QZGS

[Fic QZGS] – love me love my cat (หวังเยี่ย)

Fic 全职高手 – love me love my cat (หวังเจี๋ยซี x เยี่ยซิว)
#Auweekly zoo #หวังเยี่ย สั้นๆ พี่เยี่ยยังอยู่เจียซื่อ พยายามกอบกู้ความใสกลับมา แต่…..เอาน่า ยังใสอยู่นะ ;w;

 

 

 

 

 

หวังเจี๋ยซีไม่เคยชอบแมว และไม่เคยคิดว่าจะชอบ

หวังเจี๋ยซีกับเยี่ยซิวนั่งจ้องตากันเงียบๆ บางสิ่งขยับไกวอยู่ด้านหลังเยี่ยซิว เกิดเสียงดัง ฟุ่บ เบาๆ เมื่อวัตถุเรียวยาวที่ปกคลุมด้วยเส้นขนสีดำนุ่มนั้นขยับไปมา

ปกติเขามักจะตื่นตรงเวลาตามความเคยชิน แต่วันนี้หวังเจี๋ยซีรู้สึกตัวขึ้นมาก่อนเพราะเหมือนมีบางสิ่งขยับปัดมาโดนขาของเขาหลายครั้ง

เยี่ยซิวทำหน้าจนใจ ใบหูสีดำบนศีรษะของอีกฝ่ายกระดิกเมื่อหวังเจี๋ยซีขยับตัว เขาเอื้อมมือไปจับสิ่งที่ดึงดูดสายตาเขามาตั้งแต่แรก รู้สึกอัศจรรย์ใจเมื่อรู้สึกถึงความนุ่มลื่นเหมือนของจริง

เยี่ยซิวขยับใบหูดุกดิกหลบสัมผัสของหวังเจี๋ยซี เผลอทำหน้าประหลาดกับความรู้สึกที่ไม่คุ้นเคย

“ขอโทษ คุณเจ็บหรือ” หวังเจี๋ยซีตกใจ รีบขยับมือออก
“…เปล่า แค่รู้สึกแปลกๆ”
“เอ่อ นี่มัน…”
“ขอร้อง อย่าถามเลย เกอก็ไม่รู้เหมือนกัน”

เยี่ยซิวขยับตัวอย่างอึดอัด ดูทั้งกลัดกลุ้มทั้งหงุดหงิดใจ พอเช้าขึ้นมาพวกเขาทั้งคู่ก็เห็นตัวเยี่ยซิวก็อยู่ในสภาพนี้แล้ว หางยาวปัดฟาดลงบนเตียงอย่างแรงจนเสียงเริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ

“ผมว่ารอดูไปก่อนดีไหม เรายังไม่รู้สาเหตุอะไร ยังไงก็ใจเย็นๆ ก่อนดีกว่า”

หวังเจี๋ยซีพูดปลอบคนรักของตน เยี่ยซิวส่งเสียงอืมเบาๆ ในลำคอแล้วเงียบ ไม่ได้พูดอะไรต่อ แต่หวังเจี๋ยซีก็ดูออกว่าเยี่ยซิวใจเย็นขึ้นแล้ว

พวกเขาคบเป็นคนรักกันมาสามปี เขาแอบชอบเยี่ยซิวมานาน พอรวบรวมความกล้าไปสารภาพรักและขออีกฝ่ายคบ เยี่ยซิวก็ตอบตกลงกลับมาง่ายๆ จากนั้นพวกเขาก็เริ่มคบกันเงียบๆ

พวกเขาไม่เคยทะเลาะกัน ความรักของพวกเขาทั้งเรียบง่ายและราบรื่นมากจนน่าตกใจ แม้แต่เรื่องบนเตียง หวังเจี๋ยซีไม่พูดมาก เยี่ยก็ไม่พูดมาก คบกันหลายปี ที่จริงแล้วหลายครั้งหวังเจี๋ยซีก็เดาไม่ออกว่าเยี่ยซิวคิดอะไรอยู่กันแน่

ทั้งคู่เป็นนักกีฬาอาชีพ เวลาว่างตรงกันก็แทบไม่มี เรียกว่าหลายเดือนจะเจอกันสักครั้ง หวังเจี๋ยซีไม่อยากถามสิ่งที่จะทำให้เส้นทางรักของพวกเขามีปัญหา เมื่อเจอกันทั้งทีก็อยากใช้เวลาอยู่กับเยี่ยซิวให้นานที่สุด

เมื่อวานพวกเขานัดเจอกันในรอบสามเดือน ครั้งนี้ก็เป็นเหมือนทุกครั้ง หวังเจี๋ยซีไม่ได้พูดอะไรเกินความจำเป็น ก่อนนอนเพียงกกกอดคนรักเอาไว้ เมื่อยามตื่นขึ้นมาก็เป็นเช่นนี้

หวังเจี๋ยซียื่นมือไปลูบใบหูรูปสามเหลี่ยมบนศีรษะของคนรักอีกครั้งอย่างเผลอไผล ใบหูทั้งสองข้างลู่ลงเมื่อหวังเจี๋ยซีไล้มันไปมา เยี่ยซิวเผลอขยับเข้าใกล้ ซุกซบใบหน้าลงบนมือของอีกคน ดวงตาหลับพริ้ม ดาเมจรุนแรงจนหวังเจี๋ยซีแข็งค้าง

“…”

ดูเหมือนเยี่ยซิวก็พึ่งรู้สึกตัว ร่างเพรียวขยับออกห่างเขาอย่างรวดเร็ว ใบหน้าขาวซีดขึ้นสีเรื่อ

“แฮ่ม เอ่อ ผมไปทำอาหารมาให้นำครับ”

เยี่ยซิวรับคำในลำคอไม่มองร่างของหวังเจี๋ยซีที่ออกจากห้องไป

พอเยี่ยซิวได้ทานอาหารก็เหมือนจะอารมณ์ดีขึ้น ทั้งสองเปลี่ยนมาเป็นดูโทรทัศน์ด้วยกันในห้องนั่งเล่น สายตาของหวังเจี๋ยซีถูกหางยาวที่กวัดแกว่งไปมาเบาๆ ดึงดูดเข้าอีกครั้ง

นี่คือ…เยี่ยซิวกำลังรู้สึกสบายใจ?

หวังเจี๋ยซีคงไม่รู้ ถ้าหากเขาไม่บังเอิญเปิดบทความที่ฉู่หยุนซิ่วส่งมาในกลุ่มนักกีฬาอาชีพ

‘ท่าทางบอกอารมณ์แมว’

ตอนนั้นเขาเคยเปิดเข้าไปดูเฉยๆ เพราะไม่มีอะไรทำเท่านั้น

ตอนนี้ดันนึกขึ้นมาได้ ท่าทางของเยี่ยซิวตรงตามที่บทความบอกไว้ไม่มีผิด

เยี่ยซิวขยับเอนมาใกล้เขามากขึ้นเรื่อยๆ โดยไม่รู้ตัว กลุ่มผมสีดำสนิทซุกลงบนลาดไหล่เขา ใบหูกระดิกเล็กๆ ปลายหางยาวชี้ตั้ง หวังเจี๋ยซีหัวใจพองโตขึ้นมาทันที

นี่…เยี่ยซิวอยากอ้อนเขาหรือ?

ชายหนุ่มวาดแขนโอบลำตัวของคนรัก เยี่ยซิวที่ปกติไม่ค่อยพูดอะไรหวานซึ้ง ท่าทางก็ไม่ได้แสดงออกมากนัก วันนี้กลับมาวนเวียนคลอเคลียใกล้เขา

มือของหวังเจี๋ยซีเลื่อนลงต่ำ ลูบวนแถวโคนหางของเยี่ยซิว คนอายุมากกว่าหลับตา เปล่งเสียงครางลำในคออย่างลืมตัว

“อืออออ”

หวังเจี๋ยซีไล่ไปยังความนุ่มนิ่มที่โคนหาง เยี่ยซิวบิดตัว เสียงสั่นเล็กๆ ลอดออกมาผ่านริมฝีปากบาง

“อือ เจี๋ยซี…”

เขาดึงแมวดำขึ้นมานั่งบนตักทั้งตัว อ้าปากงับใบหูสีดำ ก่อนจะโลมเลียเบาๆ จนเยี่ยซิวสั่นสะท้าน

“คุณมีเขี้ยวด้วย…”

หวังเจี๋ยซีเกลี่ยนิ้วโป้งบนริมฝีปากสีเรื่อ ก่อนจะสอดนิ้วเข้าไปในโพรงปากอุ่นนุ่ม สัมผัสได้ถึงลิ้นสากที่พัวพันอยู่กับปลายนิ้วของเขา

“เอี๋ยอี? (เจี๋ยซี?)”

