อยู่ด้านฝั่งตะวันตกเช่นเดียวกับห้องของเฉียวอี้ฟานและหวังเจี๋ยซี

เฉียวอี้ฟานวางร่างกายผอมบางอย่างทะนุถนอมราวกับสิ่งของล้ำค่า หายไปครู่หนึ่งก็กลับมาพร้อมกะละมังใบเล็กกับผ้าขนหนู

เฉียวอี้ฟานเช็ดทำความสะอาดตามเรือนร่างของเยี่ยซิวแผ่วเบา เมื่อเช็ดไปถึงร่องรอยสีกุหลาบที่ตนเองเป็นผู้กระทำก็อดที่จะแตะลงบนผิวเนียนลื่นอย่างเสียไม่ได้

ไม่ว่าเยี่ยซิวจะได้ยินที่เขาพูดหรือไม่

อย่างไรเสีย

“…ผมไม่มีวันยอม”

เสียงกระซิบบางเบาแต่หากแฝงความยึดตึดอย่างแรงกล้าลอยออกไปในอากาศ กลืนหายไปในความว่างเปล่า ไม่มีสุ้มเสียงใดๆ เอ่ยตอบรับกลับมา เฉียวอี้ฟานจุมพิตบนริมฝีปากหยัก เรื่อยไปถึงเปลือกตาหลับพริ้ม ก่อนยืนตัวขึ้นแล้วเดินออกจากห้องไป

เมื่อประตูบานใหญ่ถูดปิดสนิท ด้านในกลายเป็นอาณาเขตแห่งความมืดมิดที่ไม่มีแม้แต่ลำแสงเล็กๆ ลอดผ่าน

มีนัยน์ตาดำขลับที่กระจ่างใสราวกับลูกแก้วคู่หนึ่งลืมขึ้นมาอย่างเงียบงัน

 

 

เยี่ยซิวตื่นมารับอรุณพร้อมกับบิดขี้เกียจเล็กน้อย

ข้อมือบอบบางถูกยกขึ้นมาขยี้ตา ปลายแขนเสื้อที่ใหญ่กว่าตนเองราวสองไซส์ร่นลงมาอยู่ตรงข้อศอก เยี่ยซิวเอียงคอคิดครู่เดียวก็ทราบว่าเสื้อผ้าเหล่านี้จะเป็นของใครไปไม่ได้นอกจากผู้ที่อยู่กับเขาเป็นคนสุดท้ายเมื่อคืน

มุมปากปรากฏรอยยิ้มบางเบาที่อ่านไม่ออก เลือนหายไปดั่งภาพมายา เยี่ยซิวเดินเข้าไปในห้องอาบน้ำ ครู่หนึ่งจึงเดินออกมาพร้อมกับผ้าเช็ดตัวผืนเดียว

แผ่นอกและไหล่แคบมีร่องรอยบางอย่างประปราย เยี่ยซิวสวมเสื้อเชิ้ตแขนยาวเนื้อผ้าโปร่งสบาย ผิวหนังที่ถูกปกคลุมสัมผัสได้ถึงความนุ่มลื่น นิ้วมือที่มีลำข้อเล็กราวกับไม่ใช่มือของบุรุษค่อยๆ ติดกระดุมเสื้อทีละเม็ดอย่างไม่เร่งรีบ ขาเรียวยาวที่งดงามไม่แพ้กันสอดเข้าไปในกางเกงผ้าเนื้อหนา จากนั้นก็พาดทับเสื้อสีขาวสะอาดด้วยสายรั้งสีเดียวกับกางเกง ทุกขั้นตอนดำเนินไปอย่างไม่ช้าไม่เร็ว แต่เป็นอากัปกิริยาที่ใครมาเห็นเข้าก็อดหน้าแดงไม่ได้

เยี่ยซิวเดินไปยังโต๊ะเขียนหนังสือที่ทำจากไม้มะฮอกกานีข้างเตียง ด้านบนเต็มไปด้วยแผ่นจดโน้ตเพลงที่ถูกวางทิ้งอย่างลวกๆ เยี่ยซิวปัดกระดาษที่ทับถมไปกองรวมกันไว้ข้างๆ ด้านใต้ยังมีสมุดสีฟ้าเก่าๆ เล่มหนึ่งวางอยู่

ปลายนิ้วลูบไปตามสันขอบอย่างแผ่วเบา เยี่ยซิวเปิดสมุดออก รูปถ่ายที่เก่าจนเริ่มซีดร่วงหล่นลงมาจากหน้ากระดาษ มือเรียวสวยหยิบมันขึ้นมา เยี่ยซิวมองรูปถ่ายใบนั้นด้วยสีหน้าเรียบเฉย แต่ส่วนลึกในดวงตามีแววสั่นไหวเล็กน้อย ระยะเวลาแค่เพียงกระพริบตาก็กลับมาสงบนิ่งเช่นเดิม

เยี่ยซิวสอดรูปใบนั้นไว้ที่เดิมแล้วเดินออกมาจากห้อง มุ่งหน้าไปยังสถานที่ที่อยู่ไม่ไกลจากตนนัก

เยี่ยซิวมาถึงประตูบานใหญ่ก็เปิดพรวดเข้าไปโดยไม่ขออนุญาต ผู้ที่อยู่ด้านในเหลือบตามองแวบหนึ่ง จากนั้นก็วางเอกสารในมือลงราวกับเคยชินพฤติกรรมเช่นนี้ของเขาแล้ว

“ขยันจริงๆ เลยนะ เสี่ยวหวัง”

หวังเจี๋ยซีใช้ดวงตาขนาดไม่เท่ากันมองผู้ที่เดินนวยนาดเข้ามาในห้องเหมือนกับแมวตัวโต ถอนหายใจเล็กน้อย เอ่ยถามเสียงนิ่ง

“เมื่อไหร่จะเลิกเรียกผมว่าเสี่ยวหวังสักที”

เยี่ยซิวหัวเราะขลุกขลักในลำคอ ปลายนิ้วงดงามขาวกระจ่างราวเสมือนไม่ใช่มือของมนุษย์ยกขึ้นมาเบื้องหน้าเขาอย่างเชื่องช้า หวังเจี๋ยซีมองเหม่อไปชั่วครู่ ก่อนจะรู้สึกตัวเมื่ออีกฝ่ายแตะลงบนดวงตาเขาเบาๆ พลางผุดยิ้มหยอกเย้า

“หรือจะให้ฉันเรียกว่าหวัง…ต้าเหยี่ยนดีล่ะ”

ถ้ามีคนในคฤหาสน์มาได้ยินเข้าคงตกใจกับความกล้าสูงเทียมฟ้าของครูสอนเปียโนคนนี้ และคงเตรียมโทรเรียกรถพยาบาลแน่แท้ แต่น่าเสียดายที่เวลานี้ผู้ที่ได้ยินคือผู้ที่มีอำนาจมากที่สุดในตระกูล และดูจะไม่ถือสาหาความกับความไม่รู้ที่ต่ำที่สูงของเยี่ยซิวเลยสักนิด

หวังเจี๋ยซีกระตุกยิ้ม คว้าเอวคนเบื้องหน้าหมับจนเยี่ยซิวหลุดอุทานเสียงเบา หวังเจี๋ยซีอุ้มแมวดำไว้บนตัก ตีลงบนบั้นท้ายของอีกฝ่ายเบาๆ เอ่ยอย่างไม่จริงจังนัก

“ถ้าคุณกล้าเรียก ก็คงไม่กลัวโดนทำโทษใช่ไหม?”

คำตอบคือเสียงหัวเราะแผ่วเบาอีกระรอก หวังเจี๋ยซีมองลำคอขาว ไล่ลงมายังรอยแดงภายใต้เสื้อผ้าที่ดูเหมือนจะมีมากกว่าเดิม เยี่ยซิวยกมือโอบรอบคอของหวังเจี๋ยซี ดูไม่ยี่หระต่อดวงตาที่หรี่ลงเล็กน้อยของอีกฝ่าย

“คงไม่ได้หรอก เกอมีสอนเสี่ยวเฉียวอีกนะ”

หวังเจี๋ยซีเหลือบมองนาฬิกา จากนั้นก็กดร่างเพรียวบางลงกับโต๊ะ

“ไม่เป็นไร เหลือเวลานิดหน่อยพอดี…”

หลังจากนั้นหวังเจี๋ยซีก็จัดการปิดปากแมวตัวดีเพื่อไม่ให้มีแม้แต่เสียงอุธรณ์เล็ดลอดออกมา

 

 

เมื่อสิ้นเสียงโน้ตตัวสุดท้าย เยี่ยซิวก็หยุดการเคลื่อนไหว หันไปเอ่ยกับลูกศิษย์เพียงคนเดียวของตน

“ท่อนนี้เป็นแบบนี้ พอเข้าใจไหม”
เฉียวอี้ฟานพยักหน้า เผยรอยยิ้มอบอุ่นให้แก่ผู้เป็นอาจารย์ “ผมเข้าใจครับ”
“ดีมาก”

เยี่ยซิวยกมือลูบหัวของเฉียวอี้ฟานเบาๆ คนถูกกระทำยิ้มรับ พร้อมเอียงศีรษะซุกซบลงบนฝ่ามือของอีกฝ่าย

เพราะเขาเองก็มีน้องสาวบุญธรรมอยู่เหมือนกัน จึงรู้สึกเห็นใจและเอ็นดูเฉียวอี้ฟานมากกว่าคนอื่นอยู่นิดหน่อย

…แต่ก็แค่นิดหน่อยเท่านั้น

“เยี่ยซิวครับ”
“หืม”

เฉียวอี้ฟานเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยต่อ “เรื่องคืนนั้น…”
“คืนนั้น? มีอะไรหรือเปล่า”

เฉียวอี้ฟานหลุบตาลง ครู่หนึ่งก็ส่ายหน้าเบาๆ

“ถ้าไม่มีอะไรก็ซ้อมต่อเถอะ”
“…ครับ”

หลังจากนั้นเฉียวอี้ฟานก็ไม่ได้เอ่ยเรื่องเกี่ยวกับ ‘คืนนั้น’ หรืออะไรอีกเลย ผู้ที่เดินผ่านไปมามักจะได้ยินเสียงเปียโนดังแว่วออกมาจากห้องดนตรีอย่างต่อเนื่อง จากตอนเช้าล่วงเลยไปถึงช่วงบ่าย

เยี่ยซิวเห็นว่าสมควรแก่เวลาแล้วจึงบอกให้เฉียวอี้ฟานหยุดซ้อม

“เยี่ยซิว”
“อะไรหรือ เสี่ยวเฉียว”

ร่างโปร่งบางถูกกอดรัดจากด้านหลัง เยี่ยซิวยอมรับว่าประหลาดใจกับความเปลี่ยนแปลงของเฉียวอี้ฟานไม่น้อย หลังจาก ‘คืนนั้น’ เฉียวอี้ฟานก็ดูเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด ไม่ใช่บุคลิกลักษณะภายนอก แต่เหมือนมีบางสิ่งในจิตใจที่เปลี่ยนแปลงไป

เฉียวอี้ฟานซุกหน้าลงกับบ่าผอมบาง เอ่ยเสียงอู้อี้

“พรุ่งนี้ ถ้าผมทำได้ดี ผมขอรางวัลได้ไหม”

พรุ่งนี้ที่เอ่ยถึงคืองานวันเกิดของผู้อาวุโสภายในตระกูล เฉียวอี้ฟานถูกเลือกไปแสดงเปียโน เยี่ยซิวแอบระอาใจ ไม่ว่าจะตระกูลไหนๆ ก็มีการแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกันทั้งนั้น ที่เจาะจงให้เป็นเฉียวอี้ฟาน และเลือกให้แสดงเปียโน ก็เพราะต้องการนำชายหนุ่มไปเปรียบเทียบกับเกาอิงเจี๋ยกลายๆ เป็นอุบายตื้นๆ ของพวกตาแก่ที่ไม่มีอะไรทำ

“เอาสิ”

เรื่องแค่นี้เยี่ยซิวย่อมตกลง

ย่อมตกลงอย่างแน่นอน

เฉียวอี้ฟานใช้มือจับคางเรียวได้รูปให้หันมาด้านหลัง ลิ้นร้อนสัมผัสและดูดดึงกับความหอมหวานของร่างโปร่งบาง เยี่ยซิวครางอือในลำคอ ปล่อยให้ผู้ที่อายุน้อยกว่าเป็นฝ่ายชักนำ เฉียวอี้ฟานขยับเรียวลิ้นเพื่อกลืนกินความอุ่นนุ่มอย่างลึกล้ำ ต่างคนต่างพัวพันกันอย่างเร่าร้อน ครู่ใหญ่เฉียวอี้ฟานจึงผละออกมา เหลือเพียงเส้นใยสีใสที่เชื่อมโยงระหว่างทั้งสองเอาไว้

นี่ก็เป็นความเปลี่ยนแปลงอีกอย่างของเฉียวอี้ฟาน สัมผัสที่แฝงความปราถนาที่จะครอบครองอย่างรุนแรงและความยึดติดอยู่ลึกๆ เช่นนี้ เยี่ยซิวไม่เคยรับรู้ได้จากเฉียวอี้ฟานมาก่อน

เมื่อปรับลมหายใจกลับมาเป็นปกติ เยี่ยซิวจึงเอ่ยกระเซ้าอีกฝ่าย “นี่คือรางวัลที่อยากได้?”

เฉียวอี้ฟานจุมพิตบนลำคอยาวระหง จมูกคลอเคลียกับเส้นผมนุ่มลื่น เงยหน้าส่งยิ้มนุ่มนวลให้แก่เยี่ยซิว

“เปล่าครับ…นี่คือมัดจำต่างหาก”

เยี่ยซิวลูบหัวเฉียวอี้ฟานเบาๆ ไม่ได้เอ่ยอะไรอีก เมื่อเยี่ยซิวจากไป เฉียวอี้ฟานก็เดินไปตามทางเดินที่คุ้นเคย ความทรงจำสมัยเด็กผุดขึ้นมาเป็นระรอก เขาหยุดยืนอยู่หน้าประตูบานใหญ่

เสียงประเคาะประตูดังขึ้นสามครั้งก่อนเงียบไป

“เข้ามา”

ชายหนุ่มเดินเข้าไปด้านใน หวังเจี๋ยซีมองผู้มาเยือนขณะเอนกายพิงกับพนักเก้าอี้ ไม่มีท่าทางประหลาดใจราวกับรู้อยู่แล้วว่าใครอยู่ด้านนอก

“มีเรื่องอะไร”

เฉียวอี้ฟานไม่ตอบ แต่เลือกที่จะถามกลับ

“คุณคงรู้อยู่แล้วไม่ใช่หรือ ว่าผมมาที่นี่เพื่ออะไร”
หวังเจี๋ยซีขยับยิ้มราบเรียบ “ฉันมาก่อน”
ฝ่ายอายุน้อยกว่าหัวเราะเบาๆ แล้วส่ายหน้า “มาก่อนหลังแล้วเป็นอย่างไร ในเมื่อตอนนี้เยี่ยซิวยังไม่เลือกใคร ทุกคนก็มีสิทธิ์ไม่ใช่หรือครับ”
หวังเจี๋ยซีเกือบหลุดหัวเราะออกมา ดวงตาของผู้มีอำนาจที่สุดในตระกูลฉายแววประหลาด เลือกเอ่ยคำที่ทำให้แววตาอ่อนโยนของชายหนุ่มผู้อ่อนวัยกว่าเลือนหาย ความแข็งกร้าวเข้ามาแทรกแทนที่ แต่เพียงพริบตาก็เลือนหายไป
“เขาไม่มีวันเลือกนาย”
เฉียวอี้ฟานกำหมัดแน่น เมื่อถูกตอกย้ำด้วยท่าทางนิ่งเฉยราวกับว่าต้องเป็นเช่นนั้นอยู่แล้วของอีกฝ่าย “ถึงตอนนี้เยี่ยซิวจะยังเลือกไม่ได้ แต่ผมจะทำให้เขาเลือกผมแน่นอน”

หวังเจี๋ยซีเก็บรอยยิ้มมุมปาก สายตาราบเรียบที่มองตามแผ่นหลังหนึ่งในลูกบุญธรรมของตัวเองแฝงอะไรบางอย่างที่ลึกล้ำเกินจะคาดเดา

“ฉันจะรอดู”

 

 

 

:: 05 ::

 