เยี่ยซิวปรือตาขึ้นมามองหวังเจี๋ยซีอย่างไม่เข้าใจ หวังเตี๋ยซีประสานสายตาเข้ากับดวงตาหวานเยิ้มของร่างบนตัก ลากนิ้วที่แฉะไปด้วยน้ำลายลงมาถูไถยอดตุ่มไตจนชูชัน

“อา”

หวังเจี๋ยซียังคงโลมเลียใบหูสามเหลี่ยมที่ขยับยุกยิกอย่างตั้งใจ เยี่ยซิวถูกปลุกปั่นความต้องการจนตัวเกร็ง เยี่ยซิวไม่เข้าใจว่าทำไมวันนี้เขาจึงถูกคนรักเล้าโลมนานเป็นพิเศษ

“เยี่ยซิว…”

เสียงทุ้มพร่าดังขึ้นใกล้หูมากจนเยี่ยซิวต้องขยับใบหูหลบ แต่หวังเจี๋ยซียังคงติดตามไปไม่ลดละ

“…อะ..อะไร?”

เสียงที่ตอบกลับมาติดขัดเล็กน้อยเมื่อหวังเจี๋ยซีใช้ปลายนิ้วขยี้หัวฉ่ำเยิ้มเบาๆ คนอายุน้อยกว่าคลี่ยิ้มละมุน

“เยี่ยซิว”
“อ๊ะ”

เยี่ยซิวหลุดเสียงร้องเมื่อถูกสัมผัสอย่างหนักหน่วงอีกรอบ หวังเจี๋ยซีหยุดลงอีกครั้ง พรมจูบลงบนใบหูของอีกฝ่าย

เจ้าเด็กสมควรตาย

เยี่ยซิวทั้งฉุนทั้งขำ เจตนาโจ่งแจ้งขนาดนี้ ถ้ายังดูไม่ออกก็โง่เต็มทน

“เด็กน้อย”

หวังเจี๋ยซีหน้าร้อนเมื่อถูกจับได้ ดวงตาขนาดไม่เท่ากันเสหลบร่างตรงหน้า แต่ใบหูขึ้นสีแดงก่ำก็บ่งบอกความคิดของชายหนุ่มอายุน้อยกว่าได้อยู่ดี

บางทีสิ่งที่หวังเจี๋ยซีเลือกที่จะปัดทิ้งไป คงแอบซ่อนตัวอยู่ลึกๆ ในใจของเขา รอวันที่จะระเบิดออกมาอย่างเงียบเชียบ

ที่จริงแล้วลึกลงไปในใจหวังเจี๋ยซีกังวล กลัวว่าหากวันหนึ่งเยี่ยซิวเบื่อเขา ก็จะทิ้งเขาไป

เยี่ยซิวใช้มือโอบรอบชายคนรัก หัวเราะเบาๆ หางเริ่มแกว่งไปมาอย่างอารมณ์ดี

“เสี่ยวหวังนี่น่ารักจริงๆ” เยี่ยซิวโน้มลงไปจูบปลายจมูกอีกฝ่ายเบาๆ แล้วลุกขึ้น หวังเจี๋ยซีหน้าเสียไปถนัดตาเมื่อบนตักของเขาไร้ไออุ่นจากเยี่ยซิว หนุ่มรุ่นพี่หัวเราะอีกครั้ง ฉุดหวังเจี๋ยซีให้ลุกขึ้นตามมาในห้องนอนด้วยกัน

เยี่ยซิวทิ้งตัวลงบนเตียง ขาเรียวสวยชันขึ้น ดึงร่างหวังเจี๋ยซีให้ล้มลงมาคร่อมทับตนไว้

“เจี๋ยซี เกอรักนาย เกอต้องการนาย” เยี่ยซิวใช้ลิ้นสากเลียบนริมฝีปากอีกฝ่ายเบาๆ หรี่ตาลงอย่างซุกซน “ทีนี้นายจะเลิกปล่อยให้เกอรอได้หรือยัง”

หวังเจี๋ยซีไม่ตอบ ก้มลงมอบจุมพิตให้คนใต้ร่างอย่างลึกล้ำ

และแล้วแมวดำก็ถูกกินอย่างสมใจ

 

 

 

 

หลังจากวันนั้น พอตื่นมาอีกทีหูและหางของเยี่ยซิวก็หายไปแล้ว

 

“กัปตันล่ะ”
“อ๋อ ให้อาหารแมวจรจัดอยู่ด้านหน้าสโมสรครับ”

สมาชิกของเวยเฉ่าได้เห็นภาพหนึ่งจนชินตา

ภาพที่กัปตันของเขามักจะเปิดโทรศัพท์ดูรูปแมว แม้แต่หน้าจอคอมพิวเตอร์ก็ตั้งเป็นรูปแมวสีดำ ทุกครั้งกัปตันของพวกเขาจะมีรอยยิ้มบางเบาบนหน้าเสมอ

ท่านเทพหวังชอบแมวหรอกหรือ

สมาชิกทุกคนคิดตรงกัน และมีบ่อยครั้งที่หวังเจี๋ยซีมักจะเอาอาหารไปให้แมวจรจัดสีดำมอมๆ ที่ชอบมาป้วนเปี้ยนหน้าสโมสรด้วยใบหน้าอ่อนโยน

ท่านเทพหวังของพวกเขา นอกจากจะเก่งกาจแล้วยังจิตใจดีอีกหรือนี่

ทุกคนคิดอย่างเคารพ จนหลายคนเริ่มเอากัปตันเป็นเยี่ยงอย่าง หันมาให้อาหารแมวจรจัดบ้างแล้ว บางคนถึงขั้นศึกษาวิธีเลี้ยงแมวจนเป็นผู้เชี่ยวชาญ เผื่อวันใดท่านเทพเกิดอยากเลี้ยงแมวขึ้นมา เขาจะได้เป็นที่ปรึกษาได้ กัปตันทีมเวยเฉ่าที่ไม่รู้ว่าตอนนี้ตนกำลังได้รับสายตายกย่องเทิดทูนจากลูกทีมเป็นอย่างมาก ตอนนี้กำลังมองภาพพักหน้าจอโทรศัพท์รูปแมวของตนด้วยรอยยิ้มอบอุ่น

 

 

หวังเจี๋ยซีไม่เคยชอบแมว และไม่เคยคิดว่าจะชอบ

 

แต่เร็วๆ นี้ก็รู้สึกว่าน่ารักขึ้นมาเหมือนกัน

 

 

 

—END—

ตอนแรกกะจะลงย้อนหลังแล้ว ความหนีซีเครตนี้ ;;-;;

The region

[Fic The Region] – โรคประหลาดของเสี่ยวซา (เสี่ยวซาxซูอวี่)

Fic the region เสี่ยวซา x ซูอวี่ – โรคประหลาดของเสี่ยวซา
Title : โรคประหลาดของเสี่ยวซา
Fandom : The Region
Pairing : เสี่ยวซา x ซูอวี่
Rate : PG
Note : ค่อยๆ ทุบไหแตกทีละไห พล็อตเขียนไว้นานแล้วค่ะ แต่หนังสือไม่ได้อยู่กับตัว ได้อ่านแค่เล่มสี่ซ้ำไปซ้ำมา ซึมซับความน่าเอ็นดูของเสี่ยวซาเด็กดีมาเต็มขั้น!
 