เสียงดนตรีและแสงไฟระยิบระยับรายล้อมอยู่รอบกายไม่ได้ทำให้ผู้มีตำแหน่งเป็นครูสอนเปียโนประจำตัวทายาทตระกูลหวังให้ความสนใจเสียเท่าไหร่

เยี่ยซิวยืนอยู่อย่างโดดเดี่ยว รอบข้างปราศจากผู้คนรายล้อมเหมือนคนอื่นๆ แต่เขาก็ไม่ได้มีท่าทางขุ่นข้องหมองใจอะไร

ดีเสียอีก

ผู้คนที่เอาแต่สวมหน้ากากเข้าหากัน เขาสะอิดสะเอียนเต็มทน

เยี่ยซิวรับรู้ถึงแรงแตะตรงข้อศอกเบาๆ เฉียวอี้ฟานยืนยิ้ม ยื่นแก้วทรงสูงบรรจุของเหลวใสมาให้เขา เยี่ยซิวเพียงปรายตามอง บอกอย่างเกียจคร้าน

“ไม่ล่ะ เกอขี้เกียจถือ”
“อา ผมลืมไปเลยว่าคุณไม่ดื่มแอลกอฮอล์ งั้นผมจะเอาไปเปลี่ยนให้นะครับ”

เฉียวอี้ฟานเดินเลี่ยงไปหาบริกรอีกด้านหนึ่ง พักเดียวก็กลับมาพร้อมแก้วน้ำสีหวาน เยี่ยซิวถูกผู้อ่อนวัยกว่ายัดเยียดแก้วใส่ในมือ

“ผมบอกให้เขาเปลี่ยนเป็นม็อกเทลแทน แบบนี้คุณน่าจะดื่มได้”

เยี่ยซิวไม่เถียง รับแก้วมาถือไว้เงียบๆ เพราะรู้ดีว่าเฉียวอี้ฟานมักจะมีวิธีพูดบางอย่างจนทำให้ตนต้องรับไว้จนได้ เขาจึงเลือกที่จะรับมาตั้งแต่เนิ่นๆ เสียดีกว่า

เยี่ยซิวโคลงแก้วเบาๆ ของเหลวสีส้มกระเพื่อมไปมา เขาจรดริมฝีปากลงบนขอบแก้ว โพรงปากสัมผัสได้ถึงความชุ่มชื้น และความหวานฉ่ำชวนให้สดชื่น รู้ตัวอีกทีก็เหลือเพียงแก้วเปล่า เขาแลบลิ้นเลียปากตนเอง เอ่ยอย่างอัศจรรย์ใจ

“รสชาติไม่เลวเลยนะ”

เฉียวอี้ฟานที่ดูเหมือนจะมองเขาอยู่ตลอดเวลาตั้งแต่ที่เขาเริ่มดื่มจนดื่มหมดก็ส่งแก้วใหม่ที่มีน้ำบรรจุอยู่เต็มเปี่ยมให้อย่างรู้ใจ

ผ่านไปสักระยะเฉียวอี้ฟานจึงขอตัวไปก่อนเพราะใกล้ได้คิวแสดง เยี่ยซิวโบกมือเรื่อยๆ ยืนพิงผนังละเลียดดื่มน้ำผลไม้รสหวานอมเปรี้ยวที่ทำให้เขาติดใจอย่างคาดไม่ถึง

สักพักผนังที่ว่างด้านข้างเขาก็ถูกแผ่นหลังของใครอีกคนจับจอง สายตาของหวังเจี๋ยซีมองตรงไปด้านบนเวที

“เขาเปลี่ยนไปมากเลย ใช่ไหม”
เมื่อเยี่ยซิวได้ฟังก็เผยรอยยิ้มยากจะคาดเดา “ไม่รู้สิ”

เฉียวอี้ฟานวันนี้นับว่าเปลี่ยนไปมากจริงๆ ไม่ได้ดูเหมือนลูกแมวน้อยน่ารังแกเช่นแต่ก่อน แต่ราวกับว่าสามารถเติบโตขึ้นมาเป็นพญาราชสีห์ที่แข็งแกร่งได้

ดวงตาคู่นั้นแม้ดูอบอุ่นอ่อนโยน แต่ไม่หลงเหลือกระแสของความอ่อนแอ

ผู้นำตระกูลหวังพูดคุยกับเขาทั้งๆ ที่ไม่ได้มองหน้า แต่มือของหวังเจี๋ยซีกลับเริ่มลูบวนอยู่ทั่วแผ่นหลังของเขา

ไม่รู้เขาคิดไปเองหรือเปล่า แต่เขารู้สึกเหมือนโดนสายตาของคนบนเวทีจับจ้องมาทางนี้?

เพียงครู่เดียวสายตาของเฉียวอี้ฟานก็มองไปทางอื่น เยี่ยซิวส่ายหน้า เขาได้แต่คิดว่าคงบังเอิญจริงๆ นั่นแหละ คนตั้งนับร้อยคน เจ้าหนูอี้ฟานจะมองเห็นเขาได้อย่างไรกัน

ภาพเบื้องหน้าค่อยๆ ตกลงสู่ความพร่ามัว เลือนรางไม่ชัดเจน เยี่ยซิวรู้สึกเหมือนสมองเริ่มมึนเบลอ เสียงของหวังเจี๋ยซีราวกับลอยอยู่ไกลแสนไกล ผิวกายสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นที่โอบล้อมรอบอยู่แนบชิด

ริมฝีปากถูกจูบหอมหวานเข้าครอบครอง ลิ้นร้อนแทรกกวาดเข้ามาตักตวงในโพรงปาก ได้ยินเสียงเฉอะแฉะดังแว่ว ร่างกายร้อนผะผ่าวราวกับมีใครมาจุดไฟเผาอยู่ด้านใน

รู้ตัวอีกทีแผ่นหลังก็สัมผัสเข้ากับความยวบยาบของผืนเตียงขนาดใหญ่ ชุดสูทสีเข้มถูกถอดออกอย่างรวดเร็วจนเหลือเพียงเสื้อเชิ้ตบางๆ แม้ในหัวจะมึนงงแต่เยี่ยซิวก็ยังคงมีสติรู้ตัวหลงเหลืออยู่ เขาใช้มือดันใบหน้าของหวังเจี๋ยซีให้ออกห่างเพื่อหยุดการกระทำ

“วันนี้…ไม่ได้”
หวังเจี๋ยซีงับลงบนฝ่ามือเนียนนุ่ม เอ่ยถามเสียงต่ำที่ผสมปนเปไปด้วยความปราถนา “ทำไม”
“สัญญา…อือ…เสี่ยวเฉียว”

เสียงที่เอ่ยตอบติดๆ ขัดๆ เมื่อถูกลิ้นเปียกชื้นลากไล้วนรอบยอดอกอ่อนไหว หวังเจี๋ยซีลูบแผ่นหลังเนียนลื่น บอกอย่างไม่ใส่ใจ

“เรื่องนั้นน่ะช่างมันเถอะ”

มือของหวังเจี๋ยซีไล่ไปยังต้นขาด้านใน ตัวตนของเขาเสียดสีอยู่บนหน้าท้องของอีกฝ่าย เยี่ยซิวส่งเสียงครางในลำคอ ไม่ค่อยเข้าใจปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นกับร่างกายตนเองเท่าใดนัก

ภายในห้องมืดสลัว จู่ๆ ก็มีแสงสว่างสาดส่องเข้ามา เยี่ยซิวพยายามหรี่ตาผู้ที่ยืนอยู่ตรงประตู แต่เพราะใครคนนั้นยืนด้านทิศทางย้อนแสง เยี่ยซิวจึงเห็นหน้าตาไม่ชัด พอคนคนนั้นเดินเข้ามาใกล้ เยี่ยซิวถึงเห็นรูปลักษณ์ของอีกฝ่ายเต็มตา

“…เสี่ยวเฉียว?”

เฉียวอี้ฟานขยับปลดเนคไทด์ของตนเองออก เยี่ยซิวรับรู้ว่าเฉียวอี้ฟานมีบางอย่างแปลกไป ชายหนุ่มผู้อ่อนวัยมากที่สุดสอดมือเข้าไปในเรือนผมของร่างที่นอนทอดกายอยู่บนเตียง ประคองศีรษะของเยี่ยซิวให้เงยหน้าขึ้นมาแล้วประกบจูบลงไป ลิ้นเรียวดุนดันแทรกผ่านเข้ามาหยอกล้อในโพรงอ่อนนุ่ม หวังเจี๋ยซีไม่สนใจผู้มาใหม่ ขบกัดลงบนลำคอขาว ไล่มาจนถึงไหปลาร้าที่เห็นเป็นเส้นสายชัดเจน

เฉียวอี้ฟานพรมจูบลงบนหลังคอ มือข้างหนึ่งหยอกล้อกับยอดตุ่มไต อีกข้างรูดขึ้นลงบนแก่นกายของอีกฝ่าย ด้านหวังเจี๋ยซีเห็นเช่นนั้นก็ไม่ได้ว่าอะไร ใช้ปลายนิ้วสร้างความคุ้นชินให้กับช่องทางสีสวย นิ้วยาวขยับเข้าออกไปมา เกิดเสียงเฉอะแฉะฟังดูน่าละอาย เยี่ยซิวแหงนหน้าขึ้น ปลายเท้าเหยียดเกร็งเพราะความสุขสมที่ประเดประดังมาจากทั้งสองด้าน

ไม่นานเยี่ยซิวก็รับรู้ถึงความใหญ่โตที่เข้ามาเติมเต็มด้านในร่างกายเสียจนเสียดแน่น ริมฝีปากสีแดงเรื่ออ้าออกหอบหายใจเบาๆ เสียงครางหวานดังลอดออกมาทุกครั้งที่ถูกแรงกระแทกจากด้านล่าง ใบหน้าถูกจับหันไปด้านข้าง เยี่ยซิวเห็นรอยยิ้มนุ่มนวลของเฉียวอี้ฟาน ปลายส่วนแข็งขืนดันริมฝีปากเขาเบาๆ

“ช่วยผมหน่อยได้ไหมครับเยี่ยซิว”

เยี่ยซิวอ้าปากออกครอบครองตัวตนของชายหนุ่ม ลิ้นเล็กๆ ไล้เลียบนส่วนหัวฉ่ำเยิ้ม ก่อนไล่ไปจนสุดความยาว จากนั้นก็ใช้ความนุ่มหยุ่นห่อหุ้มความปราถนาของเฉียวอี้ฟานจนมิด

เยี่ยซิวใช้ทั้งปากและมือเพื่อปลดเปลื้องความต้องการให้อีกฝ่าย ได้ยินเสียงทุ้มต่ำของชายหนุ่มดังขึ้น ก่อนที่ศีรษะเขาจะถูกจับล็อค ท่อนเนื้อขนาดใหญ่ด้านในโพรงปากขยับเข้าออกอย่างรวดเร็วจนเขาแทบหายใจไม่ออก เฉียวอี้ฟานขยับรุนแรงอีกไม่กี่ที หยาดหยดแห่งความใคร่ก็ถูกปลดปล่อยออกมาเต็มล้นจนเยี่ยซิวกลืนกินเข้าไปไม่หมด

ริมฝีปากถูกประกบอีกครั้ง เฉียวอี้ฟานขยับลิ้นแลกเปลี่ยนซึ่งกันและกัน เยี่ยซิวตาปรือ ปล่อยให้อีกคนทำตามความต้องการจนพอใจ

อยู่ๆ หวังเจี๋ยซีที่ขยับอย่างเชื่องช้ามานานก็เริ่มเปลี่ยนจังหวะให้เร็วขึ้น ความสุขที่ถูกปรนเปรอทั้งสองด้านพร้อมกันทำให้เยี่ยซิวรู้สึกดีจนแทบสำลัก หวังเจี๋ยซียืดตัวขึ้น ประกบจูบพัวพันแทนที่เฉียวอี้ฟานที่พึ่งผละออกไป

ของเหลวอุ่นร้อนถูกหลั่งเข้ามาในช่องทางคับแคบ หวังเจี๋ยซีขยับออก มองช่องทางด้านในเต็มไปด้วยของของเขาอย่างพึงพอใจ

เยี่ยซิวยังไม่ทันได้พักก็ถูกเฉียวอี้ฟานประคองตัวให้นั่งลงบนตักของชายหนุ่มในท่าที่หันหลังให้แก่เฉียวอี้ฟาน และหันหน้าให้กับหวังเจี๋ยซี

เฉียวอี้ฟานแยกขาเรียวออกจากกัน สอดใส่ตัวตนของตัวเองเข้าไปแทนที่หวังเจี๋ยซีอย่างรวดเร็ว

“อ๊า”

เฉียวอี้ฟานเริ่มจากขยับเบาๆ ของเหลวที่คั่งค้างเปรียบเสมือนสารหล่อลื่นชั้นดี ทันใดนั้นเองหวังเจี๋ยซีก็ยืนขึ้น ความเป็นชายที่เริ่มแข็งขืนขึ้นอีกครั้งขยายอยู่เบื้องหน้าเยี่ยซิว หวังเจี๋ยซีใช้นิ้วโป้งเกลี่ยกลีบปากชุ่มชื้น สอดเข้าไปสัมผัสตามแนวไรฟันแผ่วเบา

“ช่วยผมด้วยสิ”

เยี่ยซิวจำต้องอ้าปากออกเพื่อรองรับตัวตนของอีกฝ่าย แรงรับส่งจากเบื้องล่างรวมทั้งสิ่งที่คับแน่นเต็มปากทำให้เยี่ยซิวอึดอัดแทบตาย แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าสุขสมจนแทบตายเช่นกัน

รู้สึกดี

ต้องการมากกว่านี้

ความปราถนาที่สอดเสียดเข้ามาลึกอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ทั้งเจ็บทั้งจุก แต่ก็รู้สึกดีเหลือเกิน

เยี่ยซิวแยกขาออกกว้าง แก่นกายร้อนเสียดสีกับผนังบอบบางอย่างรวดเร็ว เฉียวอี้ฟานจับเอวบางกดลงตอบรับกับจังหวะเร่าร้อนที่แปรเปลี่ยน ของเหลวขุ่นทะลักทะลายออกมา พอดีกับความอุ่นร้อนในปากที่ปลดปล่อยออกมาเช่นเดียวกัน

เยี่ยซิวหอบหายใจเบาๆ รู้สึกถึงแรงกอดรัดจากอ้อมแขนทั้งสองด้าน แต่เขาเหนื่อยเกินกว่าจะสนใจสิ่งใด สติค่อยๆ จมลงสู่ความมืดมิด

 

 

เยี่ยซิวตื่นมาพร้อมอาการปวดเมื่อยที่สะโพกราวกับจะหลุดออกเป็นเสี่ยงๆ

ร่างกายของเขาถูกโอบกอดโดยคนสองคน ด้านซ้ายคือหวังเจี๋ยซี ด้านขวาคือเฉียวอี้ฟาน

ผู้ที่อายุน้อยกว่ารู้สึกตัวก่อนเป็นอันดับแรก พอเห็นเขาตื่นอยู่ก่อนก็แปลกใจเล็กน้อย หัวทุยๆ ซุกไซร้ออดอ้อน

หวังเจี๋ยซีก็ไม่เสียแรงที่เป็นถึงผู้นำตระกูล พอด้านข้างมีความเคลื่อนไหว ชายหนุ่มก็รู้สึกตัวตื่นทันที พอเห็นทั้งเขาและเฉียวอี้ฟานตื่นอยู่ก่อนก็ไม่ได้ตกอกตกใจอะไร อ้อมแขนแข็งแกร่งดึงเขาเข้าไปใกล้ ซบลงบนไหล่เขาราวกับจะอ้อนบ้าง

“เยี่ยซิว พวกเราจะอยู่ด้วยกันตลอดไปใช่ไหมครับ?”

เฉียวอี้ฟานเป็นผู้เอ่ยขึ้นมาก่อน เพราะซุกอยู่กับอกเสียงจึงฟังดูอู้อี้ไม่ชัดเจน

“…พวกเรา?”

แน่นอนว่าเยี่ยซิวจับจุดที่ผิดสังเกตได้ทันที หวังเจี๋ยซีที่นอนเงียบๆ ไม่พูดอะไรก็พลันเอ่ยขึ้นมาบ้าง

“แน่นอน หรือคุณจะทิ้งทั้งผมทั้งลูก?”
“เยี่ยซิวจะไม่รับผิดชอบพวกเราหรือครับ” เฉียวอี้ฟานช้อนตาอ้อน เยี่ยซิวรู้สึกปวดหัวตึบ
“รับผิดชอบ? เกอต้องรับผิดชอบอะไรพวกนาย?”
“…ก็รับผิดชอบที่ทำให้พวกเราทั้งรัก ทั้งหลงคุณไง”

หวังเจี๋ยซีเอ่ยหน้าตาย ทำให้เยี่ยซิวทำหน้าเหมือนเห็นผี

“นะครับ เยี่ยซิว แค่อยู่ด้วยกันตลอดไปก็พอ”
เยี่ยซิวหัวเราะ ยกมือลูบหัวผู้ใหญ่ที่ทำตัวเหมือนเด็กน้อยทั้งสองคนเบาๆ “ได้สิ”

ย่อมได้อยู่แล้ว

เยี่ยซิวขยับมุมปากเป็นรอยยิ้มเอ็นดู

 

 

อย่างไรมันก็อยู่ในข้อตกลงระหว่างพวกเขาตั้งแต่แรกอยู่แล้วไม่ใช่หรือ

 

 

 

– The light side : ends –

 

 

 

 

 

– The dark side : begins –

 

:: 01 ::

 

เยี่ยซิวชำระร่างกายเสร็จก็กลับไปยังห้องของตัวเอง

วันนี้หวังเจี๋ยซีอนุญาตให้เขาลาหยุดหนึ่งวัน เฉียวอี้ฟานเองก็เห็นดีเห็นงามไปด้วย

ใจดีเสียจริงนะ กับคนที่เป็นลูกจ้างกำมะลออย่างเขา

ในวันที่เยี่ยซิวออกจากตระกูลเยี่ย หวังเจี๋ยซีต่างหากที่เป็นฝ่ายยื่นข้อเสนอให้เขามาที่คฤหาสน์ของตระกูลหวังด้วยตัวเอง

เยี่ยซิวเดิมทีก็เป็นคนตระกูลเยี่ย ตระกูลที่ร่ำรวยติดอันดับต้นๆ ของประเทศอยู่แล้ว

เมื่อเยี่ยซิวอายุได้ห้าขวบ ตระกูลเยี่ยก็รับเด็กสองคนมาเป็นลูกบุญธรรม เป็นชายหนึ่งคน หญิงหนึ่งคน

เยี่ยซิวสนิทกับทั้งสองคนมาก โดยเฉพาะกับซูมู่เฉิง น้องสาวต่างสายเลือดคนนี้เยี่ยซิวรักราวกับเป็นน้องสาวแท้ๆ

เพราะความสนิทสนมที่มากจนเกินไป ระหว่างเด็กหนุ่มท้ังสองคน จึงก่อเกิดขึ้นเป็นความรัก

‘ยินดีกับพวกพี่ทั้งสองคนด้วยนะคะ!’ ซูมู่เฉิงยิงพลุกระดาษที่ทำเองพร้อมเอ่ยเสียงดังฟังชัด
‘เป็นเด็กเป็นเล็ก มายินดงยินดีอะไรของเธอ’ ฝ่ายเด็กหนุ่มขยี้หัวเด็กสาวอย่างหมั่นเขี้ยว ซูมู่เฉิงทำปากย่น
‘ก็ใครใช้ให้พี่ปอดแหก ลีลาท่ามากอยู่ตั้งนาน ดูสิ พี่เยี่ยซิวเกือบถูกคนอื่นคาบไปกินแล้วนะ!’

เยี่ยซิวจำได้ว่าตนหัวเราะขำกับการเล่นไร้สาระของทั้งคู่มาก แต่วันเวลาแห่งความสุขก็อยู่ได้ไม่นาน เมื่อความสัมพันธ์ของพวกเขาถูกผู้เป็นพ่อรับรู้

เยี่ยซิวถูกคัดค้านอย่างหนักหน่วงจากครอบครัว เขาในตอนยังเป็นวัยรุ่นทั้งเลือดร้อนทั้งมุทะลุ ประกาศกร้าวว่าจะหนีออกจากบ้านต่อหน้าผู้เป็นบิดา

แต่ก่อนที่จะได้ทำเช่นนั้น เยี่ยซิวก็พบกับข่าวร้าย

คนรักของเขาตายแล้ว

คนในบ้านแจ้งว่าถูกรถยนต์ชนเข้า แต่เยี่ยซิวไม่ใช่เด็กสามขวบ เขารู้ว่าตระกูลเยี่ยต้องมีส่วนเกี่ยวข้องไม่มากก็น้อย

เขาทั้งเสียใจทั้งโกรธแค้น นับแต่นั้นก็เรียกได้ว่ามึนตึงกับตระกูลเยี่ยมาโดยตลอด แต่เยี่ยซิวก็ยังออกไปไม่ได้ เพราะว่ายังมีซูมู่เฉิง

ซูมู่เฉิงฉายแววสะสวยมาตั้งแต่เด็ก ยิ่งโตยิ่งสวยสะพรั่ง เป็นที่ถูกตาต้องใจของบรรดาชายหนุ่ม รวมทั้งเฒ่าหัวงูที่มีอำนาจทั้งหลายแหล่เป็นจำนวนมาก

ในวันที่เยี่ยซิวรู้ว่าซูมู่เฉิงจะถูกนำไปเป็นเครื่องมือในการเจรจาธุรกิจก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ถึงขั้นจะแตกหักจากตระกูลเยี่ย

‘พ่อจะทำแบบนี้ไม่ได้!!’
‘ทำไมจะไม่ได้ ยัยเด็กแซ่ซูนั่นฉันเลี้ยงมากับมือ ต้องเสียเงินไปเท่าไหร่กว่าจะมาถึงวันนี้ จะให้ฉันปล่อยไว้เฉยๆ หรือไง!’
‘พ่อ!!’

เยี่ยซิวตะโกนอย่างไม่เชื่อหูตนเอง วันนั้นเป็นครั้งแรกที่เยี่ยซิวรู้สึกสะอิดสะเอียนกับตระกูลของตนเอง และขยะแขยงพวกสังคมชั้นสูงถึงขีดสุด

เยี่ยซิวคิดจะส่งซูมู่เฉิงไปอยู่กับคนที่เขาไว้ใจได้ที่ต่างประเทศ แต่เขาก็กลัวว่าอำนาจของตระกูลจะไปถึง

ถ้าซูมู่เฉิงถูกพบตัวเข้า ไม่เท่ากับตกนรกทั้งเป็นเลยหรือไง

ในวันที่เยี่ยซิวมืดมนไร้ทางออก ตอนนั้นเองหวังเจี๋ยซีก็ยื่นมือเข้ามา

ฝ่ายนั้นยื่นข้อเสนอง่ายๆ บอกว่าจะช่วยปกป้องซูมู่เฉิงให้พ้นจากเงื้อมือตระกูลเยี่ย โดยมีข้อแม้เพียงอย่างเดียว

…คือตัวเขา

เยี่ยซิวไม่แม้แต่จะเสียเวลาคิดด้วยซ้ำ เขาตอบตกลงทันที เก็บข้าวของย้ายออกไปอยู่ตระกูลหวัง เพราะเขาเชื่อว่าด้วยอำนาจของหวังเจี๋ยซี จะไม่มีใครหาทั้งเขาและซูมู่เฉิงเจอ

ที่นั่นเยี่ยซิวได้พบกับชายหนุ่มคนหนึ่งที่เป็นลูกบุญธรรมของหวังเจี๋ยซี เพราะเยี่ยซิวก็มีน้องสาวบุญธรรม จึงรู้สึกพิเศษกับเฉียวอี้ฟานอยู่เล็กน้อย

เพื่อหนทางรอดและรับประกันความปลอดภัยของซูมู่เฉิง เยี่ยซิวใช้ทุกวิถีทางเพื่อที่จะล่อลวงเหยื่อให้มาติดกับอย่างไม่ลังเล

แน่นอนว่าเขามีความสัมพันธ์กับทั้งคู่โดยไม่รู้สึกผิดบาปอะไร

ความสัมพันธ์ทางกายสำหรับเยี่ยซิวก็แค่เซ็กส์ ดังนั้น ยิ่งมีตัวเลือกมากก็ยิ่งดีไม่ใช่หรือ

อีกอย่าง ใครจะได้เป็นทายาทตระกูลหวังที่แท้จริงก็ยังไม่แน่ เขาเคยพบเกาอิงเจี๋ยแล้ว เด็กคนนั้นเก่งมากก็จริง แต่ถ้ามีเขาอยู่ จะดันผลักดันให้เฉียวอี้ฟานเป็นขึ้นเป็นผู้นำก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้…

เยี่ยซิวไปถึงห้อง มองข้าวของบนโต๊ะที่ถูกตัดให้เป็นระเบียบแล้วรู้สึกไม่คุ้นตาอย่างบอกไม่ถูก ร่างโปร่งบางรีบรุดไปยังโต๊ะตัวนั้น มือเรียวพลิกปกสมุดสีฟ้าก็พบว่าบางสิ่งหายไป

“ใครเป็นคนทำความสะอาดโต๊ะ” เยี่ยซิวเอ่ยถามเสียงเรียบเฉยกับคนรับใช้ที่ดูไม่คุ้นหน้า
“เอ่อ ผมเองครับ”
“เห็นรูปถ่ายที่อยู่ในนี้ไหม” เยี่ยซิวยกสมุดขึ้นมาให้ดู คนรับใช้คนนั้นส่ายหน้า เยี่ยซิวถอนหายใจเฮือก ยกมือไล่อีกฝ่ายให้ออกไปจากห้อง

เยี่ยซิวมองหน้ากระดาษว่างเปล่า แพขนตายาวหลุบลง

ของจะไม่อยู่แล้วก็ช่างเถอะ เยี่ยซิวไม่รู้สึกอะไร เพราะหัวใจเขาได้ตายไปพร้อมกับใครคนนั้นแล้ว

แค่เพียงทำให้น้องสาวคนสำคัญรอดพ้นจากตระกูลเยี่ยได้ ต่อให้เบื้องหน้าเป็นหลุมลึกที่มองไม่เห็นก้น เขาก็จะโดดลงไปอย่างไม่ลังเล

 

 

 

:: 02 ::

 

หวังเจี๋ยซีมองรูปถ่ายเก่าๆ ในมือ มีเยี่ยซิวที่อายุน้อยกว่าตอนนี้มากยิ้มกว้างกอดคอกับเด็กหนุ่มหน้าตาดีอีกคน ตรงกลางระหว่างพวกเขามีเด็กสาวผมสีน้ำตาลอ่อน หน้าตาจิ้มลิ้มพริ้มเพรายืนอยู่

หวังเจี๋ยซียกยิ้มเย็นชา จุดไฟแช็กลงบนรูปถ่ายใบนั้น เปลวไฟค่อยๆ ลามเลียบุคคลในรูป หวังเจี๋ยซีปล่อยใันลงถังขยะ มองเศษซากที่เหลือเพียงเถ้าถ่าน

เขาไม่มีวันให้คนอื่นมีอิทธิพลต่อเยี่ยซิวเหนือเขาเด็ดขาด

หวังเจี๋ยซีหันหลังกลับไปยังทางเดิมที่จากมา ใบหน้าเรียบเฉยเยือกเย็นที่ไม่ว่าใครเห็นก็ต้องก้มหลบด้วยความหวาดกลัว

หวังเจี๋ยซีบริหารบริษัทของตระกูลที่ชื่อว่า เวยเฉ่า (จุลพฤกษ์) ที่ถูกพิษเศรษฐกิจจนเกือบล้มละลาย และสามาถพลิกขึ้นแท่นบริษัทลำดับต้นๆ ได้ในเวลาไม่นาน ลำพังเรื่องแค่นี้ก็สามารถการันตีความสามารถของเขาได้แล้ว แต่ไม่เคยมีใครล่วงรู้ถึงเบื้องหลังความสำเร็จนั้น

แท้จริงการที่ตระกูลหวังถือครองทรัพย์สินเป็นอันดับต้นๆ ของประเทศได้ ไม่ได้ทำธุรกิจเพียงอย่างเดียว

ตั้งแต่โลกเบื้องบนไปจนถึงโลกเบื้องล่าง ตั้งแต่ขาวสะอาดที่สุดไปจนถึงดำมืดที่สุด ตระกูลหวังล้วนมีอยู่ในครอบครองทั้งสิ้น

ในโลกเบื้องล่าง ตระกูลหวังทำธุรกิจที่ทำเงินได้มหาศาลมากที่สุด ในเวลารวดเร็วที่สุด

นั่นคือยาเสพติด

พวกเขาไม่ได้ผลิตยาเสพติดออกมา แต่เป็นผู้จำหน่ายตัวยาบางอย่างที่เป็นส่วนผสมสำคัญของยาเสพติด

ดังนั้น พวกเขาจึงถูกคนในโลกเบื้องล่างขนานนามว่า จงเฉ่าถัง (ตำหนักสมุนไพร)

การต้องบริหารปกครองทั้งในโลกมืดและโลกสว่างตั้งแต่วัยเยาว์หล่อหลอมให้หวังเจี๋ยซีเป็นคนเฉยชา

ขนาดตัวหวังเจี๋ยซียังเคยคิดว่าตนเองไม่มีหัวใจ

จนกระทั่งได้พบกับนักเปียโนแปลกๆ คนหนึ่งเมื่อห้าปีก่อน

 

ภายในภัตตาคารคุณภาพแค่สามดาวเท่านั้น ปกติแล้วหวังเจี๋ยซีไม่เคยเฉียดกรายเข้ามาใกล้เด็ดขาด แต่วันนั้นไม่รู้นึกครึ้มอะไร หวังเจี๋ยซีจึงบอกคนขับรถให้จอด แล้วเดินเข้าไปนั่งในร้านอาหาร

หวังเจี๋ยซีสั่งกับข้าวขึ้นชื่อของที่นี่มาห้าหกอย่าง ระหว่างรอ หวังเจี๋ยซีก็ได้ยินเสียงเปียโนอ่อนหวานถูกบรรเลงขึ้น

หวังเจี๋ยซีมองนักเปียโนคนนั้นราวกับต้องมนต์

มือของอีกฝ่ายสวยมาก ทั้งเล็กและดูบอบบางน่าทะนุถนอม

ยามที่อีกฝ่ายหันมาสบตา หวังเจี๋ยซีรู้สึกเหมือนเวลารอบด้านพลันหยุดลง

วันที่เขารู้ว่าตนเองมีหัวใจ เป็นวันเดียวกันกับที่ถูกช่วงชิงไปโดยพริบตา

หวังเจี๋ยซีมองตามความเคลื่อนไหวด้วยหัวใจเต้นรัว และมันแทบจะหยุดนิ่ง เมื่อเขาเห็นแล้วว่าเสียงเปียโนอ่อนหวานนี่ถูกบรรเลงเพื่อใครอีกคน

หวังเจี๋ยซีสั่งให้ลูกน้องสืบหาประวัติคนคนนี้มาโดยเร็วที่สุด จนได้ทราบทั้งชื่อ ทั้งประวัติโดยย่อ ทั้งเรื่องที่อีกฝ่ายมีคนรักแล้ว

เพราะเยี่ยซิวเป็นถึงคนตระกูลเยี่ย หวังเจี๋ยซีจึงไม่อาจสอดมือเข้าไปยุ่งได้โดยง่าย

จนช่วงพักหลัง หวังเจี๋ยซีได้ข่าวว่าเยี่ยซิวแตกหักกับตระกูลเยี่ย ตนจึงไม่รอช้า ใช้อำนาจทั้งหมดที่มีดึงตัวเยี่ยซิวมาให้ได้

คนที่เขาปราถนาจะได้มาตลอด บัดนี้มาอยู่ตรงหน้าเขาแล้ว

หวังเจี๋ยซีสังเกตลักษณะนิสัยของเยี่ยซิวได้หลายอย่าง ดังนั้นจึงพยายามล้อมจับเยี่ยซิวเอาไว้ในกรงที่มีชื่อว่าคฤหาสน์ตระกูลหวัง โดยที่ฝ่ายนั้นไม่รู้ตัว

และเขาก็รู้ว่าเพราะเยี่ยซิวไม่มั่นใจเรื่องซูมูเฉิง จึงพยายามหว่านสเน่ห์ไปทั่ว และผู้ที่ตกบ่วงสเน่ห์นั้นคือเฉียวอี้ฟาน ลูกชายบุญธรรมของเขาเอง