——————–

 

 

               ช่วงนี้เสี่ยวซารู้สึกว่าตัวเองแปลกไป
                อีกแล้ว ความรู้สึกอึดอัดในอกนี่คืออะไรกัน
                เขาขมวดคิ้ว มือทาบอกตัวเองอย่างไม่ตั้งใจ
                เรื่องการต่อสู้นั้น เขาไม่พลาดอยู่แล้ว เรื่องนี้แม้แต่หัวหน้าเองก็รู้ดี ตัวเขานั้นชอบประมือกับคู่ต่อสู้ที่มีฝีมือมากขนาดไหน  เสี่ยวซาจ้องการพัฒนาตนเองอยู่ตลอดเวลา เพราะสิ่งที่กองกำลัง ‘เดอะรีเจียน’ ไม่ต้องการก็คือ กาฝากไร้ประโยชน์
                 พอเจียงซูอวี่เดินเข้ามาใกล้  หัวใจเขาก็เต้นโลดผิดจังหวะอย่างฉับพลัน  ร่างกายตื่นตัว เลือดสูบฉีดพุ่งพล่านเหมือนตอนได้เข้าสนามรบ
                หรือจริงๆ ตัวเขาอยากจะสู้กับซูอวี่?
                ในเมื่ออาการประหลาดยังไม่หายไปสักที ก็มีแต่ต้องลองดูเท่านั้น
                “ซูอวี่ วันนี้ฝึกให้ฉันได้ไหม”ชั่งกวนเฉินซาเดินมาหาเจียงซูอวี่ที่กำลังกลั่นอาวุธน้ำแข็งในมืออย่างขะมักเขม้น  เจ้าตัวเงยหน้าขึ้นมามองแวบเดียวพอเห็นว่าเป็นใครก็ไม่มีท่าทีประหลาดใจเลยแม้แต่น้อย ซูอวี่ตอบรับอย่างตรงไปตรงมา
                “ตกลง”
                เสี่ยวซาเดินตามคนที่มีศักดิ์เป็นน้องชายของหัวหน้าไปยังสวนหลังบ้าน  เขายืนลังเลเล็กน้อย เนื่องด้วยใจไม่ได้อยากต่อสู้จริงๆ แต่จะทำอะไรนั้นก็ยังไม่รู้เหมือนกัน
                เจียงซูอวี่หมุนตัวกลับมาประจันหน้ากับเขา มุมที่เด็กหนุ่มยืนอยู่นั้นเป็นมุมย้อนแสงพอดี แสงอาทิตย์พร่างพราวส่องลงมาตกกระทบบนใบหน้าสมบูรณ์แบบของเจียงซูอวี่ เสี่ยวซาถึงกับหายใจติดขัดไปครู่หนึ่ง ราวกับเกล็ดหิมะที่โปรยปรายลงมาจากฟากฟ้า พร้อมจะละลายหายไปเมื่อต้องแสงอาทิตย์ จนเผลอเอื้อมมือไปคว้ามา
                ชั่ววินาทีที่ปลายนิ้วสัมผัสกัน ราวกับมีกระแสไฟฟ้าแล่นแปลบปลาบไปทั่วร่างจนเขาเผลอชักมือออกห่างอย่างรวดเร็ว  ซูอวี่ขมวดคิ้วมอง
                กลัวการฝึกฝนหรือ จุดนี้ต้องเปลี่ยน!
                เจียงซูอวี่ผู้มีปณิธานแรงกล้าที่จะฝึกกองกำลังเดอะรีเจียนให้เรืองอำนาจให้ยุคสิ้นโลกเป็นฝ่ายคว้ามือเสี่ยวซาเอาไว้แน่น เสี่ยวซาสะดุ้ง ความอุ่นร้อนที่ปลายนิ้วมือลามขึ้นมาอีกครั้ง ทำให้เขารู้สึกประหม่าอย่างบอกไม่ถูก
                เสี่ยวซารู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะเป็นไข้
                สมองยังไม่ทันได้ประมวลผลอะไร ความเย็นเฉียบไปถึงกระดูกก็ถูกส่งออกมาจากซูอวี่
                …
                หลังจากได้ยินเสียงร้องดังสนั่นหวั่นไหวจากสวนหลังบ้าน วันนั้นทุกคนจึงได้เห็นเสี่ยวซาเดินปั้นปึ่งตลอดทั้งวัน ใบหน้าเรียบเฉยดูบึ้งตึงกว่าปกติ แม้แต่ข้าวก็กินน้อยลง
                “พี่รอง เกิดอะไรขึ้น เมื่อตอนกลางวันเสี่ยวซาไปฝึกกับพี่นี่นา” ซูจวินช้อนตามองพี่ชายคนรองอย่างน่ารักน่าชัง
                เจียงซูอวี่มุมปากกระตุก เอ่ยอย่างจนใจ “…พี่ก็ไม่รู้เหมือนกัน”
                ไม่รู้ทำไม พอเห็นใบหน้าได้รูปของเจียงซูอวี่เต็มไปด้วยความสับสนไม่เข้าใจ เสี่ยวซาถึงรู้สึกว่าความขุ่นมัวของเขาหายเป็นปลิดทิ้ง ยิ่งพอได้สบกับดวงตาแวววาว ความรู้สึกราวกับเป็นไข้ถึงได้ผุดขึ้นมาอีกครั้ง
                หรือว่าเขาจะไม่สบายกันนะ?
                …
                หัวหน้านำกองกำลังออกไปสำรวจนอกพื้นที่ เขาก็ตามไปด้วย ที่บ้านเหลือเพียงซูอวี่ เจิงอวิ๋นเชี่ยน และซูจวินที่พอจะมีกำลังต่อสู้ได้ ถึงแม้ฝ่ายหลังสุดหัวหน้าจะไม่อยากให้ลงมือเองสักแค่ไหนก็ตาม
                เจียงซูอวี่แข็งแกร่งมาก และเข้มแข็งมากด้วย พวกเราเชื่อมือเขา หัวหน้าเองก็เชื่อว่าเขาจะต้องปกป้องทุกคนในบ้านได้อย่างแน่นอน
                ระหว่างขี่รถกลับมา เห็นหลังคาบ้านอยู่ไกลลิบๆ เหมือนเห็นสิ่งมีชีวิตบางอย่างล้อมรอบตัวบ้านเอาไว้ หัวหน้ามีสีหน้าเครียดขึงจนทุกคนสัมผัสได้
                “รีบไป!”
                เจิ้งหังไม่กล้าชักช้า หักพวงมาลัยหลบสิ่งกีดขวาง เหยียบคันเร่งด้วยความเร็วสูงสุด หัวหน้ารีบตรงไปหากลุ่มคนที่รับมือกับนกยักษ์สีแดงอย่างยากลำบาก
                “จวินจวิน!”
                “พี่ใหญ่! พี่รองอยู่ข้างบนคนเดียว!”
                เจียงซูเทียนกัดฟัน บอกเสียงแน่วแน่ “เธอไปหาพี่รองของเธอ ตรงนี้พี่จะรับมือเอง! เขาจะได้ไม่บุ่มบ่าม!”
                เด็กสาวรับคำ รีบวิ่งขึ้นไปด้านบน เหล่าทหารรับจ้างกระชับปืนในมือแน่น ยิงต่อสู้กับฝูงนกสีแดงที่บินโฉบเฉี่ยว เสียงปืนดังสนั่นจนแยกไม่ออกว่าเป็นของใคร  ครู่เดียวเสียงกรีดร้องของซูจวินก็ดังขึ้นมาจากข้างใน
                “พี่รอง! ไม่นะ…”
                “เสี่ยวอวี่!!”
                หัวหน้าคำราม ทุกคนเห็นซูอวี่ถูกนกยักษ์ที่ใหญ่กว่าตัวอื่นๆ โฉบออกนอกหน้าต่างไป เจียงซูเทียนแบ่งคนบางส่วนขึ้นรถ ขับตามไล่ล่านกตัวนั้นไปอย่างบ้าคลั่ง
                พวกเขาพยายามใช้ปืนยิงนกให้ร่วงลงมา แต่เกล็ดแข็งทำให้กระสุนไม่อาจเจาะทะลุผิวหนังนกสีแดงเข้าไปได้ ระยะทางระหว่างพวกเขากับเจียงซูอวี่มากขึ้นเรื่อยๆ
                สุดท้ายก็ตามไม่ทัน…
                …
                ตอนนี้ไม่ว่าใครก็เข้าหน้าหัวหน้าไม่ติด
                แน่นอนว่าเจียงซูอวี่หายไป หัวหน้าก็แทบคลั่ง ถ้าดวงตาสามารถฆ่าคนได้ล่ะก็ ป่านนี้พวกเขาคงตายแล้วเกิดใหม่เป็นสิบๆ ครั้ง มีเด็กสาวคนหนึ่งจบชีวิตลงแล้วจริงๆ อย่างช่วยไม่ได้ พวกเขาแม้จะไม่ได้ไร้คุณธรรม แต่ก็ไม่มีเมตตาขนาดนั้น กลัวว่าหากหัวหน้าไม่ได้จัดการ ก็ไม่มีใครรับประกันชีวิตเด็กสาวคนนั้นจากคนอื่นในทีมอยู่ดี โดยเฉพาะการที่เธอเป็นสาเหตุของเรื่องทั้งหมด
                ภายนอกเสี่ยวซานิ่งเฉย ทว่าเขาเองก็ร้อนใจไม่ต่างกัน
                นึกถึงใบหน้าและนิสัยแปลกๆ ของซูอวี่แล้วอดถอนใจไม่ได้
                ไม่ใช่แค่เพียงสายสัมพันธ์เบาบาง แต่เขาหวังสุดใจจริงๆ ให้ซูอวี่กลับมา
                ….
                เสี่ยวซาเห็นเงาร่างที่อยู่ไกลๆ หัวใจเต้นเร็วขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว ใบหน้าและน้ำเสียงราบเรียบถูกสลัดทิ้งไปเสียสิ้น
                “เสี่ยวอวี่!” เขาโพล่งออกไปอย่างปิติยินดีทันทีที่เห็นร่างนั้นชัดเจน “เสี่ยวอวี่ เสี่ยวอวี่”
                เขาส่งเสียงเรียกซ้ำๆ ไม่อาจระงับความดีใจไว้ได้ เจ้าของชื่อเหม่อลอยครู่หนึ่ง แววตาค่อยๆ กลับมากระจ่างใสอีกครั้ง
                “เสี่ยวซา? ทำไมคุณยังไม่ตายล่ะ”
                เขางงงัน เขาก็ต้องมีชีวิตอยู่แน่นอนอยู่แล้ว สภาพอย่างนี้ซูอวี่ยังจะห่วงเขาอีกหรือ อีกฝ่ายควรห่วงตัวเองมากกว่า บาดเจ็บไปทั้งตัว แถมเสื้อผ้ายังขาดวิ่นจนดูไม่ออก
                เขาโอบอุ้มซูอวี่ขึ้นมาแนบอก วินาทีนั้นเองก็รู้สึกราวกับว่าก้อนหินที่ถ่วงไว้ใจใจถูกยกออกไปหมดแล้ว
                เสี่ยวซารีบพาซูอวี่กลับบ้านพร้อมตะโกนบอกหัวหน้าด้วยความดีใจ
                “หัวหน้า! ซูอวี่กลับมาแล้ว เขากลับมาเอง ทุกคนรีบออกมาเร็ว!”
                ทุกคนเอะอะโวยวายกันยกใหญ่ หัวหน้ารีบแหวกทางออกมาด้วยใบหน้าตื่นตะลึง ก่อนแปรเปลี่ยนเป็นความยินดี
                “เสี่ยวอวี่?”
                ซูอวี่ลงไปจากอ้อมแขนเขา ไปหาครอบครัว อยู่ในอ้อมกอดของหัวหน้า เสี่ยวซายืนมองภาพนั้นด้วยความยินดี
                กำมือว่างเปล่าเบาๆ สลัดความรู้สึกวูบโหวงแปลกๆ ทิ้งไป
                โรคประหลาดกำเริบอีกแล้ว
                คราวนี่ยิ่งชัดเจนขึ้นทุกที
                ที่สำคัญคือ โรคนี้จะกำเริบเฉพาะบางช่วงเท่านั้น
                เฉพาะช่วงเวลาที่ได้อยู่ใกล้กับซูอวี่…
                ยิ่งพอซูอวี่กลับมาคราวนี้ มันยิ่งมากขึ้นจนน่ากลัว
                หรือว่าเขาจะติดเชื้อแปลกๆ มาจากสามพี่น้องตระกูลเจียง? นั่นก็ดูเกินจริงไปหน่อย

 

                อยู่ๆ ก็พลันนึกถึงหัวหน้าผู้มีพลังรักษาขึ้นมา
                ไม่รู้ทำไม เขาสังหรณ์ใจว่าอย่าไปให้หัวหน้าตรวจอาการจะดีกว่า…

 

 

 

 

 

—————————————————————————————————————————————–

เล่มสี่แสนจะเอ็นดูเสี่ยวซาเหลือเกิน พี่ใหญ่ พี่ไปเก็บเด็กดีแบบนี้มาจากถนนสายไหนคะ จะไปเก็บบ้าง(…)
ต่อเมื่อกาวมาค่ะ

 

The region

[Fic The Region] – วันวุ่นๆ ของบ้านตระกูลเจียง (ซูเทียนxซูอวี่xเสี่ยวซา)

Fic The Region – (ซูเทียน/ซูอวี่/เสี่ยวซา)
Title : วันวุ่นๆ ของบ้านตระกูลเจียง
Fandom : The Region
Pairing : ซูเทียน/ซูอวี่/เสี่ยวซา
Rate : PG
*Warning : สปอยเล่ม3 (แต่งตอนยังไม่ได้อ่านเล่ม 4 ค่ะ)
 
————

 

           “อย่าว่างั้นงี้เลยนะ ซูอวี่  แต่นายไม่เหมาะเป็นรุกหรอก”
           เคนตบบ่าฉันพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังในเช้าวันหนึ่ง  เหล่าทหารรับจ้างพากันหยุดมือทำกิจกรรมต่างๆ แล้วเฝ้ารอชมเรื่องสนุกกันเงียบๆ  ฉันเหลือกตามองเขา  ดูเหมือนที่อวิ๋นเชี่ยนบอกว่าเขา ‘นมใหญ่ไร้สมอง’ จะเป็นความจริงทีเดียว นี่เขาเก็บเรื่องที่ฉันบอกว่าชอบหนุ่มกล้ามโตไปคิดอย่างจริงจังหรือจะหาเรื่องกวนประสาทฉันกันแน่
           เคนพูดต่อด้วยท่าทีเคร่งขรึม  “อันที่จริงรูปร่างหน้าตานายก็ไม่เลวนัก….”
           ดี ดีมาก เขามัวแต่พล่ามโดยไม่เห็นไอเย็นจากน้ำแข็งที่ค่อยๆ ลามออกมาจากปลายเท้าของฉัน!
           “…หนุ่มกล้ามโตแบบฉันไม่ดีหรอก ฉันสนับสนุนเสี่ยวซามากกว่า  แต่ดูจากท่าทีของหัวหน้าแล้ว….”
           เขาพูดไปได้ครึ่งเดียวก็ร้องจ๊าก รีบกระโดดถอยห่างออกจากฉัน  ฉันแค่นเสียงฮึ ในลำคอ บอกด้วยท่าทีเย็นชา
           “ถ้าพวกคุณว่างมากก็ไปฝึกกับจวินจวินได้แล้ว!”
           เคนงึมงำในลำคอทำนองว่า  ‘หน้าสวยใจโฉด’ ฉันถลึงตาใส่เขา  ไอ้หมอนี่อยากโดนแช่แข็งกลางบ้านจริงๆ ใช่ไหม
           ฉันลอบส่งสายตาหาซูจวิน  น้องสาวสุดที่รักผู้มองตาก็รู้ความต้องการฉันยกมือทำสัญลักษณ์ว่าโอเค
           ถ้าวันนี้ไม่เล่นงานพวกเขาให้หนัก อย่ามาเรียกฉันว่าเจียงซูอวี่!
           ฉันนั่งเท้าคางมองพวกทหารรับจ้างที่กำลังหมดสภาพจากการพลังพิเศษกับซูจวินด้วยสีหน้าเรียบเฉย  ก็ใครใช้ให้พวกเขากวนประสาทฉันก่อนล่ะ  โดยเฉพาะเคน  เจ้าหมอนี่ฉันแอบจดชื่อเขาไว้ในบัญชีหนังหมาเงียบๆ เรียบร้อยแล้ว!
           แรกๆ ที่ฉันกลับมาเกิดเรื่องเข้าใจผิดกันหลายเรื่อง มีเรื่องหนึ่งทำพี่ใหญ่แทบคลั่ง  น้ำเสียงของเขาเหมือนอยากฆ่าล้างโคตรใครสักคนจนฉันสยอง  แต่ต่อมาหลังปรับความเข้าใจกันแล้วพี่ใหญ่ก็มีท่าทีอ่อนลงมาก
           ถึงในใจฉันจะรู้สึกอบอุ่นแค่ไหนยามรับรู้ถึงความเป็นห่วงของทุกคนก็เถอะ  แต่ชั่วดียังไงฉันก็เป็นผู้ชายนะ! ให้ตายสิ ฉันรู้สึกอยากสาปแช่งหน้าตาของซูอวี่พอๆ กับที่ขอบคุณมัน  ไม่ปฏิเสธว่าเพราะหน้าตานี้ฉันถึงเคยหวิดโดนทั้งชายและหญิงขืนใจมาแล้ว  แต่ก็เพราะหน้าตานี้อีกเหมือนกัน  ที่ทำให้ฉันรอดตายมาได้หลายครั้ง
           ช่วงเวลาที่พรากจากครอบครัว พรากจากทีมทหารรับจ้าง ต้องระหกระเหินอยู่ภายนอกที่เต็มไปด้วยอมุษย์อยู่เพียงลำพัง อา ไม่สิ  ฉันไม่ได้อยู่เพียงลำพังสักหน่อย  ถึงแม้ตอนหลังจะตัวคนเดียวจริงๆ ก็ตาม
           ฉันยังหวนนึกถึงราชาน้ำแข็งจนถึงตอนนี้  และทุกครั้งฉันก็อดถอดถอนใจไม่ได้
           “ตั้งแต่พี่รองกลับมาก็ดูซึมๆ ลงเยอะเลย” ซูจวินพูดด้วยความเป็นกังวล
           “เขา…สรุปเขาไม่ได้ถูก…จริงๆ ใช่ไหม” พี่ใหญ่ถามด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด
           “ฉันคิดว่าพี่รองต้องมีเรื่องอื่นปิดบังแน่ๆ” ซูจวินส่ายหน้าแล้วบอกด้วยน้ำเสียงกลัดกลุ้ม
           เสียงซุบซิบของทั้งสองคนที่ถึงแม้จะเบาแค่ไหน สำหรับคนที่อยู่ขั้นที่สองอย่างฉันก็ยังได้ยินอยู่ดี แต่ฉันทำเป็นไม่สนใจ  ตอนนี้ฉันยังไม่รู้จะหาคำอธิบายเหมาะๆ เรื่องราชาน้ำแข็งยังไงดี  อีกอย่าง…ฉันยังไม่อยากพูดเรื่องนั้นตอนนี้ด้วย
           ขณะที่กำลังอึมครึมนั้นเอง หางตาก็เหลือบไปเห็นเสี่ยวซาที่ถือไอแพดตรงเข้ามาหาซูจวินเพื่อขอให้ชาร์ตไฟให้  ในใจฉันนึกฉุนขึ้นมาทันควัน
            น้อยๆ หน่อยเถอะเจ้าพวกนี้  เห็นน้องสาวสุดที่รักของฉันเป็นปลั๊กไฟเคลื่อนที่หรือไงหา!