บอกตามตรงว่าการเปลี่ยนแปลงของเฉียวอี้ฟานทำให้เขาประหลาดใจมาก

“เขาไม่มีวันเลือกนาย”

หวังเจี๋ยซีเอ่ยไปอย่างนิ่งสงบ เขาเลือกความจริงที่เฉียวอี้ฟานไม่อาจปฏิเสธได้เพื่อรอดูปฏิกิริยาของอีกฝ่าย

เฉียวอี้ฟานกำหมัดแน่น เมื่อถูกตอกย้ำด้วยท่าทางนิ่งเฉยราวกับว่าต้องเป็นเช่นนั้นอยู่แล้วของอีกฝ่าย “ถึงตอนนี้เยี่ยซิวจะยังเลือกไม่ได้ แต่ผมจะทำให้เขาเลือกผมแน่นอน”
“มันไม่ง่ายขนาดนั้นหรอก” หวังเจี๋ยซีเว้นไปชั่วครู่ก่อนจะเอ่ยต่อ “อะไรคือสิ่งที่นายปราถนามากที่สุด”

เฉียวอี้ฟานตอบโดยไม่ต้องหยุดคิด “เยี่ยซิว”

หวังเจี๋ยซียิ้มเลือนราง สำหรับเด็กคนนี้เขาเลี้ยงมากับมือ จะว่าไม่มีความผูกพันธ์ก็ไม่เป็นเช่นนั้นเสียทีเดียว

“ฉันจะยอมถอยให้เธอก้าวหนึ่ง”
“คุณจะยอมถอย?” เฉียวอี้ฟานไม่อยากจะเชื่อ
“แค่ก้าวเดียวเท่านั้น” หวังเจี๋ยซีทวนคำพูดของตน “มาร่วมมือกับฉันสิ”
“นี่คุณหมายความว่า…” เฉียวอี้ฟานเบิกตากว้าง แต่ครู่เดียวก็ควบคุมอารมณ์ให้สงบนิ่งได้ การกระทำนั้นเรียกสายตาชื่นชมจากผู้เป็นบิดาบุญธรรม

กับเด็กคนนี้ เขายอมถอยให้ก้าวหนึ่ง

แต่ถ้าให้ปล่อยมือจากเยี่ยซิวนั้นไม่มีทาง และเขาคิดว่าเฉียวอี้ฟานก็ไม่มีทางยอมเช่นกัน

“เด็กน้อย คิดว่าได้ครอบครองเขาแค่ครั้งเดียวแล้วเขาจะกลายเป็นของเธอหรือไง โลกของผู้ใหญ่มันไม่ง่ายขนาดนั้นหรอก ร่วมมือกับฉันสิ”

จงเฉ่าถังมียาอยู่ตัวหนึ่ง

ไม่ใช่สารเสพติดโดยตรง แต่มีฤทธิ์ข้างเคียงที่ทำให้ผู้ที่ได้รับอย่างต่อเนื่องแค่ในปริมาณน้อยนิดจะเกิดอาการเสพติดเซ็กส์ รวมทั้งเสพติดสัมผัสของผู้ที่มอบความสุขให้ ข้อเสียอย่างเดียวคือต้องให้ทานอย่างต่อเนื่องทุกๆ วัน ซึ่งหวังเจี๋ยซีคงไม่มีเวลาว่างขนาดนั้น และคงไม่ไว้ใจให้คนอื่นทำง่ายๆ

พูดถึงตรงนี้ เฉียวอี้ฟานก็เข้าใจ

“แน่ใจหรือว่าพอหมดประโยชน์แล้วยังจะสามารถเหนี่ยวรั้งเขาไว้ได้”

หวังเจี๋ยซีเชื่อว่าอีกฝ่ายต้องตอบตกลง

เฉียวอี้ฟานเป็นคนฉลาด อีกอย่างเขาพบว่าพวกเขามีบางอย่างเป็นจุดร่วมกันมากกว่าที่คิด

เพราะพวกเขาต่างเหมือนกัน เป็นคนลุ่มหลงงมงายในรัก

“ตกลง ผมจะทำ”

หวังเจี๋ยซีเก็บรอยยิ้มมุมปาก สายตาราบเรียบที่มองตามแผ่นหลังหนึ่งในลูกบุญธรรมของตัวเองแฝงอะไรบางอย่างที่ลึกล้ำเกินจะคาดเดา

“ฉันจะรอดู”

 

เฉียวอี้ฟานทำตามที่พูดจริงๆ ที่เยี่ยซิวดื่มเพราะคิดว่าเป็นม็อกเทล ความจริงแล้วก็เป็นค็อกเทลเจือจาง เพราะเฉียวอี้ฟานรู้มาว่าเยี่ยซิวคออ่อนมาก

แค่ทำให้เยี่ยซิวยอมรับความสัมพันธ์ของพวกเขาสามคนได้ ที่เหลือก็จะไม่ยากอีกต่อไป

เยี่ยซิวจะถูกทำให้คุ้นเคย จนกระทั่งเสพติดสัมผัสของพวกเขาโดยไม่รู้ตัว

หวังเจี๋ยซียิ้มเย็นชา

เยี่ยซิว คุณไม่มีวันหนีจากผมไปได้หรอก

 

หวังเจี๋ยซีคลายปมเนคไทด์สีเขียวเข้มออก พลางปลดกระดุมข้อมือระหว่างเดินไปยังห้องดนตรี

เสียงครางแผ่วแว่วออกมา หวังเจี๋ยซีย่างสุขุมเข้าไปหาร่างที่นอนพาดอยู่บนแกรนด์เปียโน ใกล้กันมีชายหนุ่มอีกคนกำลังปลุกปั่นความปราถนาของร่างเพรียวบางอยู่

“มาได้จังหวะพอดีเลยครับ”

เฉียวอี้ฟานกล่าวต้อนรับ เอื้อมมือแหวกก้อนเนื้อนุ่มเพื่อเปิดทางให้แก่หวังเจี๋ยซี

หวังเจี๋ยซีสอดแทรกเข้าไปในร่างกายขาว เยี่ยซิวครางฮือ ใบหน้าแดงเรื่อด้วยแรงอารมณ์ซบอยู่บนแผ่นอกแน่นของเฉียวอี้ฟาน จากนั้นก็ถูกช้อนให้เงยหน้าขึ้นมาป้อนจูบ

หวังเจี๋ยซีขยับตัวตนเข้าออกในร่างกายงดงามอย่างลำพอง

เขาได้เยี่ยซิวมาอยู่ในมือแล้ว

อีกไม่นานหรอก อีกฝ่ายจะตกเป็นของเขาอย่างสมบูรณ์

 

 

 

 

END

แอออออ จบแล้ว—
ฮือ ว่ากันตามตรงเรื่องนี้ไม่มีคนดีค่ะ มีก็แต่ใครร้ายที่สุด อ่านจบได้โปรดอย่าตบตีกันนะคะ 55555
คำคมประจำเรื่อง: ใครมาก่อนมาหลังสำคัญด้วยหรือ เพราะยังไงก็ควบสองอยู่ดี—อะไรนะ ไม่ใช่เหรอ

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

QZGS

[Fic QZGS] – light and darkness 2 (หวังเยี่ยเฉียว)

Fic 全职高手 – light and darkness 2 (หวังเยี่ยเฉียว) (3P)
#หวังเยี่ย #เฉียวเยี่ย มาแค่พาร์ทน้องอี้ฟานค่ะ อัพความใจบาปไปอีกขึ้น ฮือออ นอนกันหมดแล้วเนอะ ดีแล้ว ;-;

NC18

 

 

 

 

 

:: 03 ::

 

“…เฉียว เสี่ยวเฉียว!”

หัวไหล่ถูกแตะเบาๆ เฉียวอี้ฟานพลันรู้สึกตัว รีบหันไปทางเจ้าของเสียงที่มองเขาอย่างติดกังวล

“เป็นอะไรหรือเปล่า วันนี้ดูไม่ค่อยมีสมาธิเลยนะ”

เฉียวอี้ฟานก้มหัวส่ายหน้า เรียกเสียงถอนหายใจจากเยี่ยซิว

เจ้าเด็กคนนี้มีโครงหน้าที่ใช้ได้ แต่ชอบก้มหน้า หลังงอ และไม่มีความมั่นใจในตัวเอง พักหลังมาพอจะแก้ไขได้บ้างแล้ว ไม่รู้วันนี้ทำไมเฉียวอี้ฟานถึงทำท่าหมดความมั่นใจแบบนั้น

เขาลูบบ่าเฉียวอี้ฟานอย่างปลอบประโลม “ถ้าเหนื่อยก็หยุดก่อนเถอะ ฉันจะไปบอกเสี่ยวหวังให้”

เป็นเจ้านายกับลูกจ้าง แต่ลูกจ้างเรียกเจ้านายเสียสนิทสนมแบบนั้น…เฉียวอี้ฟานพยักหน้าให้เงียบๆ มองมือของเยี่ยซิวผละออกไป ไออุ่นร้อนยังเหลือทิ้งอยู่บนหัวไหล่

“เอาล่ะ ถ้าเครียดเกอจะเล่นเปียโนให้ฟังแล้วกัน”

เยี่ยซิวนั่งลงข้างเฉียวอี้ฟาน มือคู่นั้นที่แสนงดงามจรดลงบนแกรนด์เปียโน ท่วงทำนองช้าแผ่วเริ่มขึ้น นิ้วเรียวยาวขยับพลิ้วไหว ปกติแล้วสายตาของเฉียวอี้ฟานมักจะถูกมันดึงดูดเข้าอย่างจัง แต่ครานี้กลับไม่เป็นเช่นนั้น

เพราะเยี่ยซิวมัวแต่จมอยู่ในห้วงอารมณ์ของบทเพลง จึงไม่รับรู้ถึงสายตาของชายหนุ่ม เฉียวอี้ฟานมองลอดผ่านไปใต้เสื้อเชิ้ตสีอ่อนที่ขยับตามความเคลื่อนไหวของเยี่ยซิว ร่องรอยแดงใต้ร่มผ้าปรากฏเข้าสู่สายตา แม้จะเห็นแค่เพียงไม่กี่วินาที แต่กลับชัดเจนเสียจนไม่อาจลบเลือนไปได้

เฉียวอี้ฟานกัดฟันแน่น ความเจ็บปวดเสียดแทงเข้ามาในอกเหมือนมีเข็มนับร้อยเล่มทิ่มตำพร้อมกัน

เมื่อเช้าเขาได้ข่าวว่าเกาอิงเจี๋ยกำลังจะกลับมา

เกาอิงเจี๋ยถือเป็นอัจฉริยะในทุกๆ ด้าน ถ้าหาก…ฝ่ายนั้นกลับมาแล้ว เยี่ยซิวจะมองข้ามเขาไปหรือเปล่า มองข้ามเขาไปยังอีกคนเหมือนกับทุกครั้ง เพราะว่าเกาอิงเจี๋ยช่างส่องสว่าง ส่วนเขาก็แค่คนในเงามืด ลำพังแค่สถานะภายในตระกูลก็ต่างกันราวฟ้ากับเหว

ทั้งพ่อบุญธรรม ทั้งเกาอิงเจี๋ย ทั้งคู่ดีกว่าเขาทุกอย่าง ไม่มีอะไรที่เขาจะสามารถเทียบได้เลย

ถ้าเยี่ยซิวไม่สนใจเขาเหมือนกับคนอื่นๆ เขาจะทนได้หรือ

เฉียวอี้ฟานไม่กล้าแม้แต่จะคิด

“เสี่ยวเฉียว เหม่ออะไรอีกแล้ว”

น้ำหนักถูกกดลงบนศีรษะ เยี่ยซิวยิ้ม ออกแรงขยี้ผมเขาจนยุ่งเหยิง

“เด็กดี เป็นอะไร อยากได้อะไรบอกเกอสิ”

ทุกครั้งที่เยี่ยซิวเรียกเขาเช่นนี้ เรียกด้วยน้ำเสียงเช่นนี้ เขามักจะอดรู้สึกเขินอายและดีใจเล็กน้อยไม่ได้ แต่ครั้งนี้กลับทำให้ความอึดอัดข้างในพุ่งสูงมากขึ้นกว่าเดิม

“…วัล”
“หืม?”
“ผมอยากได้รางวัล” เฉียวอี้ฟานพูดเสียงแผ่วเบาแต่ชัดเจน ดวงตามองสบอีกฝ่ายตรงๆ ไม่หลบเลี่ยง
“เอาสิ ถือว่าวันนี้เป็นรางวัลความพยายามของนายแล้วกัน”

เมื่อเยี่ยซิวทำท่าทางเป็นเชิงอนุญาตแล้ว เฉียวอี้ฟานจึงโน้มลง กลืนกินกลีบปากอุ่นนุ่มของอีกฝ่าย

“ฮะ…อือ”

เฉียวอี้ฟานละออกจากริมฝีปากแดงอิ่มอย่างอาวรณ์ เขาไม่อยากจะจากเยี่ยซิวไป เพียงแค่นึกถึงการที่ไม่มีเยี่ยซิวอยู่เคียงข้าง ด้านในก็เจ็บร้าวระบมไปหมด เขารู้สึกเหมือนหลงทางอยู่ในเขาวงกตมืดมิดที่ไร้ทางออก

แม้แต่เรื่องที่เขาควรยอมตัดใจจากเยี่ยซิวหรือเปล่า เฉียวอี้ฟานก็ยังไม่รู้เลย…

 

 

 

“วันนี้คึกคักกันจังนะ”

ทั้งคู่ยืนอยู่ท่ามกลางห้องโถงใหญ่ โคมไฟระย้าส่องประกายสวยงามถูกนำมาประกับตกแต่งอยู่ด้ายบน ผ้าม่านสีแดงกำมะหยี่ปักดิ้นทองหรูหราแขวนอยู่ตามผนังห้อง เฉียวอี้ฟานสังเกตคนข้างตัว เยี่ยซิวแค่มองภาพนี้อย่างเฉยเมย ดวงตาคู่นั้นคล้ายจะเบื่อหน่ายด้วยซ้ำ

เขารับแก้วแชมเปญจากบริกร แล้วยื่นส่งให้เยี่ยซิวแก้วหนึ่ง ซึ่งเจ้าตัวก็รับมาถือไว้เฉยๆ ไม่มีทีท่าจะดื่มแต่อย่างใด

“คุณไม่ดื่มหรือครับ”
“นี่น่ะหรือ เกอไม่ค่อยถูกกับแอลกอฮอล์น่ะ” เยี่ยซิวยกยิ้มมุมปากตอบเรียบเรื่อย สายตายังคงกวาดมองไปรอบห้อง

เฉียวอี้ฟานเก็บความสงสัยไว้ในใจ มองตามสายตาเยี่ยซิวก็ต้องชะงัก

“อี้ฟาน!” เกาอิงเจี๋ยกึ่งเดินกึ่งวิ่งมาทางเขา อีกฝ่ายสวมชุดสูทสีดำเนื้อดี รองเท้าหนังมันปลาบ ดูก็รู้ว่ามีมูลค่าไม่น้อย เฉียวอี้ฟานส่งยิ้มตอบกลับไปอย่างเป็นธรรมชาติ
“ไม่ได้เจอกันนานเลยนะอิงเจี๋ย”

เฉียวอี้ฟานปฏิเสธไม่ได้ว่าตนรู้สึกยินดีที่ได้เจอเกาอิงเจี๋ย แต่ส่วนลึกในใจกลับเห็นต่างอย่างสิ้นเชิง

“นั่นสิ! ห้าปีได้แล้วมั้ง สบายดีไหม”
“แน่นอน นายไปอยู่ที่นู่น…” ทั้งสองคนพูดกันเรื่อยเปื่อย จนกระทั่งเกาอิงเจี๋ยรู้สึกตัวว่าที่ตรงนี้ไม่ได้มีกันอยู่แค่สองคนก็ขอโทษขอโพยเยี่ยซิว ผู้อายุมากกว่าโบกมือเป็นเชิงไม่ถือสา

เยี่ยซิวอยู่ที่คฤหาสน์ตระกูลหวังมาหลายเดือน เรื่องที่ควรได้ยินก็ได้ยินมาหลายเรื่อง จึงนับว่าเคยได้ยินชื่อเกาอิงเจี๋ยอยู่บ้าง เมื่อได้พบตัวจริงก็วิเคราะห์ออกมาได้อย่างรวดเร็ว เพราะคนหนึ่งส่องสว่างจ้าจนเกินไป อีกคนจึงไม่เปล่งประกายเท่าที่ควร ไม่แปลกเลยที่เฉียวอี้ฟานมักจะถูกมองข้ามอยู่บ่อยๆ

คุยกันอีกพักหนึ่งเกาอิงเจี๋ยก็ถูกคนมาตาม ชายหนุ่มโบกมือลาทั้งคู่อย่างเกรงใจที่อยู่คุยด้วยไม่ได้ เฉียวอี้ฟานยิ้มไม่ว่าอะไร เพราะมันเป็นแบบนี้เสมอ

“หึๆ พอตัวจริงมา คนแถวนี้ก็ตกกระป๋องสินะ” เสียงพูดดังขึ้นลอยๆ เหมือนไม่เจาะจงใครเป็นพิเศษ แต่เฉียวอี้ฟานรู้ดี คำกระทบกระเทียบนี้ นอกจากเขายังจะเป็นใครได้อีก

“เสี่ยวเฉียว ทำไมนายถึงยอมอยู่เรื่อย” เยี่ยซิวเอ่ยขึ้นด้วยโทนเสียงเอื่อยๆ ฟังไม่ออกว่าชอบใจหรือไม่ชอบใจกันแน่

ไม่รอให้เฉียวอี้ฟานตอบ เยี่ยซิวก็พูดต่ออีกว่า “การไม่สนใจถ้อยคำขยะพวกนั้นมันก็ดี แต่ถ้านายไม่โต้ตอบเพราะคิดว่าเขาพูดถูกแล้ว อันนี้เกอเองก็ไม่ค่อยเห็นด้วยเท่าไหร่นะ เสี่ยวเฉียว เมื่อไหร่จะเลิกดูถูกตัวเองสักที”

เมื่อไหร่น่ะหรือ…เฉียวอี้ฟานลอบมองเสี้ยวหน้าของอีกฝ่ายแล้วเม้มปากแน่น

ไฟทั้งห้องโถงใหญ่ถูกดับลงอย่างกะทันหัน บรรดาแขกเหรื่อตกใจเล็กน้อย แต่ไม่นานก็กลับมาเป็นปกติเมื่อแสงสปอร์ตไลท์ถูกส่องไปยังกลางเวที เปียโนสีขาวถูกตั้งไว้บนนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่ทราบ ด้านหลังเปียโนยังมีชายหนุ่มคนหนึ่งนั่งอยู่

ชายหนุ่มบนเวทีสูดหายใจเข้าลึก ปลายนิ้วแตะลงบนเปียโนอย่างนุ่มนวล ดูราวกับเจ้าชายผู้สูงส่ง

ความสนใจของอี้ฟานขณะนี้ไม่ได้อยู่บนเวที แต่อยู่ที่ชายหนุ่มข้างๆ เขาเอง

เยี่ยซิวยืนทิ้งน้ำหนักลงบนขาข้างหนึ่ง มือถือแก้วอย่างไม่ใส่ใจ ริมฝีปากยกยิ้มน้อยๆ ดวงตาเป็นประกายจับจ้องไปยังการแสดงบนเวที

เป็นแบบนี้อีกแล้ว เป็นแบบนี้เสมอ

เฉียวอี้ฟานหลุบตาลงด้วยความร้าวราน ทุกคนก็เป็นเช่นนี้ ล้วนมองไปที่เกาอิงเจี๋ย เขาที่อยู่ข้างๆ ก็เหมือนแค่เงามืดที่คอยขับเน้นแสงสว่างให้เด่นชัดมากขึ้นเท่านั้น

เฉียวอี้ฟานกระดกของเหลวโปร่งแสงในมือจนหมด ยกมือเรียกบริกรเพื่อเปลี่ยนแก้วใหม่ จากนั้นก็ดื่มจนหมดอีกครั้ง

ไฟสว่างจ้า เกาอิงเจี๋ยโค้งตัวรับเสียงปรบมือจากผู้ชม หวังเจี๋ยซีเดินออกมาจากหลังม่าน โอบไหล่เกาอิงเจี๋ยเอาไว้ ชายหนุ่มอายุน้อยกว่าดูประหม่าอย่างเห็นได้ชัด แต่สักพักก็ผ่อนคลายลงด้วยฝีมือของผู้เป็นพ่อบุญธรรม

วันที่เกาอิงเจี๋ยกลับมา เป็นวันเดียวกับที่หวังเจี๋ยซีตั้งใจจะแนะนำเกาอิงเจี๋ยกับบุคคลภายนอกตระกูล

ของเหลวร้อนๆ ไหลลงคอราวกับน้ำเปล่า ในอกของเฉียวอี้ฟานมอดไหม้ไปด้วยความรู้สึกที่ไม่รู้จัก

“เสี่ยวเฉียว! ทำไมตาแดงอย่างนั้น เมาแล้วหรือเปล่า”
เยี่ยซิวร้องเรียกเขาอย่างตกใจ ฝ่ามือที่เล็กกว่าเขาเกือบสองเท่าสอดเข้ามาช่วยพยุงตัวเขาเอาไว้ เฉียวอี้ฟานเดิมทีตั้งใจจะส่ายหน้าปฏิเสธ แต่พอได้รับสัมผัสที่แนบชิดจากเยี่ยซิว เขาก็เปลี่ยนเป็นยืนพิงอีกคนเงียบๆ แทน

“ไหวไหม”

เฉียวอี้ฟานอ้าปากจะตอบ แต่แล้วก็เปลี่ยนเป็นส่ายหน้าเงียบๆ มือใหญ่ตามมาตรฐานของชายหนุ่มโอบรอบเอวของเยี่ยซิวที่กำลังมองเขาด้วยความกังวล

“ให้เกอช่วยพากลับห้องไหม”
“…ครับ”

เยี่ยซิวพยุงเขาออกจากโถงจัดงาน ขึ้นไปบนชั้นสอง ระหว่างทางผ่านห้องดนตรีใหญ่ที่อีกฝ่ายชอบมาซ้อมในทุกๆ วัน

เฉียวอี้ฟานหยุดอยู่กับที่ เอ่ยอ้อนวอน “ผมอยากฟังคุณเล่นเปียโน เล่นให้ผมฟังหน่อยนะครับ”
“ตอนนี้?” เยี่ยซิวดูลังเล แต่พอเห็นเขายืนยันอย่างดื้อรั้นก็ยอมแพ้ พาชายหนุ่มอายุน้อยกว่าตนเองเข้าไปแต่โดยดี

เยี่ยซิวให้เฉียวอี้ฟานนั่งลงบนเก้าอี้ ส่วนตนเองก็เดินไปยังแกรนด์เปียโนที่ตั้งตระหง่านอยู่กลางห้อง ยังไม่ทันจะถึงดี เยี่ยซิวก็รู้สึกถึงแรงกระแทกจากด้านหลังจนร่างกายเสียหลักล้มลงไปบนเปียโนหลังใหญ่

“เสี่ยวเฉียว?”

เฉียวอี้ฟานไม่ตอบ ร่างกายของชายหนุ่มร้อนผ่าวเหมือนมีเตาไฟอยู่ด้านใน เฉียวอี้ฟานขยับมือปลดเข็มขัดของร่างโปร่งบางอย่างรวดเร็ว กางเกงสีเข้มร่นลงมาอยู่ที่ปลายเท้า สอดมือเข้าไปกระตุ้นความเป็นชายที่จุดกึ่งกลาง เยี่ยซิวร้องอา ร่างสูงเพรียวสั่นสะท้าน ฟุบหน้าลงกับเปียโน

“อึก เสี่ยว…เสี่ยวเฉียว”

เฉียวอี้ฟานเปลื้องชุดสูทเนื้อดีของอีกฝ่ายออก แกรนด์เปียโนสีดำสนิทตัดกับแผ่นหลังขาวราวหิมะของอีกฝ่าย ยิ่งขับให้ร่างกายของเยี่ยซิวงดงามน่าลุ่มหลง

เฉียงอี้ฟานลูบไล้บนรอยรักที่ถูกทิ้งไว้บนเรือนร่างเพรียวบาง ไล่ตั้งแต่ลำคอ ลาดไหล่ ไปจนถึงกระดูกสะบักที่เป็นเส้นสายสวยงาม

‘เสี่ยวเฉียว ทำไมนายถึงยอมอยู่เรื่อย’

ประโยคที่เยี่ยซิวพูดกับเขาในงานเลี้ยงเมื่อครู่ดังวนเวียนในหัว

…นั่นสิ ทำไมเขาต้องยอม…

ปลายนิ้วหยอกล้อกับตุ่มไตขึ้นสีชูชัน อีกด้านก็ยังคงปรนเปรอความต้องการให้แก่ร่างด้านใต้ไม่ช้าไม่เร็ว เฉียวอี้ฟายพรมจูบบนผิวเนื้อนุ่ม แลบลิ้นเลียและขบเม้มสร้างรอยรักของตนแทนที่ร่องรอยเก่าที่เหลืออยู่

เป็นเด็กดีแล้วอย่างไร

ถ้าการเป็นเด็กดีครอบครองคุณไม่ได้

งั้นผมก็ไม่อยากเป็นเด็กดีอะไรทั้งนั้น

เฉียวอี้ฟานตระเตรียมช่องทางด้านหลังจนอ่อนนุ่ม สองมือแหวกเนินเนื้อหนั่นแน่น ชำแรกตัวตนเข้าไปในร่างกายของอีกฝ่าย ความร้อนและคับแน่นโอบล้อมแก่นกลางของเขาจนเฉียวอี้ฟานรู้สึกราวกับกำลังหลอมละลายคนทั้งคู่เข้าเป็นหนึ่งเดียว

“อ๊ะ อา เสี่ยวเฉียว” เสียงคราวแว่วหวานดังออกมาจากใต้ร่าง เฉียวอี้ฟานโน้มลงไปขบกัดใบหูกลมเกลี้ยงของเยี่ยซิว เปล่งเสียงที่เต็มไปด้วยแรงอารมณ์ไม่ต่างกัน

“อี้ฟาน เรียกผมว่าอี้ฟาน”

เฉียวอี้ฟานขยับเน้นกระแทกไปตรงจุดกระสันของร่างโปร่งบาง ความวาบหวามแล่นปราดเสียจนต้องพร่ำเพ้อออกมา

“อา อา อี้ฟาน…”

เฉียวอี้ฟานพลิกร่างเยี่ยซิวให้หันกลับมา ประกบจูบลงไปบนริมฝีปากสีเรื่อ เยี่ยซิวเผยอปาก ยินยอมให้อีกคนส่งลิ้นเข้ามาพัวพัน ขาเรียวทั้งสองของตวัดรัดรับแรงที่ถาโถมกระหน่ำเบื้องล่าง

อารมณ์ของทั้งคู่พุ่งไปยังจุดสูงสุด ส่วนปลายของเยี่ยซิวปลดปล่อยของเหลวออกมาเปรอะเปื้อนหน้าท้อง เฉียวอี้ฟานขยับอีกไม่กี่ครั้งของเหลวอุ่นร้อนก็ถูกหลั่งเข้ามาเติมเต็มด้านในของเรือนร่างผอมบาง

ใครอยากจะเอาอะไรไปก็เอาไปเถอะ ใครจะใช้ผมทำอะไรผมไม่เคยว่า

แต่กับเรื่องเยี่ยซิว

…ผมไม่ยอม…

ชายหนุ่มหลับตาลงจุมพิตบนพวงแก้มขาว กระซิบแผ่วเบาที่ข้างหูของอีกคน เสียงนั้นเต็มไปด้วยความรู้สึกในใจที่ไม่เคยได้เอื้อนเอ่ยออกไป

 

“เยี่ยซิว…

 

…ผมรักคุณ”

 

 

 

 

 

 

–TBC–

มีแต่พาร์ทน้องอี้ฟาน แงง ตอนหน้าจบจริงแล้วค่ะ เป็นพาร์ทพี่เยี่ยกับพี่หวัง

ดึกแล้วลงอะไรก็ได้เนอะ //_\\

QZGS

[Fic QZGS] – light and darkness 1 (หวังเยี่ยเฉียว)

Fic 全职高手 – light and darkness 1 (หวังเยี่ยเฉียว) (3P)
#หวังเยี่ย #เฉียวเยี่ย ขอโทษ เรามันใจบาปปป ใจบาปมากกกกกก แงงง

3p nc-18

ช่วงแรกไม่มีอะไร ไสยๆ มันอยู่ช่วงท้ายค่ะ ฟฟฟ

 

 

 

 

:: 01 ::

 

เฉียวอี้ฟานมีเพื่อนสนิทอยู่คนหนึ่ง ตั้งแต่จำความได้ จนกระทั่งถูกตระกูลรับมาอุปการะ ก็อยู่ด้วยกันมาโดยตลอด

ผู้นำตระกูลหวังรุ่นนี้ไม่อาจมีทายาทได้ จึงรับเด็กมีความสามารถมาอุปการะหลายคน เฉียวอี้ฟานและเกาอิงเจี๋ยถูกรับเข้าตระกูลสายหลัก พรสวรรค์ของเพื่อนสนิทโดดเด่นเป็นอย่างมากจนใครๆ ก็ชื่นชม

เกาอิงเจี๋ยถูกจับตามองเป็นอย่างมากในฐานะผู้ที่อาจจะขึ้นเป็นผู้นำตระกูลต่อจากหวังเจี๋ยซีพ่อบุญธรรมของพวกเขา มีผู้คนรายล้อมสนิทสนมมากมาย คนอื่นในตระกูลไม่ว่าจะเป็นสายหลักหรือสายรองก็พากันเข้ามาตีสนิท ต่างจากเขาที่มักจะถูกมองข้าม

ความสามารถของเฉียวอี้ฟานไม่นับว่าแย่ ไม่ว่าจะผลการเรียน กีฬา ศิลปะ ดนตรี เขาก็ทำได้กลางๆ เสมอมา

ครั้งหนึ่งในวัยเด็ก เขาเคยสอบตก เฉียวอี้ฟานตอนนั้นหวาดกลัวว่าจะถูกผู้เป็นพ่อดุด่า มือเล็กๆ กำแน่น เดินตัวหดลีบตามหลังเกาอิงเจี๋ยเข้าไปในห้องของหวังเจี๋ยซี สีทึมทึบของผนังทำให้จิตใจของเขาไม่อาจสงบลงได้

หวังเจี๋ยซีนั่งอยู่บนเก้าอี้บุนวมหนานุ่ม ดวงตาขนาดใหญ่ข้างเล็กข้างมีแววบางอย่างที่คนทั่วไปอ่านไม่ออก เฉียวอี้ฟานรู้สึกถึงแรงกดดันจากผู้เป็นพ่อบุญธรรมจนเหงื่อแตกพลั่ก หวังเจี๋ยซีมองเด็กน้อยที่ก้าวเข้ามา กล่าวชมเชยเกาอิงเจี๋ยที่สอบได้คะแนนเต็มด้วยเสียงทุ้มนุ่ม คุยเรื่อยเปื่อยสักพักก็จบด้วยคำว่าขอให้เป็นแบบนี้ต่อไป ตลอดเวลาที่อยู่ในห้อง หวังเจี๋ยซีไม่ได้มองมาทางเฉียงอี้ฟานที่ยืนอยู่ด้านหลังแม้แต่ครั้งเดียว

เหมือนเป็นธาตุอากาศ

ยิ่งเติบโตเฉียวอี้ฟานก็ยิ่งแน่ใจขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าเขาจะทำผิดอะไร ไม่ว่าเรื่องนั้นจะร้ายแรงแค่ไหน ก็ไม่เคยได้โดนดุด่าสักคำ ไม่แม้แต่จะได้รับคำตำหนิติเตียน

เช่นเดียวกับไม่ว่าจะทำดีแค่ไหน ก็ไม่เคยได้รับคำชมกลับมา เขาตระหนักได้ว่า…ไม่เคยมีใครคาดหวังอะไรจากเขาเลยแม้แต่อย่างเดียว