           ฉันก้าวเท้าไปหาเสี่ยวซาอย่างไม่สบอารมณ์   อันที่จริงเรื่องนี้ถือเป็นเรื่องธรรมดามาก แต่ไม่รู้ทำไมถึงรู้สึกขัดหูขัดตาขึ้นมาเฉยๆ  เหมือนว่าพอผ่านเรื่องราชาน้ำแข็งไปแล้ว อารมณ์ฉันไม่ค่อยคงที่จริงๆ
           ฉันหยุดยืนอยู่ตรงหน้าเสี่ยวซา เขาเงยหน้าขึ้นมามองโดยไม่พูดอะไร  ฉันอ้าปากเตรียมจะหาเรื่องเต็มที่ แต่พอนึกถึงเรื่องของเสี่ยวซาโลกนู้นขึ้นมาได้  อารมณ์ขุ่นมัวก็ลดลงไปเกือบครึ่ง เลยกลายเป็นว่าฉันยืนจ้องหน้าเสี่ยวซาเขม็ง  เขามองฉันนิ่งๆ แต่ดูมึนงง  ส่วนพี่ใหญ่กับซูจวินได้แต่มองพวกเราสองคนสลับกันไปมา
           ฉันยื่นมือไปจับบ่าเสี่ยวซา เขาสะดุ้งเล็กน้อยเพราะไม่ทันตั้งตัวแต่ก็ไม่ได้หลบหนีไปไหน  ฉันคิดว่าบางทีเขาอาจจะเริ่มชินกับพฤติกรรมแปลกๆ ของฉันตั้งแต่ครั้งก่อนที่เรียกเขาไปวัดรอบเอวแล้วกระมัง
           ฉันจับใบหน้าเสี่ยวซาหันไปมา  ใช้ดวงตาสำรวจเขาอย่างละเอียด  จับเขาหมุนตัว แล้วมองขึ้นๆ ลงๆ อีกหลายครั้ง  ที่จริงฉันอยากถลกเสื้อเขาขึ้นมาดูด้วยซ้ำ แต่คิดไปคิดมาอย่าดีกว่า  เดี๋ยวน้องสาวของฉันจะโรควายกำเริบหนักกว่านี้  ฮือๆ เอาจวินจวินที่แสนบริสุทธิ์ของฉันคืนมานะ!
           เมื่อแน่ใจว่าไม่มีส่วนใดบุบสลายฉันก็ถอนหายใจ “คุณไปได้แล้ว”
           เสี่ยวซาไม่เพียงยืนนิ่งไม่ขยับ  แต่ยังมองฉันด้วยสายตาแปลกๆ แทน   ฉันขมวดคิ้ว  หรือว่าระหว่างที่ฉันไม่อยู่เสี่ยวซาจะเป็นอะไรไปจริงๆ ?
           “พี่…พี่รอง ที่แท้พี่ก็ชอบเสี่ยวซาหรอกเหรอ” ทันใดนั้นซูจวินก็โพล่งขึ้นมาด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น  ดวงตากลมโตราวกับลูกแก้วเป็นประกายวาววับ แต่หางตาของเธอกลับเหลือบมองทางพี่ใหญ่ที่มีสีหน้าดำคล้ำลงอยู่ตลอดเวลา
           ขณะที่ฉันกำลังจะอ้าปากบอกว่าไร้สาระ  พี่ใหญ่ก็เบียดเข้ามาอยู่ด้านหน้าฉัน ถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เสี่ยวอวี่  นายชอบเสี่ยวซาจริงเหรอ”
           ได้ยินแบบนั้นฉันก็ขมวดคิ้ว ไหนพี่ใหญ่บอกว่าเสี่ยวซาก็ไม่เลวไม่ใช่หรือไง แล้วทำไมตอนนี้ถึงทำเสียงเหมือนอยากแช่แข็งคนทั้งเป็นแบบนี้ล่ะ  อีกอย่าง ถ้าฉันคบกับเสี่ยวซาจริง ในตอนนี้ไม่ได้แปลว่าชอบเพศเดียวกันหรอกเรอะ
           แต่เดี๋ยวก่อน ฉันไม่ได้จะคบกับเสี่ยวซาสักหน่อย  เข้าใจผิดกันไปใหญ่แล้ว!
           “เสี่ยวอวี่” เมื่อพี่ใหญ่เห็นฉันเงียบไปนานก็เรียกชื่อฉันอีกครั้ง หางเสียงแฝงแววร้อนรนอยู่กลายๆ  ฉันยิ่งงงหนัก ทำไมพี่ใหญ่ต้องทำท่าทางเหมือนกำลังร้อนใจด้วย  ฉันที่ยืนอยู่ด้านหลังมองเห็นหน้าเขาไม่ถนัดด้วยสิ
            ทันใดนั้น เสี่ยวซาที่นิ่งเงียบมาตลอดก็หันมามองฉันแวบหนึ่ง ก่อนกลับไปประสานสายตากับพี่ใหญ่ เขาเอ่ยขึ้นมาอย่างเรียบๆ แต่จริงจัง
           “หัวหน้า  ผมไม่ยอมแพ้แน่”
           คล้อยหลังเสี่ยวซาที่เดินออกไป  พี่ใหญ่ที่ดูอารมณ์ไม่ดีนักก็หายไปอีกทาง   ซูจวินที่เฝ้าชมเหตุการณ์เงียบๆ มาตลอดก็โพล่งขึ้น “กลายเป็นรักสามเศร้าไปแล้วเหรอเนี่ย…”
          ในหัวฉันคิดวุ่นวายไปหมดหลังจากได้ฟังคำพูดของซูจวิน  รักสามเศร้า? ใครกับใคร? หรือจะเป็นเสี่ยวซากับพี่ใหญ่?  ต้องใช่แน่ๆ  เพราะเมื่อกี้ฉันเห็นกับตาว่าเขาสองคนส่งสายตากันหวานซึ้งอยู่นานสองนาน  แต่เอ๊ะ  ซูจวินบอกว่าเป็นรักสามเศร้านี่นา  แล้วอีกคนคือใครล่ะ
           จะว่าไปแล้วเสี่ยวซาหันมามองฉันแวบหนึ่งด้วย  โอ้ ไม่นะ  หรือเสี่ยวซาจะคิดว่าฉันเป็นคู่แข่งทางความรักของเขา?
           “พี่รอง พี่คิดอะไรอยู่  สีหน้าเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว” ซูจวินกลั้นหัวเราะ มือโบกไปมาตรงหน้าฉัน
           “จวินจวิน เธอว่าพี่ควรทำยังไงดี” ฉันถามด้วยสีหน้าเคร่งเครียด  ซูจวินมองฉันด้วยความประหลาดใจ
           “พี่รอง ในที่สุดพี่ก็รู้ตัวแล้วเหรอ”
           “อื้ม” ฉันตอบรับเสียงจริงจัง “แต่เสี่ยวซาเป็นผู้ชาย  ถึงฉันจะไม่ถือเรื่องนี้ก็เถอะ…”
           ถ้าเป็นแบบนี้ฉันก็อดอุ้มหลานน่ะสิ  ฉันถอนหายใจกลุ้มๆ  ลูกของพี่ใหญ่ต้องน่ารักมากแน่ๆ  แต่ถ้าพี่ใหญ่ชอบเสี่ยวซา  ฉันก็ควรจะสนับสนุนเขา!   ฉันเงยหน้าขึ้นมาอย่างเด็ดเดี่ยวเมื่อตัดสินใจได้แล้ว
           ซูจวินมีสีหน้าลังเลนิดหน่อยก่อนจะถามฉัน “สรุปพี่เข้าใจว่าไงเหรอ”
           พอฉันเล่าสิ่งที่คิดออกมาให้ฟัง  ซูจวินก็ทำหน้าแปลกๆ เหมือนหัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้ ก่อนจะพึมพำเสียงแผ่วลงเรื่อยๆ “ว่าแล้วเชียว  พี่รองที่หัวช้ามาตลอดจะเข้าใจได้ยังไง พี่ใหญ่ก็…บ้านเราอาจจะไม่มีทายาทสืบสกุลแล้วก็ได้ เฮ้อ   แต่แบบนี้ก็ไม่เลว…”