ไม่มีใครสนใจเขา และยิ่งไม่มีใครใส่ใจเขา นอกจากเกาอิงเจี๋ยแล้ว เฉียวอี้ฟานก็ไม่อาจพูดได้ว่าสนิทกับใครอย่างเต็มปาก มีแค่เกาอิงเจี๋ยคอยเป็นห่วงเป็นใยเขาอยู่ตลอด แต่ช่องว่างระหว่างพวกเขาใหญ่จนเกินไป ยิ่งเกาอิ๋งเจี๋ยดีกับเขามากเท่าไหร่ เฉียวอี้ฟานยิ่งรู้สึกเหมือนมีเงามืดเกิดขึ้นภายในจิตใจ

ยิ่งเวลาผ่านไปก็ยิ่งขยายใหญ่มากขึ้นโดยไม่รู้ตัว

เกาอิงเจี๋ยได้ไปเรียนต่อที่ต่างประเทศท่ามกลางแรงสนับสนุนจากรอบข้าง ส่วนเขาเฉียวอี้ฟานยังคงเป็นแบบเดิม คนชายขอบที่ไม่มีใครสนใจ

“อ้าว เฉียวอี้ฟานไม่ใช่หรือไง” น้ำเสียงวางอำนาจเล็กๆ ดังอยู่ไม่ไกล เฉียวอี้ฟานยิ้มจนใจ จำต้องทักทายตอบไปอย่างสุภาพ

“สวัสดีครับ”

เซียวหยุนคนนี้มาจากตระกูลสายรอง แต่เพราะเฉียวอี้ฟานดูหงออ่อนแอ ตนจึงกล้าวางอำนาจกับอีกฝ่ายเป็นประจำ

เฉียวอี้ฟานถูกปฏิบัติเสมือนเป็นลูกไล่อีกฝ่ายกลายๆ

หลักจากทักทายกันพอสมควรเฉียวอี้ฟานก็ขอตัวออกมาก่อนด้วยท่าทางเกรงใจ

ช่วยไม่ได้นี่ ใครใช้ให้เขาเป็นคนชายขอบกันล่ะ เขาหัวเราะขื่นๆ

“มีอะไรกันหรือครับ” เฉียวอี้ฟานเห็นเมดหลายคนจับกลุ่มกันจึงถามขึ้น
“คุณชายอี้ฟาน” หัวหน้าเมดก้าวออกมา โค้งตัวอย่างนอบน้อม “วันนี้จะมีครูสอนเปียโนคนใหม่เข้ามาค่ะ”
“งั้นหรือครับ ทำไมอยู่ดีๆ ถึงเปลี่ยนคนล่ะ”
“ครูคนเก่าลาออกน่ะค่ะ วันนี้จะมีคนมาสมัครใหม่”

เฉียวอี้ฟานพยักหน้าตอบรับแม้ในใจจะแปลกใจปนเสียดายก็ตาม

ถ้าพูดถึงสิ่งที่เขาทำได้ดีที่สุด คงจะเป็นเปียโน

แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังสู้เกาอิงเจี๋ยไม่ได้อยู่ดี เฉียวอี้ฟานยิ้มขมขื่นอีกครั้ง

และวันนั้นเขาก็ได้พบ…คนที่จะเปลี่ยนแปลงเขาไปตลอดกาล

 

 

“เสี่ยวเฉียว ตรงนี้ลองใส่อารมณ์เข้าไปให้มากกว่านี้หน่อย”
“อะ ครับ”

เฉียวอี้ฟานพยายามทำตามคำแนะนำของครูสอนเปียโนคนใหม่ แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะยังไม่พอใจ เยี่ยซิวค้อมตัวลง นิ้วเรียวงดงามกดลงบนคีย์เปียโนอยู่เบื้องหน้าของเขา แต่สมาธิของเฉียวอี้ฟานกลับไม่อยู่กับมันเท่าไหร่เลย

“ไม่ต้องกังวลเรื่องตัวโน้ตจนเกร็ง สบายๆ ปล่อยไปตามอารมณ์ นายทำได้อยู่แล้ว” เยี่ยซิวยังคงแนะต่ออย่างใจเย็น

ไม่มีใครเคยได้ยินชื่อเยี่ยซิวในฐานะนักเปียโนมาก่อน เยี่ยซิวเดินอาดๆ เข้ามาสมัครงานถึงในคฤหาสถ์อย่างไม่เกรงกลัว เฉียวอี้ฟานถูกอีกฝ่ายดึงดูดตั้งแต่ท่าทางมั่นหน้านั่นแล้ว คล้ายกับว่าคฤหาสน์หลังโตกับทรัพย์สินมากมายไม่อาจทำให้เขาสนใจได้

ทีแรกทุกคนมองเยี่ยซิวด้วยสายตาไม่มั่นใจและไม่เชื่อถือ ท่าทางเบื่อหน่ายเกียจคร้าน แววตาไม่มีความกระตือรือร้นต่อสิ่งใด ขนาดอยู่ต่อหน้าผู้นำตระกูลหวังก็ยังดูสบายๆ เฉียวอี้ฟานนึกนับถืออีกฝ่ายขึ้นมาครามครัน

กล่าวได้ว่าเยี่ยซิวเป็นคนหน้าตาค่อนข้างดี ผิวพรรณเปล่งปลั่งราวกับคุณชายที่ไหน แต่ด้วยบุคลิกท่าทางทำให้ดูไม่โดดเด่น มองเผินๆ อาจกลืนไปกับผู้คนได้อย่างได้ ไม่มีใครคาดว่าเมื่อยามที่เยี่ยซิวพรมนิ้วลงบนเปียโนนั้นจะเปลี่ยนไปเป็นคนละคน

ท่วงทำนองหนักแน่นมีพลัง ปลายนิ้วเล็กเรียวสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างดุดัน มีเสน่ห์ดึงดูดสายตาผู้คน แม้แต่พ่อบุญธรรมของเขา หวังเจี๋ยซียังจับจ้องอีกฝ่ายไม่วางตา

แน่นอนว่าเยี่ยซิวก็ได้งานไปอย่างไม่ยากเย็นนัก หวังเจี๋ยซีบอกให้เยี่ยซิวลองสอนเฉียวอี้ฟานดู เยี่ยซิวมองพิจารณาเขาสักพัก แล้วบอกให้เขาเล่นเพลงอะไรก็ได้ให้ฟังหนึ่งเพลง

เฉียวอี้ฟานเล่นจนจบ มองเยี่ยซิวด้วยใจตุ้มๆ ต่อมๆ คราวนี้เยี่ยซิวลองให้เฉียวอี้ฟานเล่นประสานกับตนเอง ทีแรกเฉียวอี้ฟานยังไม่กล้า แต่เมื่ออีกฝ่ายบรรเลงเปียโน เหมือนมีมนต์บางอย่างชักนำให้เขาทำมันบ้าง เยี่ยซิวรับส่งกับเขาเป็นอย่างดี คนที่ไม่เคยซ้อมด้วยกัน กลับเล่นเข้าขากันอย่างน่าประหลาด เฉียวอี้ฟานไม่เคยเล่นเปียโนแล้วรู้สึกอย่างนี้มาก่อน

เยี่ยซิวเงียบไปครู่หนึ่ง “นายมีหูที่ดีนะ เล่นประสานได้ดีเลย”
“จ..จริงหรือครับ”
“แน่นอนสิ”

จากวันนั้นเฉียวอี้ฟานก็เริ่มมีความมั่นใจมากขึ้น เขาพบว่าเยี่ยซิวเก่งมาก และมีพรสวรรค์อย่างมากด้วย อีกฝ่ายสอนเขาอย่างใจเย็น และพบสิ่งที่ไม่เคยมีใครพบจากตัวเขามาก่อน

“นายมีศักยภาพนะ เสี่ยวเฉียว”

เพราะประโยคนั้น ทำให้เฉียวอี้ฟานทั้งทุ่มเท ฝึกซ้อมอย่างเอาเป็นเอาตาย หัวใจเริ่มรู้สึกเต็มตื้นขึ้นมาอีกครั้ง

มีแค่เยี่ยซิวคนเดียวที่ชื่นชมเขา มีแค่เยี่ยซิวคนเดียวที่มองเห็นเขา เห็นตัวตนของเขา ไม่ใช่มองในฐานะทายาทตระกูลหวังคนหนึ่ง

 

“คิดอะไรอยู่”

เสียงเอื่อยๆ ดังขึ้นใกล้ตัวทำให้เฉียวอี้ฟานหลุดออกจากภวังค์ ชายหนุ่มหันไปส่งยิ้มขอลุแก่โทษให้แก่อาจารย์ของตนเอง

เยี่ยซิวหรี่ตาลง หางตาที่ตกเล็กน้อยทำให้อีกฝ่ายดูง่วงงุนและยั่วยวนอย่างไม่ตั้งใจ เสื้อเชิ้ตแขนยาวที่ดูหลวมกว่าคนใส่เล็กน้อย ทำให้ร่างกายดูโปร่งบางยิ่งขึ้น

สายตาของเฉียวอี้ฟานเลื่อนลงไปยังสะโพกสอบกระชับ ขาเรียวยาวที่อยู่ภายกางกางสแล็คสีน้ำตาลเนื้อดีของเยี่ยซิว

เยี่ยซิวเป็นคนมีเสน่ห์ มีความมั่นใจ มีรูปลักษณ์ภายนอกไม่ได้ถือว่าดีเลิศ แต่ยามที่ปลายนิ้วขาวสะอาดจรดลงบนคีย์เปียโนมีมนต์เสน่ห์น่าลุ่มหลง สะกดทุกสายตาเอาไว้

เยี่ยซิวโน้มลงมาสาธิตให้เขาดูอีกครั้ง เฉียวอี้ฟานเผลอกลั้นหายใจเมื่อแผ่นหลังของตนแนบอยู่กับแผ่นอกของเยี่ยซิว เขารับรู้ถึงความรู้สึกบางอย่างค่อยๆ เติบโตขึ้นอยู่ข้างในมาสักพักแล้ว และเขาไม่เคยคิดจะหยุดมัน

“ดีมาก” เยี่ยซิวชมเชยเขา ทำให้เฉียวอี้ฟานรู้สึกทั้งภูมิใจทั้งยินดี
“เอ่อ ขอบคุณครับ คือ…”
“หืม?”
“เอ่อ คือ…”
“อ้อ อยากได้รางวัล?” เยี่ยซิวคาดเดาเจตนาของอีกฝ่ายออก
“…ครับ” เฉียวอี้ฟานอ้อมแอ้มตอบเสียงเบา

ได้ยินเสียงหัวเราะแผ่วของเยี่ยซิว ชายหนุ่มรู้สึกว่าใบหูตนเองร้อนขึ้นมาทันควัน เขายืดตัวขึ้น ใช้มือประคองใบหน้าอีกฝ่ายให้ก้มลงมาอย่างระมัดระวัง เอ่ยเบาๆ ว่า ขออนุญาตครับ จากนั้นก็ประทับริมฝีปากลงไป

ลิ้นร้อนถูกดึงดูดเข้าหากัน อุ่นนุ่มและรู้สึกดี เฉียวอี้ฟานขยับใบหน้าเพื่อมอบสัมผัสที่ลึกล้ำขึ้นให้อีกฝ่าย ขยับกวาดทั่วโพรงปาก จังหวะที่นุ่มนวลเปลี่ยนมาเป็นเร่าร้อนขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ เขาล็อกศีรษะเยี่ยซิวเอาไว้ รู้ตัวอีกทีแก้มของเยี่ยซิวก็เปลี่ยนเป็นสีเรื่อ อ้าปากหอบน้อยๆ เฉียวอี้ฟานเหมือนถูกดึงดูดเข้าไปในวังวนแสนแปลกประหลาด ริมฝีปากทาบทับลงไปอีกครั้ง และอีกครั้ง รู้สึกถึงบางสิ่งที่เต้นรัวอย่างบ้าคลั่งในอก

ความรู้สึกนั้นหยั่งรากลึกลงสู่ภายในใจ และเฉียวอี้ฟานก็ไม่คิดว่าจะถอนมันออกไปได้ง่ายๆ…

ใช่

เขาหลงรักครูสอนเปียโนของตัวเอง

 

 

 

 

 

:: 02 ::

 

ตลอดชีวิตที่ผ่านมาหวังเจี๋ยซีดำเนินตามกรอบระเบียบของคนตระกูลหวังมาโดยตลอด

หวังเจี๋ยซีนับว่าเป็นผู้นำตระกูลที่ดีที่สุดเท่าที่เคยมีมา ทั้งฉลาด สุขุม จริงจัง เสียสละ เขาเติบโตท่ามกลางสายตาจับจ้องคนทั้งตระกูล

ใช้ชีวิตอยู่ภายใต้แสงสว่าง เจิดจรัส เขาไม่เคยมีความปราถนาอะไรเป็นพิเศษ ทำสิ่งที่เห็นสมควรว่าต้องทำ ไม่เอาความรู้สึกมาเกี่ยวข้อง อุทิศตนเองเพื่อตระกูล

เพราะมีลูกไม่ได้ เขาถึงรับเด็กมาเลี้ยงดูด้วยกันท้ังหมดสองคน

คนแรกเกาอิงเจี๋ย เป็นเด็กดีที่มีพรสวรรค์มาก ตอบสนองตามความคาดหวังของตระกูลได้ทุกอย่าง หวังเจี๋ยซีหมายมั่นปั้นมือไว้ว่าจะให้เด็กคนนี้เป็นผู้นำรุ่นต่อไป

ส่วนอีกคนคือเฉียวอี้ฟาน

ตั้งแต่ยังเล็ก เพราะถูกนำไปเปรียบเทียบกับอีกคนอยู่บ่อยๆ จึงขาดความมั่นใจมาโดยตลอด หวังเจี๋ยซีเองก็พยายามไม่ไปกดดันเด็กคนนี้มาก ถึงอย่างไรก็มีหลายครั้งที่เขาเผลอมองข้ามเด็กคนนี้ไป เพราะความจืดจางของอีกฝ่าย

ชีวิตเขาเรียบง่าย ไม่มีสีสัน ถ้าใครมารับรู้เข้าคงต้องไม่เชื่อว่าเขาจะจืดชืดขนาดนี้

เขาเคยคบกับผู้หญิงมาหลายคน แต่ละคนล้วนเป็นคุณหนูตระกูลใหญ่ เพรียบพร้อมทั้งรูปและทรัพย์ กล่าวได้ว่าล้วนไม่มีที่ติ แต่ก็ไม่เคยมีใครเติมเต็มเขาได้ ไม่เคยมีใครสะกดสายตาเขาได้ และไม่เคยมีใครทำให้หัวใจดวงนี้เต้นแรงมาก่อน

จนกระทั่งเขาได้พบกับนักเปียโนแปลกๆ คนหนึ่ง

เยี่ยซิวมาทำงานอยู่ที่คฤหาสน์ตระกูลหวังได้หลายเดือนแล้ว หวังเจี๋ยซีให้อีกฝ่ายพักที่นี่ไปเลย เพื่อความสะดวกในการเดินทาง แน่นอนว่าเยี่ยซิวไม่ขัดข้อง

ในตอนเย็น เมื่อเยี่ยซิวหมดภาระหน้าที่แล้วจะชอบไปนั่งเล่นเปียโนอยู่ที่ห้องดนตรีใหญ่

“ไฮ”

อีกฝ่ายมักจะทักทายเขาก่อน หวังเจี๋ยซีทักทายตอบกลับ จากนั้นก็ยืนฟังเยี่ยซิวเล่นเปียโนเงียบๆ

“คุณหวังอยากจะฟังเพลงอะไรหรือ ให้เกียรติผมบรรเลงให้คุณฟังสักเพลงสิ” เยี่ยซิวค้อมตัวให้เขา มุมปากยกยิ้มดูซุกซน

“บอกแล้วว่าไม่ต้องเรียกผมอย่างนั้น อีกอย่างผมอายุน้อยกว่าคุณ” หวังเจี๋ยซีแย้งขึ้นเบาๆ เยี่ยซิวหัวเราะ ดวงตาพราวระยิบระยับเหมือนมีดวงดาวนับล้านอยู่ในนั้น หวังเจี๋ยซีมองมันอย่างไม่อาจหักห้ามใจไว้ได้

ว่ากันตามตรง หวังเจี๋ยซีไม่ได้รู้สึกอะไรกับการที่ตนจะมีลูกได้หรือไม่ได้เป็นพิเศษ แต่วินาทีนั้น พลันรู้สึกว่าตนโชคดีขึ้นมา