           ฉันคิดตาม ก็พบว่าตัวเองไม่เข้าใจสิ่งที่น้องสาวพูดมาเลยแม้แต่นิดเดียว   ซูจวินพอทิ้งระเบิดไว้แล้วก็กระโดดแผล็วหายขึ้นไปบนชั้นสองด้วยความรวดเร็วโดยมีฉันตะโกนไล่หลัง
           “จวินจวิน เธอหมายความว่าไง…กลับมาคุยกันให้รู้เรื่องนะ  จวินจวิน!”
           มื้อค่ำ บรรยากาศรอบโต๊ะอาหารดูเคร่งเครียดอย่างบอกไม่ถูก  ฉันมองพี่ใหญ่ที่ดูอารมณ์ไม่ดีมาตั้งแต่เมื่อกลางวัน  เวลาผ่านไปสักพัก พี่ใหญ่ก็รวบตะเกียบ  หันมากล่าวกับฉัน
           “เสี่ยวอวี่  กินเสร็จแล้วตามพี่มาที่ห้องด้วย”
           ฉันพยักหน้ารับ รีบจัดการส่วนที่เหลือแล้วเดินตามพี่ใหญ่ไปยังชั้นสองท่ามกลางสายตาอยากรู้อยากเห็นของผู้คนบนโต๊ะอาหาร
           “คราวนี้อะไรอีก เปลี่ยนหัวหน้ากันอีกแล้วเหรอ…” เสียงที่หนึ่งเริ่มต้นด้วยท่าทีมึนงง
           “ช่างไม่รู้อะไรจริงๆ  เมื่อเช้าเสี่ยวซาประกาศสงครามแล้ว! ต่อหน้าหัวหน้าด้วยนะ”
           “…เสี่ยวซานี่กล้าจริงๆ  แบบนี้มีกี่ชีวิตก็ไม่พอ”
           “ตอนแรกฉันก็เชียร์เสี่ยวซาอยู่หรอก  แต่พอเห็นคู่แข่งแล้ว…”
           พอเข้าไปในห้อง  ฉันก็เอ่ยถามเข้าประเด็นทันที “พี่ใหญ่มีเรื่องอะไรจะคุยเหรอ”
           “เสี่ยวอวี่  ตอบพี่มาตามตรง” พี่ใหญ่เริ่มต้นด้วยท่าทีเคร่งเครียด ฉันเองก็พลอยจริงจังไปด้วย “นายชอบเสี่ยวซาหรือเปล่า”
           …เรื่องนี้เนี่ยนะ  หัวสมองฉันขาวโพลนไปชั่วขณะ  พอฉันนิ่งอึ้งไม่ตอบคำ พี่ใหญ่ก็ดูเคร่งเครียดขึ้นเรื่อยๆ
           สรุปพี่ใหญ่เรียกฉันมาคุยเรื่องนี้หรอกเหรอ  หรือพี่ใหญ่จะเห็นว่าฉันเป็นศัตรูหัวใจไปแล้ว  ถ้าฉันถูกพี่ใหญ่เกลียดขึ้นมาเพราะคิดว่าจะไปแย่งคนรักของเขา น่ากลัวว่าฉันคงต้องระเห็จออกจากบ้านนี้ไปทันที  คิดถึงตรงนี้หัวใจของฉันก็เหมือนถูกก้อนหินกดทับจนหนักอึ้งไปหมด
           ฉันเงยหน้ามองพี่ใหญ่ด้วยความเสียใจปนหวาดกลัว  พอเห็นหน้าตาดุร้ายของพี่ใหญ่ฉันก็ตกใจจนรีบก้มหน้างุด พอพี่ใหญ่เห็นหน้าฉันก็หน้าซีด  รีบละล่ำละลักบอก “พ..พี่ไม่ได้จะขัดขวางพวกนายสองคน พี่…พี่แค่…”
           ใบหน้าของพี่ใหญ่เต็มไปด้วยความรู้สึกผิด เขาบอกด้วยน้ำเสียงขมขื่น “ถ้านาย…แค่นายมีความสุขพี่ก็ดีใจแล้ว”
           “พี่ใหญ่ไม่ต้องเป็นห่วง ผมไม่ไปขัดขวางความรักของพี่กับเสี่ยวซาหรอก” ฉันฝืนกล่าวออกมาด้วยความจริงใจ  ถ้าฉันพูดแล้วพี่ใหญ่ยังไม่เชื่อฉันคง ฉันคง…
ิ          “…นายว่าอะไรนะ” พี่ใหญ่เบิกตากว้าง  ถามอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง
         “ผมบอกว่า ผมไม่มีวันไปขัดขวางความรักของพี่กับเสี่ยวซาแน่” ฉันย้ำอีกครั้ง  มุมปากของพี่ใหญ่กระตุกเกร็ง ก่อนเค้นเสียงรอดไรฟัน
          “พี่ไม่ได้ชอบเสี่ยวซา!”
           อ้าว?  ฉันมึนงง  พี่ใหญ่ไม่ได้ชอบเสี่ยวซาหรอกเหรอ ฉันมองไปทางพี่ใหญ่อีกครั้ง  พี่ใหญ่จึงเปิดปากขึ้นมาช้าๆ
           “นายต่างหากที่…ชอบเสี่ยวซาไม่ใช่เหรอ”
          “เปล่า ผมไม่ได้ชอบเสี่ยวซา” ฉันปฏิเสธหนักแน่น นี่พี่ใหญ่ไปเอาความคิดพวกนี้มาจากไหนเนี่ย!
           พี่ใหญ่มีสีหน้าแช่มชื่นขึ้นมาทันควัน แถมยังถามย้ำอีกหลายครั้ง
           “ผมไม่ได้ชอบเสี่ยวซาจริงๆ” ฉันตอบจนปากเปียกปากแฉะจนพี่ใหญ่เชื่อแล้วว่าฉันไม่ได้ชอบเสี่ยวซาจริงๆ จึงพยักหน้าอย่างพึงพอใจ  พอเคลียร์ความเข้าใจผิดกันไปได้เรียบร้อยพี่ใหญ่ก็ดูอารมณ์ดีขึ้นมาก  เฮ้อ  หรือพี่ใหญ่จะไม่อยากให้ฉันมีความรักก่อนวัยอันควรเหมือนราชาน้ำแข็ง  ถึงยังไงทั้งสองคนก็เป็นคนเดียวกัน  อยู่ๆ พี่ใหญ่จะมีความคิดเหมือนกันก็คงไม่แปลก
          “จริงสิ ผมมีเรื่องอยากจะปรึกษา” ฉันเหล่มองไปทางประตูที่ปิดอยู่  พี่ใหญ่ที่เหมือนจะเข้าใจความหมายของฉันมองยิ้มๆ ไม่เอ่ยขัดอะไร “พี่ว่าทหารรับจ้างพวกนั้นว่างงานเกินไปไหม  หรือผมควรจะฝึกให้หนักกว่านี้สักสามเท่า?”
           “แล้วแต่นายเลย” พี่ใหญ่บอกอย่างไม่ใส่ใจ   พี่ใหญ่ นี่พี่จะโอ๋น้องอย่างไร้ขีดจำกัดมากไปแล้วนะ! ขนาดทหารรับจ้างของตัวเองยังขายให้น้องชายได้ง่ายๆ
          มีเสียงดัง ‘ผลั่ก’ ‘โครม’ ดังลอดออกมาจากหลังบานประตูแล้วเงียบหายไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
          ดูเหมือนฉันต้องจัดการฝึกให้พวกเขาชุดใหญ่จริงๆ…..
 