เมื่อมีลูกไม่ได้ การจะแต่งงานหรือไม่แต่งก็ไม่ต่างกัน เขาไม่จำเป็นต้องปวดหัวกับการเลือกคู่ครองที่เหมาะสมจากตระกูลต่างๆ เพราะอย่างไรทายาทคนต่อไปย่อมไม่ใช่สายเลือดของเขาอยู่แล้ว

“ได้ๆ เสี่ยวหวัง แบบนี้พอใจหรือยัง”

หวังเจี๋ยซีขมวดคิ้ว บอกไม่ถูกว่าไม่พอใจตรงไหน จึงได้แต่พยักหน้ารับแกนๆ

เขาคิดว่าเยี่ยซิวเหมือนแมว แมวดำหยิ่งผยองที่ชอบทำอะไรตามใจ

หวังเจี๋ยซีเดินเข้าไปใกล้ ฉกชิงริมฝีปากของอีกคนมาอย่างรวดเร็ว จับยึดอีกฝ่ายไว้แน่น ไม่ยอมให้ดิ้นหลุดไปได้

เรียวลิ้นถูกดึงไปพัวพัน ขาถูกดันเข้าไปแทรกกึ่งกลางของเยี่ยซิว หวังเจี๋ยซีดูดดึงจนกลีบปากของอีกคนบวมเจ่อ อ้อมแขนแข็งแรงยังคงกักขังไม่ให้ไปไหน

เพราะเป็นแมวดำที่แสนจะร้ายกาจ ที่พอได้สิ่งที่ต้องการ ก็จะสะบัดก้นหายไปอย่างไม่ไยดี

“คืนนี้…” หวังเจี๋ยซีเสียงพร่า ดวงตาเต็มไปด้วยความต้องการอย่างลึกล้ำ
“คืนนี้ทำไม”
เห็นแมวน้อยของตนกำลังยิ้มยั่ว หวังเจี๋ยซีคำรามต่ำในลำคอ “คุณอย่าแกล้งไม่รู้”
“หึๆ”
เยี่ยซิวลากไล้ปลายนิ้วตามสันคอของอีกคน ดวงตาสีดำส่อแววระยับ “ไม่ต้องคืนนี้หรอก ตอนนี้ก็ได้นี่”

นัยน์ตาของหวังเจี๋ยซีเข้มขึ้น บดจูบลงไปบนริมฝีปากบางที่เอ่ยอย่างถือดีเมื่อครู่ให้เหลือเพียงเสียงหอบคราง มือขยับปลดกระดุมเสื้ออย่างชำนิชำนาญ ผิวขาวเนียนไร้ตำหนิปรากฏขึ้นสู่สายตา หวังเจี๋ยซีลดลงมาใช้ลิ้นหยอกล้อกับหน้าอกที่สะท้อนขึ้นลงอย่างหนักหน่วง ลูบวนบนหน้าท้องแบนราบ เลื่อนลงไปสัมผัสกับจุดกึ่งกลางที่กำลังตื่นตัว

“อือ”

เยี่ยซิวรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังล่องลอย ปลายเท้าแทบไม่ติดพื้น นิ้วแทรกเข้าไปในเรือนผมชื้นเหงื่อของอีกฝ่าย ริมฝีปากแดงฉ่ำหลุดเสียงออกมายามที่ส่วนอ่อนไหวถูกเล้าโลม ตัวตนของเขาขยับขยายอยู่ในมือของหวังเจี๋ยซี ยอดอกถูกดูดกลืนขบเม้มจนสั่นสะท้าน เผลอแอ่นกายตอบรับอย่างลืมตัว

หวังเจี๋ยซีปลดเปลื้องอาภรณ์ที่แสนเกะกะของอีกคนทิ้งไป คว้าขาเรียวยาวมาเกาะเกี่ยวเอวของตนไว้ข้างหนึ่ง สอดนิ้วเข้าไปบุกเบิกช่องทางอันคับแคบ ข้อนิ้วครูดไปตามผนังบอบบาง ขบกัดบนลาดไหล่แคบของคนซึ่งตอนนี้เหลือเพียงเสื้อเชิ้ตหลุดลุ่ยที่ไม่มีกระดุมแม้แต่เม็ดเดียว

“อือ..อ๊า”

หวังเจี๋ยซีสอดแทรกความปราถนาที่อัดอั้นจนแทบระเบิดเข้าไปในตัวของอีกฝ่าย ขยับขึ้นลงช้าๆ รอให้เยี่ยซิวคุ้นชิน ภายในช่องทางรัดตัวตนของหวังเจี๋ยซีแน่นจนเขาต้องสูดหายใจเข้าลึก จากนั้นก็เริ่มกระแทกอย่างหนักหน่วงมากขึ้น

แผ่นหลังของเยี่ยซิวแนบเข้ากับผนังเย็นลื่น หวังเจี๋ยซีมองไปหน้าที่พราวไปด้วยหยาดเหงื่ออย่างหลงใหล เขาจูบซับน้ำตาที่เอ่อคลอบดบังนัยน์ตาคู่สวยเบาๆ แล้วเร่งจังหวะจนร่างเพรียวบางสั่นไหวอย่างแรงไปทั้งร่าง

“อ๊า”

ร่างของทั้งคู่สอดประสานจนถึงปลายทาง เยี่ยซิวสะบัดหน้าแหงนขึ้นเพราะความรัญจวน นิ้วเรียวจิกทึ้งบนเส้นผมชื้นเหงื่อของอีกฝ่าย หวังเจี๋ยซีกอดร่างโปร่งบางไว้แน่น หยาดแห่งความใคร่ถูกปลดปล่อยในตัวอีกฝ่ายจนหมดสิ้น หวังเจี๋ยซีจึงค่อยๆ ถอนกายออก โอบกอดร่างที่หอบหายใจเบาๆ

ยิ่งสัมผัสก็ยิ่งปราถนามากขึ้น หวังเจี๋ยซีไม่รู้แล้วว่าตนควรถอนตัวจากหลุมนี้อย่างไร

 

 

 

 

 

ชายหนุ่มปิดประตูที่แง้มออกเล็กน้อยให้สนิทอย่างแผ่วเบาที่สุด ราวกับกลัวว่าถ้าเกิดมีเสียงดังแม้แต่นิด จะถูกผู้ที่อยู่ด้านในล่วงรู้

“อ้าว คุณชายอี้ฟาน มาซ้อมดนตรีที่ห้องใหญ่หรือคะ”

เฉียวอี้ฟานหันไปมองเมดสาวที่เอ่ยขึ้นอย่างประหลาดใจ รอยยิ้มบางเบาคล้ายมีคล้ายไม่มีปรากฏขึ้น

“เปล่า ผมกำลังจะกลับแล้วครับ แล้วก็ห้ามใครมารบกวนบริเวณนี้สักพักหนึ่งด้วยครับ”

เมดสาวทำหน้าสงสัย แต่ก็นึกออกขึ้นมาทันที

“อ๋อ คุณเยี่ยกำลังเล่นเปียโนอีกแล้วหรือคะ แหม เวลาคุณเยี่ยซ้อมทีไร นายท่านก็ห้ามพวกเราเข้าใกล้บริเวณนี้ทุกที”

เฉียวอี้ฟานไม่ตอบ เมดสาวรู้ว่าตนเสียมารยาทที่เอาเรื่องเจ้านายมาพูดก็ลนลานขออภัย ก่อนจะย้ายไปทำความสะอาดที่อื่นแทน

เพราะรีบร้อนจากไป เธอจึงไม่ทันได้เห็นคุณชายที่ขึ้นชื่อว่าสุภาพอ่อนโยนและขี้เกรงใจที่สุดในบ้านมีใบหน้าเรียบนิ่งเย็นชาอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน มือคู่ที่เคยดูแลอย่างดีกำลังกำหมัดแน่นจนเส้นเลือดปูดโปน

 

 

 

 

 

–TBC–

ตอนหน้าพาร์ทจบค่ะ เป็นพาร์ทเฉลย ฮืออออ ขอโทษค่ะ ลงฟิคนี้แล้วรู้สึกว่าตัวเองใจบาปมาก เขินนน เขินมากค่ะ ฮือออออ ขอจรลีหายไปพักนึง แงงงงง //_\\

QZGS

[Fic QZGS] – love me love my cat (หวังเยี่ย)

Fic 全职高手 – love me love my cat (หวังเจี๋ยซี x เยี่ยซิว)
#Auweekly zoo #หวังเยี่ย สั้นๆ พี่เยี่ยยังอยู่เจียซื่อ พยายามกอบกู้ความใสกลับมา แต่…..เอาน่า ยังใสอยู่นะ ;w;

 

 

 

 

 

หวังเจี๋ยซีไม่เคยชอบแมว และไม่เคยคิดว่าจะชอบ

หวังเจี๋ยซีกับเยี่ยซิวนั่งจ้องตากันเงียบๆ บางสิ่งขยับไกวอยู่ด้านหลังเยี่ยซิว เกิดเสียงดัง ฟุ่บ เบาๆ เมื่อวัตถุเรียวยาวที่ปกคลุมด้วยเส้นขนสีดำนุ่มนั้นขยับไปมา

ปกติเขามักจะตื่นตรงเวลาตามความเคยชิน แต่วันนี้หวังเจี๋ยซีรู้สึกตัวขึ้นมาก่อนเพราะเหมือนมีบางสิ่งขยับปัดมาโดนขาของเขาหลายครั้ง

เยี่ยซิวทำหน้าจนใจ ใบหูสีดำบนศีรษะของอีกฝ่ายกระดิกเมื่อหวังเจี๋ยซีขยับตัว เขาเอื้อมมือไปจับสิ่งที่ดึงดูดสายตาเขามาตั้งแต่แรก รู้สึกอัศจรรย์ใจเมื่อรู้สึกถึงความนุ่มลื่นเหมือนของจริง

เยี่ยซิวขยับใบหูดุกดิกหลบสัมผัสของหวังเจี๋ยซี เผลอทำหน้าประหลาดกับความรู้สึกที่ไม่คุ้นเคย

“ขอโทษ คุณเจ็บหรือ” หวังเจี๋ยซีตกใจ รีบขยับมือออก
“…เปล่า แค่รู้สึกแปลกๆ”
“เอ่อ นี่มัน…”
“ขอร้อง อย่าถามเลย เกอก็ไม่รู้เหมือนกัน”

เยี่ยซิวขยับตัวอย่างอึดอัด ดูทั้งกลัดกลุ้มทั้งหงุดหงิดใจ พอเช้าขึ้นมาพวกเขาทั้งคู่ก็เห็นตัวเยี่ยซิวก็อยู่ในสภาพนี้แล้ว หางยาวปัดฟาดลงบนเตียงอย่างแรงจนเสียงเริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ

“ผมว่ารอดูไปก่อนดีไหม เรายังไม่รู้สาเหตุอะไร ยังไงก็ใจเย็นๆ ก่อนดีกว่า”

หวังเจี๋ยซีพูดปลอบคนรักของตน เยี่ยซิวส่งเสียงอืมเบาๆ ในลำคอแล้วเงียบ ไม่ได้พูดอะไรต่อ แต่หวังเจี๋ยซีก็ดูออกว่าเยี่ยซิวใจเย็นขึ้นแล้ว

พวกเขาคบเป็นคนรักกันมาสามปี เขาแอบชอบเยี่ยซิวมานาน พอรวบรวมความกล้าไปสารภาพรักและขออีกฝ่ายคบ เยี่ยซิวก็ตอบตกลงกลับมาง่ายๆ จากนั้นพวกเขาก็เริ่มคบกันเงียบๆ

พวกเขาไม่เคยทะเลาะกัน ความรักของพวกเขาทั้งเรียบง่ายและราบรื่นมากจนน่าตกใจ แม้แต่เรื่องบนเตียง หวังเจี๋ยซีไม่พูดมาก เยี่ยก็ไม่พูดมาก คบกันหลายปี ที่จริงแล้วหลายครั้งหวังเจี๋ยซีก็เดาไม่ออกว่าเยี่ยซิวคิดอะไรอยู่กันแน่

ทั้งคู่เป็นนักกีฬาอาชีพ เวลาว่างตรงกันก็แทบไม่มี เรียกว่าหลายเดือนจะเจอกันสักครั้ง หวังเจี๋ยซีไม่อยากถามสิ่งที่จะทำให้เส้นทางรักของพวกเขามีปัญหา เมื่อเจอกันทั้งทีก็อยากใช้เวลาอยู่กับเยี่ยซิวให้นานที่สุด

เมื่อวานพวกเขานัดเจอกันในรอบสามเดือน ครั้งนี้ก็เป็นเหมือนทุกครั้ง หวังเจี๋ยซีไม่ได้พูดอะไรเกินความจำเป็น ก่อนนอนเพียงกกกอดคนรักเอาไว้ เมื่อยามตื่นขึ้นมาก็เป็นเช่นนี้

หวังเจี๋ยซียื่นมือไปลูบใบหูรูปสามเหลี่ยมบนศีรษะของคนรักอีกครั้งอย่างเผลอไผล ใบหูทั้งสองข้างลู่ลงเมื่อหวังเจี๋ยซีไล้มันไปมา เยี่ยซิวเผลอขยับเข้าใกล้ ซุกซบใบหน้าลงบนมือของอีกคน ดวงตาหลับพริ้ม ดาเมจรุนแรงจนหวังเจี๋ยซีแข็งค้าง

“…”

ดูเหมือนเยี่ยซิวก็พึ่งรู้สึกตัว ร่างเพรียวขยับออกห่างเขาอย่างรวดเร็ว ใบหน้าขาวซีดขึ้นสีเรื่อ

“แฮ่ม เอ่อ ผมไปทำอาหารมาให้นำครับ”

เยี่ยซิวรับคำในลำคอไม่มองร่างของหวังเจี๋ยซีที่ออกจากห้องไป

พอเยี่ยซิวได้ทานอาหารก็เหมือนจะอารมณ์ดีขึ้น ทั้งสองเปลี่ยนมาเป็นดูโทรทัศน์ด้วยกันในห้องนั่งเล่น สายตาของหวังเจี๋ยซีถูกหางยาวที่กวัดแกว่งไปมาเบาๆ ดึงดูดเข้าอีกครั้ง

นี่คือ…เยี่ยซิวกำลังรู้สึกสบายใจ?

หวังเจี๋ยซีคงไม่รู้ ถ้าหากเขาไม่บังเอิญเปิดบทความที่ฉู่หยุนซิ่วส่งมาในกลุ่มนักกีฬาอาชีพ

‘ท่าทางบอกอารมณ์แมว’

ตอนนั้นเขาเคยเปิดเข้าไปดูเฉยๆ เพราะไม่มีอะไรทำเท่านั้น

ตอนนี้ดันนึกขึ้นมาได้ ท่าทางของเยี่ยซิวตรงตามที่บทความบอกไว้ไม่มีผิด

เยี่ยซิวขยับเอนมาใกล้เขามากขึ้นเรื่อยๆ โดยไม่รู้ตัว กลุ่มผมสีดำสนิทซุกลงบนลาดไหล่เขา ใบหูกระดิกเล็กๆ ปลายหางยาวชี้ตั้ง หวังเจี๋ยซีหัวใจพองโตขึ้นมาทันที

นี่…เยี่ยซิวอยากอ้อนเขาหรือ?

ชายหนุ่มวาดแขนโอบลำตัวของคนรัก เยี่ยซิวที่ปกติไม่ค่อยพูดอะไรหวานซึ้ง ท่าทางก็ไม่ได้แสดงออกมากนัก วันนี้กลับมาวนเวียนคลอเคลียใกล้เขา

มือของหวังเจี๋ยซีเลื่อนลงต่ำ ลูบวนแถวโคนหางของเยี่ยซิว คนอายุมากกว่าหลับตา เปล่งเสียงครางลำในคออย่างลืมตัว

“อืออออ”

หวังเจี๋ยซีไล่ไปยังความนุ่มนิ่มที่โคนหาง เยี่ยซิวบิดตัว เสียงสั่นเล็กๆ ลอดออกมาผ่านริมฝีปากบาง

“อือ เจี๋ยซี…”

เขาดึงแมวดำขึ้นมานั่งบนตักทั้งตัว อ้าปากงับใบหูสีดำ ก่อนจะโลมเลียเบาๆ จนเยี่ยซิวสั่นสะท้าน

“คุณมีเขี้ยวด้วย…”

หวังเจี๋ยซีเกลี่ยนิ้วโป้งบนริมฝีปากสีเรื่อ ก่อนจะสอดนิ้วเข้าไปในโพรงปากอุ่นนุ่ม สัมผัสได้ถึงลิ้นสากที่พัวพันอยู่กับปลายนิ้วของเขา

“เอี๋ยอี? (เจี๋ยซี?)”