 
 
 
_______________________________________________________________________________________________
Free talk
วูบค่ะ สารภาพ ฟิคนี้วูบมาก กาวล้วนๆ 5555  พอกลับมาอ่านเรื่องนี้ใหม่อีกรอบก็เกิดเป็นฟิคนี้แล orz  ไม่รู้ทำไมถึงจิ้นคู่พี่ชายกับน้องชาย ฮืออออ ทำไมค้ำคอร์อย่างนี้  แต่กรี๊ดพี่ใหญ่มาตั้งแต่เล่มแรกแล้วค่ะ พี่ใหญ่องอาจมาดเข้มสุดๆ !  ส่วนเสี่ยวซานั้นแอบอวยอย่างลับๆ (เอ๊ะ) ทีแรกไม่คิดจะซื้อเรื่องนี้เลยด้วยซ้ำค่ะ เป็นแฟนหนังสือ Yu Wo ก็จริง แต่เพื่อนรีวิวมาว่าคล้ายๆ เอาตัวรอดจากซอมบี้ (ที่จริงคืออมุษย์) ในยุคสิ้นโลก  แล้วอินี่ก็กลัวซอมบี้ขึ้นสมองไง OTL  แต่พอมาอ่านจริงๆ ดันติดงอมแงม เฝ้ารอเล่มต่อไปอย่างใจจดใจจ่อซะอย่างนั้น
QZGS

[Fic QZGS] – special switch 2 (หวงเยี่ย)

Fic 全职高手 – special switch 2 (หวงเส้าเทียน x เยี่ยซิว)

#หวงเยี่ย รู้ตัวอีกทีก็เขียนลงไปแล้ว orz เราเปล่ากามนะ อันนี้ไม่ใช่เราจริงๆ! เราถูกชี้นำ/ปิดตาชี้ตัวคนร้าย

 

 

 

 

 

ถังโหรวกำลังคิดอยากจะโทรแจ้งตำรวจ

 
ขณะที่กำลังใคร่ครวญว่าจะไปหยิบโทรศัพท์มาดีหรือไม่ เยี่ยซิวก็เข้ามาตบบ่าเธอแล้วกล่าวว่า “คนรู้จักฉันเอง”

 

“อ้อ เพื่อนคุณหรือ”

 
เยี่ยซิวพยักหน้า แล้วเดินไปเปิดประตูให้คนที่ทำตัวลับๆ ล่อๆ อยู่หน้าร้านให้เข้ามา

 
ถังโหรวเห็นคนน่าสงสัยมาด้อมๆ มองๆ อยู่หน้าร้านพักใหญ่ ศีรษะพันด้วยผ้าคลุมทับหลายชั้น สวมแว่นตาดำ ปกปิดมิดชิดเหมือนพวกไอ้โม่งที่ไหน เดี๋ยวก้าวเข้ามาเดี๋ยวหดขากลับไป ดูสับสนวุ่นวายมาก

 
“ไอ้บ้า อยู่ๆ จะมาเปิดอย่างนี้ได้ไง โม่งฉันแตกหรือเปล่า! โม่งฉันแตกหรือยัง แม่สาวคนนั้นต้องจำฉันได้แน่ๆ เลย คนนั้นมองมาทางนี้แล้ว แย่แล้ว! ฉันจะทำไงดี โม่งแตกแน่ๆ”

 
ถังโหรวจำได้ว่าเคยได้ยินเสียงของคนคนนี้มาก่อน ยิ่งจังหวะที่พูดเร็วขึ้น เสียงก็จะแหลมขึ้นตามไปด้วย วิธีการพูดเป็นเอกลักษณ์เช่นนี้เธอก็พอรู้แล้วว่าคือใคร ถังโหรวไม่อยากปวดหูตอนนี้ จึงเดินเลี่ยงไปอีกทาง ปล่อยให้เยี่ยซิวรับหน้าไปคนเดียว

 
ถังโหรวได้ยินเสียงตัดพ้อต่อว่าเป็นชุดอยู่ไกลลิบๆ เธอทำเป็นไม่ได้ยิน หยิบหูฟังมาสวมเข้าเกมกลอรี่ ตัดขาดเสียงคอร์กี้ที่เห่าโฮ่งๆ เพราะน้อยใจเจ้านายไปเสีย ตีมอนเตอร์ด้วยใจสุขสงบ

 

 
เยี่ยซิวต้อนรับแขกด้วยการทำหูทวนลม

 
“มีอะไร”

 

“เฮ้ย สหายนายอุตส่าห์มาเยี่ยมนะ หวงเส้าเทียนอริยดาบสุดเท่อุตส่าห์มาเยี่ยมนายนะ ใจคอนายจะทำเย็นชาอย่างนี้จริงรึ คนเลว นายมันคนไม่มีหัวใจ”

 

 

หวงเส้าเทียนเดินตามเยี่ยซิว ปากก็บ่นงึมงำไปตลอดทางแต่ไม่กล้าเสียงดังมากเพราะกลัวโม่งแตก

 
เยี่ยซิวเดินพาหวงเส้าเทียนไปมุมมืดที่ไม่ค่อยมีคน เปิดเครื่องให้ จากนั้นก็บอกเนิบๆ

 
“นายนั่งเครื่องนี้ แถวนี้ไม่ค่อยมีคน”

 
หวงเส้าเทียนหันซ้ายหันขวา มุมนี้ไม่มีคนดังที่ว่า แต่จุดประสงค์ที่เขามาไม่ใช่เพราะเรื่องนี้สักหน่อย!

 
พอบ่นออกไป เยี่ยซิวก็ทำแค่เลิกคิ้วข้างหนึ่ง เอนพิงผนังด้วยท่าทีเอื่อยๆ

 
“อ้อ แล้วนายมีธุระอะไร”

 

หวงเส้าเทียนหน้าแดง โพล่งออกไปอย่างรวดเร็ว “ก็แค่มาเยี่ยมนายไม่ได้หรือไง!”

 

เยี่ยซิวตอบเพียงแค่ “อ้อ”

 
อ้ออีกแล้ว! หวงเส้าเทียนรู้สึกหน้าร้อนเข้าไปใหญ่ แต่เยี่ยซิวไม่ได้พูดอะไรต่อ เดินไปยังเครื่องหน้าเคาท์เตอร์เงียบๆ โดยมีหวงเส้าเทียนตามติดไปด้วยในสภาพไอ้โม่ง

 
เยี่ยซิวนั่งลงรูดการ์ดไอดีเข้ากลอรี่ บังคับตัวละครจวินม่อเซี่ยวอย่างคล่องแคล่ว หวงเส้าเทียนนั่งสังเกตการอยู่ข้างๆ มองมือเรียวสวยที่เคาะแป้นพิมพ์ต้อกแต้กตาเป็นมัน ครั้นเงยหน้าขึ้นมาเห็นสิ่งที่อยู่บนจอก็อุทานเสียงดัง

 
“เชี่ยยยยย ชื่อตัวละครนายแดงเถือกเลยนี่หว่า ฆ่าไปกี่ศพล่ะนั่น อ๊ะ มีคนมาแล้ว อ้าว วิ่งหนีไปแล้วแฮะ เฮ้ย ไอ้คนใจบาป นายจะรังแกผู้เล่นใหม่ทำไมเนี่ย เยี่ยชิว นายฟังฉันอยู่หรือเปล่า!”