เยี่ยซิวปรือตาขึ้นมามองหวังเจี๋ยซีอย่างไม่เข้าใจ หวังเตี๋ยซีประสานสายตาเข้ากับดวงตาหวานเยิ้มของร่างบนตัก ลากนิ้วที่แฉะไปด้วยน้ำลายลงมาถูไถยอดตุ่มไตจนชูชัน

“อา”

หวังเจี๋ยซียังคงโลมเลียใบหูสามเหลี่ยมที่ขยับยุกยิกอย่างตั้งใจ เยี่ยซิวถูกปลุกปั่นความต้องการจนตัวเกร็ง เยี่ยซิวไม่เข้าใจว่าทำไมวันนี้เขาจึงถูกคนรักเล้าโลมนานเป็นพิเศษ

“เยี่ยซิว…”

เสียงทุ้มพร่าดังขึ้นใกล้หูมากจนเยี่ยซิวต้องขยับใบหูหลบ แต่หวังเจี๋ยซียังคงติดตามไปไม่ลดละ

“…อะ..อะไร?”

เสียงที่ตอบกลับมาติดขัดเล็กน้อยเมื่อหวังเจี๋ยซีใช้ปลายนิ้วขยี้หัวฉ่ำเยิ้มเบาๆ คนอายุน้อยกว่าคลี่ยิ้มละมุน

“เยี่ยซิว”
“อ๊ะ”

เยี่ยซิวหลุดเสียงร้องเมื่อถูกสัมผัสอย่างหนักหน่วงอีกรอบ หวังเจี๋ยซีหยุดลงอีกครั้ง พรมจูบลงบนใบหูของอีกฝ่าย

เจ้าเด็กสมควรตาย

เยี่ยซิวทั้งฉุนทั้งขำ เจตนาโจ่งแจ้งขนาดนี้ ถ้ายังดูไม่ออกก็โง่เต็มทน

“เด็กน้อย”

หวังเจี๋ยซีหน้าร้อนเมื่อถูกจับได้ ดวงตาขนาดไม่เท่ากันเสหลบร่างตรงหน้า แต่ใบหูขึ้นสีแดงก่ำก็บ่งบอกความคิดของชายหนุ่มอายุน้อยกว่าได้อยู่ดี

บางทีสิ่งที่หวังเจี๋ยซีเลือกที่จะปัดทิ้งไป คงแอบซ่อนตัวอยู่ลึกๆ ในใจของเขา รอวันที่จะระเบิดออกมาอย่างเงียบเชียบ

ที่จริงแล้วลึกลงไปในใจหวังเจี๋ยซีกังวล กลัวว่าหากวันหนึ่งเยี่ยซิวเบื่อเขา ก็จะทิ้งเขาไป

เยี่ยซิวใช้มือโอบรอบชายคนรัก หัวเราะเบาๆ หางเริ่มแกว่งไปมาอย่างอารมณ์ดี

“เสี่ยวหวังนี่น่ารักจริงๆ” เยี่ยซิวโน้มลงไปจูบปลายจมูกอีกฝ่ายเบาๆ แล้วลุกขึ้น หวังเจี๋ยซีหน้าเสียไปถนัดตาเมื่อบนตักของเขาไร้ไออุ่นจากเยี่ยซิว หนุ่มรุ่นพี่หัวเราะอีกครั้ง ฉุดหวังเจี๋ยซีให้ลุกขึ้นตามมาในห้องนอนด้วยกัน

เยี่ยซิวทิ้งตัวลงบนเตียง ขาเรียวสวยชันขึ้น ดึงร่างหวังเจี๋ยซีให้ล้มลงมาคร่อมทับตนไว้

“เจี๋ยซี เกอรักนาย เกอต้องการนาย” เยี่ยซิวใช้ลิ้นสากเลียบนริมฝีปากอีกฝ่ายเบาๆ หรี่ตาลงอย่างซุกซน “ทีนี้นายจะเลิกปล่อยให้เกอรอได้หรือยัง”

หวังเจี๋ยซีไม่ตอบ ก้มลงมอบจุมพิตให้คนใต้ร่างอย่างลึกล้ำ

และแล้วแมวดำก็ถูกกินอย่างสมใจ

 

 

 

 

หลังจากวันนั้น พอตื่นมาอีกทีหูและหางของเยี่ยซิวก็หายไปแล้ว

 

“กัปตันล่ะ”
“อ๋อ ให้อาหารแมวจรจัดอยู่ด้านหน้าสโมสรครับ”

สมาชิกของเวยเฉ่าได้เห็นภาพหนึ่งจนชินตา

ภาพที่กัปตันของเขามักจะเปิดโทรศัพท์ดูรูปแมว แม้แต่หน้าจอคอมพิวเตอร์ก็ตั้งเป็นรูปแมวสีดำ ทุกครั้งกัปตันของพวกเขาจะมีรอยยิ้มบางเบาบนหน้าเสมอ

ท่านเทพหวังชอบแมวหรอกหรือ

สมาชิกทุกคนคิดตรงกัน และมีบ่อยครั้งที่หวังเจี๋ยซีมักจะเอาอาหารไปให้แมวจรจัดสีดำมอมๆ ที่ชอบมาป้วนเปี้ยนหน้าสโมสรด้วยใบหน้าอ่อนโยน

ท่านเทพหวังของพวกเขา นอกจากจะเก่งกาจแล้วยังจิตใจดีอีกหรือนี่

ทุกคนคิดอย่างเคารพ จนหลายคนเริ่มเอากัปตันเป็นเยี่ยงอย่าง หันมาให้อาหารแมวจรจัดบ้างแล้ว บางคนถึงขั้นศึกษาวิธีเลี้ยงแมวจนเป็นผู้เชี่ยวชาญ เผื่อวันใดท่านเทพเกิดอยากเลี้ยงแมวขึ้นมา เขาจะได้เป็นที่ปรึกษาได้ กัปตันทีมเวยเฉ่าที่ไม่รู้ว่าตอนนี้ตนกำลังได้รับสายตายกย่องเทิดทูนจากลูกทีมเป็นอย่างมาก ตอนนี้กำลังมองภาพพักหน้าจอโทรศัพท์รูปแมวของตนด้วยรอยยิ้มอบอุ่น

 

 

หวังเจี๋ยซีไม่เคยชอบแมว และไม่เคยคิดว่าจะชอบ

 

แต่เร็วๆ นี้ก็รู้สึกว่าน่ารักขึ้นมาเหมือนกัน

 

 

 

—END—

ตอนแรกกะจะลงย้อนหลังแล้ว ความหนีซีเครตนี้ ;;-;;

QZGS

[Fic QZGS] – ชายตาโตกับกระต่ายขาว (หวังเยี่ย)

Fic 全职高手 – ชายตาโตกับกระต่ายขาว (หวังเจี๋ยซี x เยี่ยซิว)
#Auweekly มหาลัย ย้อนหลัง #หวังเยี่ย

 

 

บ่ายวันหนึ่งหวังเจี๋ยซีกลับมาจากห้องสมุด เดินลัดเลาะไปทางสระน้ำหลังมหาวิทยาลัยเฉกเช่นทุกวัน มือขวาถือกล่องข้าวที่นำมาจากบ้าน กะว่าจะไปกินในที่ประจำของเขา
แต่วันนี้มีบางสิ่งที่ต่างออกไป

 

เขาเจอกระต่ายตัวหนึ่งแทน

 

 

กระต่ายตัวนั้นนอนเหยียดยาวอยู่ใต้ร่มไม้
หวังเจี๋ยซีพิจารณากระต่ายสีขาว ดูบอบบางฟูนุ่ม น่าซุกตัวลงใกล้ๆ เป็นที่สุด
ที่ประจำของเขาถูกเจ้ากระต่ายตัวนี้ยึดครองไปแล้ว
กระต่ายหลับท่าทางสุขสบายจนไม่อยากรบกวน
หวังเจี๋ยซีลังเลเล็กน้อย แล้วตัดสินใจทิ้งตัวลงข้างๆ กระต่าย
จนกระทั่งกินข้าวเสร็จ กระต่ายก็ยังไม่ตื่น
หวังเจี๋ยซีลุกขึ้นยืน ก่อนจากยังรีๆ รอๆ สุดท้ายก็ทิ้งขนมที่บังเอิญนำติดมาด้วยไว้ให้กระต่าย

 

ถ้าตื่นมากินก็คงดี

 

 

วันนี้ก็ยังอยู่
หวังเจี๋ยซีคิด ขณะเดินไปใกล้กระต่ายที่นอนขี้เกียจอยู่ที่เดิม
ขนมที่เขาวางไว้ให้ก็ไม่อยู่แล้ว
หวังเจี๋ยซีนั่งลงที่ตำแหน่งเดิมเฉกเช่นเมื่อวาน เปิดข้าวกล่องนั่งลงกินไปเรื่อยๆ
มองกระต่ายไปกินข้าวไปก็เจริญอาหารอยู่เหมือนกัน
หวังเจี๋ยซีสังเกตเห็นตั้งแต่ครั้งก่อนแล้วว่ากระต่ายตัวนี้ดูผอมบางไปสักหน่อย
ข้าวกล่องหมดแล้ว กระต่ายก็ยังคงไม่ตื่น
ได้เวลาเข้าเรียน หวังเจี๋ยซีผุดลุกขึ้น

 

ทิ้งขนมที่บังเอิญนำติดมาอีกแล้วไว้ให้กระต่ายอีกเช่นเคย

 

 

วันถัดๆ มาก็ยังคงเป็นเช่นนี้
การมากินข้าว ดูกระต่าย แล้วค่อยไปเรียนกลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของเขาไปแล้ว
กินขนมไปทุกวัน กระต่ายตัวนี้ก็ยังดูผอมเหมือนเดิม
หวังเจี๋ยซีเอามือลูบคาง เริ่มมีความคิดอยากขุนกระต่ายให้ตัวอ้วนท้วนสมบูรณ์

 

 

 วันต่อมา นอกจากขนม เขาทิ้งข้าวไว้ให้กระต่ายกิน

 

กระต่ายจะชอบอาหารฝีมือเขาไหมนะ

 

 

วันนี้กระต่ายไม่อยู่
หวังเจี๋ยซีรู้สึกผิดหวังอย่างประหลาด
มองกล่องข้าวในมือแล้วถอนหายใจ
ดูท่าเขาต้องกินข้าวคนเดียวสองกล่องแล้ว

 

 

 วันนี้เขามาเร็วกว่าปกติเล็กน้อย ตั้งใจจะมาดูว่ากระต่ายมาหรือยัง
แต่ใต้ต้นไม้ว่างเปล่าอีกแล้ว
ใจของเขาเริ่มห่อเหี่ยว กินข้าวคนเดียวหมดทั้งสองกล่องอีกครั้ง

 

 

 วันนี้ก็ยังไม่มา
หรือว่าจะเกิดอุบัติเหตุอะไรขึ้นหรือเปล่านะ
มือกำกล่องข้าวทั้งสองแน่น
หวังเจี๋ยซีเริ่มรู้สึกกระวนกระวาย

 

 

 ไม่มา ไม่มา ไม่มา
ไม่รู้ว่าเขากินข้าวคนเดียวในปริมาณสองเท่ามากี่วันแล้ว
แต่เขาก็ยังคงดื้อรั้น ทำมาสองชุดเสมอ
เพียงเพราะหวังอยากจะเห็นเจ้ากระต่ายปรากฏตัวอยู่ใต้ต้นไม้

 

จะไม่มาอีกแล้วจริงๆ น่ะหรือ

 

 

เช้านี้อาจารย์ประจำวิชาของหวังเจี๋ยซียกเลิกคลาส ทำให้เขามีเวลามาเตร็ดเตร่อยู่แถวสระน้ำด้านหลังอีกหน
และแล้ววันนี้ก็มีสิ่งพิเศษเกิดขึ้น
หวังเจี๋ยซีสังเกตเห็นเงาร่างสีขาวๆ อยู่ไม่ไกล
เขารีบวิ่ง ก้อนเนื้อในอกข้างซ้ายเต้นระรัวด้วยความหวัง

 

 กระต่ายกลับมาแล้ว

 

 

 

หวังเจี๋ยซีหอบฮัก ก้มมองกระต่ายที่หลับตาพริ้มอยู่ใกล้ปลายเท้าตน
เส้นไหมสีดำยุ่งเหยิงไม่เป็นทรง แต่ดูเรียบลื่น ชวนให้อยากสอดมือเข้าไป แล้วสางเบาๆ
ไวเท่าความคิด หวังเจี๋ยซีปัดผมที่ปรกหน้าอีกฝ่ายอย่างแผ่วเบา ปลายนิ้วสอดเข้าไปในกลุ่มผม ให้ความรู้สึกทั้งนุ่มทั้งลื่นอย่างที่จินตนาการไว้ไม่มีผิด
แพขนตายาวขยับไหวน้อยๆ
กระต่ายกำลังจะตื่น

 

 

เยี่ยซิวรู้สึกว่ามีบางอย่างขยับยุกยิกบนเรือนผม
เขารู้สึกตัวตื่นขึ้นมา
ดวงตาสีดำสนิทกระพริบปริบๆ ค่อยๆ ปรับโฟกัสสายตามองรอบข้าง
และเบื้องหน้าเขามีผู้ชายแปลกหน้ากำลังจ้องเขาอยู่หนึ่งคน
“เอ่อ ไง” เขาตัดสินใจทักทายออกไปคำหนึ่ง

 

เสียงกระต่ายฟังดูเรียบเรื่อย ทุ้มนุ่ม รื่นหูเป็นอย่างมาก
นี่คือสิ่งที่แวบเข้ามาในหัวหวังเจี๋ยซีเมื่ออีกคนเอ่ยปาก
“มีอะไรหรือเปล่า” เมื่อเห็นเขายังไม่ตอบ อีกฝ่ายก็เอียงคอเล็กน้อย ดวงตาปรือๆ ยังมีแววง่วงงุนอยู่
น่า…
น่าฟัดมาก…
ภายนอกหวังเจี๋ยซีทำหน้าเรียบเฉย หยิบอาวุธลับที่เขาเตรียมมาให้กระต่ายอยู่ทุกวัน
“หิวไหม”
เยี่ยซิวได้กลิ่นอาหารลอยมาจากวัตถุปริศนาพยักหน้าทันทีอย่างแทบไม่ต้องคิด
ชายตาโตมองกระต่ายที่กินข้าวช้าๆ ท่าทางเอร็ดอร่อย ด้วยความรู้สึกอิ่มเอมอย่างบอกไม่ถูก
รอจนกระทั่งทั้งคู่กินข้าวเสร็จแล้ว หัวสมองเยี่ยซิวเริ่มแล่นเป็นปกติ เขาจึงถามออกมาด้วยสีหน้าแปลกประหลาด
“นาย…คงไม่ใช่คนที่เอาขนมวางไว้ทุกวันหรอกนะ”
“ฉันเอง” หวังเจี๋ยซีก้มหน้าก้มตาเก็บกล่องข้าวอย่างตั้งใจ ไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมามองสักแวบ
“อ้อ…งั้นก็ขอบคุณละกัน!”
“นาย” หวังเจี๋ยซีเกริ่นขึ้นมาคำหนึ่ง “อยู่กับครอบครัว?”
“เปล่า ฉันอยู่คนเดียว”
“เรียนที่นี่?”
“แน่อยู่แล้ว”
“มีคนรักหรือยัง”
“ถามอะไรเนี่ย” เยี่ยซิวเลิกคิ้ว
“ตอบมาเถอะน่า”
“ยัง”

 

 หวังเจี๋ยซีได้ข้อสรุปกับตนเอง

 

นี่เป็นกระต่ายเร่ร่อน ซ้ำยังไม่มีเจ้าของ

 

 

 ในหัวเริ่มร่างแผนการบางอย่างเงียบๆ

 

 

 

หวังเจี๋ยซีมีความคิดอยากเก็บกระต่ายตัวนี้กลับบ้านอย่างจริงจังแล้ว

 

 

 

—-END—-

 

แว่วเสียงพี่หวัง : มาอยู่กับฉันอาหารครบสามมื้อ พร้อมบริการอาบน้ำตัดขนฟรี//ผิด
ไว้มีโอกาสจะมาต่อค่ะ