 
หลังจากพูดมาเสียยาวก็พบว่าไอ้เจ้านีทนี่ไม่ได้สนใจตนเลย สวมหูฟังเข้าโลกกลอรี่ไปแล้ว หวงเส้าเทียนลมออกหู ถือวิสาสะถอดหูฟังที่ครอบใบหูของเยี่ยซิวออก

 
“เยี่ยชิว เยี่ยชิว เลิกเล่นสักวันเถอะน่า สนใจฉันหน่อย นี่ นี่ นี่ ฉันลางานมาหานายเลยนะ สนใจฉันหน่อยสิ นะ นะ นะ นะ นะ”

 
ผลจากเสียงงุ้งงิ้งข้างหูทำให้เยี่ยซิวละสายตาจากจอเหลือบมองตัวกวนแวบหนึ่ง เสียสละมือข้างซ้ายลูบหัวหวงเส้าเทียนไปสี่ห้าทีเหมือนลูบหัวสุนัขด้วยความเร็วมือไม่ธรรมดา แล้วจดจ่อกับกลอรี่ต่อ

 
หวงเส้าเทียนเพิ่งเคลิ้มกับสัมผัสนิ่มๆ ไปได้ไม่ถึงสามวินาทีก็ต้องน้ำตาไหลพรากอย่างเงียบงัน ที่แท้แล้วตนถูกจัดลำดับความสำคัญไว้ข้างล่างสุด ในระดับเดียวกับสัตว์เลี้ยงหรอกหรือ

 
“ฮึ่ม ไม่สนแล้ว นายเตรียมใจไว้ได้เลย คืนนี้ฉันจะเอาคืนนา—อุ้บ” หวงเส้าเทียนที่รู้ตัวว่าตนพึ่งหลุดอะไรออกไปตระครุบปากหน้าตาตื่น

 

“เอาคืน?”

 
เชี่ย!

 
หวงเส้าเทียนโบกมือปฏิเสธเป็นพัลวัน “ไม่มีอะไร ไม่มีอะไรทั้งนั้น!”

 

“หืม?” เยี่ยซิวเลิกคิ้วมอง แล้วกลับไปเล่นกลอรี่ต่อ ไม่ทันสังเกตหวงเส้าเทียนที่ยกมือกุมอกแล้วถอนหายใจ

 
จะให้รู้ไม่ได้ว่าเขาเก็บอีกฝ่ายไปฝัน ทั้งยังฝันเป็นตุเป็นตะว่าวิญญาณออกจากร่างไปหาเยี่ยชิว เท่านั้นไม่พอ ในร่างวิญญาณเขาดันทำเรื่องลามกกับอีกฝ่ายอีก

 
เล่นไปได้พักใหญ่ เยี่ยซิวเห็นว่าถึงแก่เวลาแล้ว จึงบอกกับหวงเส้าเทียนที่เอาแต่นั่งมองเขาเล่นเกมไม่ขยับไปไหน ไม่พูดไมาจาผิดวิสัยอีกด้วย

 
หรือว่าร่มแสนกลมันน่าดึงดูดใจขนาดนั้น?

 
“ดึกแล้ว จะค้างที่นี่ไหม”

 

“ไม่ดีกว่า” ถึงจะเสียดายแค่ไหน ถ้าเยี่ยชิวได้ยินเขาละเมอเรียกชื่อพร้อมส่วนนั้นที่ตื่นตัวตนจะไม่โดนเตะออกมาตากลมกลางดึกหรอกหรือ!

 
หวงเส้าเทียนได้แต่มองร่างข้างตนตาละห้อย สงบจิตสงบใจหนักมาก ตัดสินใจแน่วแน่จะไปค้างโรงแรม เยี่ยซิวโบกมือเอื่อยๆ ปากคาบบุหรี่เอ่ยเสียงอู้อี้ว่าไม่ส่ง

 

 
หวงเส้าเทียนชะเง้อคอ พอเห็นเยี่ยซิวไม่มีท่าทางใส่ใจตนจริงๆ ก็เดินคอตกออกไปจากซิงซินเหมือนสุนัขหงอยเหงา

 

 

 

 

 

 

พอหวงเส้าเทียนกลับไป เยี่ยซิวนั่งเล่นกลอรี่ไปอีกสักพัก อาการปวดเมื่อยอ่อนเพลียเริ่มจะกลับมาอีกระรอก

 
เขารู้สึกเพลียๆ มาตั้งแต่อาทิตย์ที่แล้ว บางวันจู่ๆ ก็จะง่วงขึ้นมากะทันหัน อ่อนเพลียมาก เยี่ยซิวเคยคิดจะฝืนแต่ฝืนไม่ได้ สุดท้ายต้องย้ายสังขารขึ้นไปบนห้องนอน

 
อีกอย่างคือหวงเส้าเทียนกลับมาตอแยเขาบ่อยจนผิดปกติ

 
แม้ปกติเจ้าตัวจะชอบมาตื๊อให้เขา PK ด้วยก็เถอะ แต่ช่วงนี้จะบ่อยเกินไปหน่อยไหม อย่างวันนี้ที่หวงเส้าเทียนมาหา ก็ไม่เหมือนกับมาขอ PK สักนิด เยี่ยซิวคิดอย่างไรก็คิดไม่ตก

 
ยิ่งคิดหัวสมองยิ่งพร่าเบลอ เยี่ยซิวจำใจต้องออกจากกลอรี่แล้วขึ้นไปพักผ่อนแทน

 

 

 

 

 

 

…เย็น…

 
สติของชายหนุ่มค่อยๆ กลับมาสู่โลกแห่งความเป็นจริง พร้อมสัมผัสแปลกๆ ที่เริ่มคุ้นชินก็ค่อยๆ แตะลงบนผิวส่วนที่เปลือยเปล่าของเขาอย่างแผ่วเบา

 
เยี่ยซิวย่นหัวคิ้วเมื่อสัมผัสนั้นเลื่อนลงไปยังความปราถนาของเขาเหมือนชำนิชำนาญ เสียงครางแผ่วดังแว่วในลำคอ ส่วนปลายของเขาถูกขยี้เบาๆ พร้อมกับถูกรูดขึ้นลงอย่างรวดเร็ว ความกระสันต์รุนแรงทำให้ร่างกระตุกเกร็ง ปลายนิ้วเท้าเหยียดงอ ถีบผ้าปูที่นอนเสียยับย่น

 
“อือ..”

 
เยี่ยซิวหอบหายใจ ก่อนถูกบางสิ่งนุ่มหยุ่นเข้าครอบครอง เยี่ยซิวเปิดปากรับ ลิ้นนุ่มตวัดไล่ตามการชี้นำ เสียงจุ๊บ จุ๊บน่าละอายดังขึ้นไม่หยุดหย่อน ในตอนนี้เยี่ยซิวไม่มีสติพอจะสนอะไร หลงเหลือเพียงความรู้สึกที่ถูกความต้องการเข้าครอบงำ

 
“อ๊ะ อือ..อือ”

 
เสียงครางถูกเปล่งออกมาอีกครั้งเมื่อริมฝีปากถูกปล่อยให้เป็นอิสระ ยอดอกที่ชูชันถูกหยอกล้ออย่างหนักหน่วงไม่แพ้เบื้องล่าง หน้าอกและลาดไหล่ถูกบางสิ่งนุ่มๆ พรมสัมผัสไปทั้วพื้นที่ ความเปียกชื้นลากไล้ลำคอ บางครั้งก็ถูกขบกัดและดูดดึงอย่างแรง

 
…รู้สึกดี

 
เยี่ยซิวไม่รู้เลยว่าตนค่อยๆ คุ้นชิน แม้กระทั่งเริ่มโหยหาสัมผัสประหลาดในยามค่ำคืนเสียแล้ว

 
“อ๊ะ!”

 
เยี่ยซิวหวีดร้อง ความปราถนาทะลักทลายออกมา พยา ยามอย่างมากที่จะลืมตาขึ้นมามองเหมือนทุกครั้ง ปกติเขาจะไม่เห็นอะไรนอกจากร่างเงาที่มองไม่ออก คลับคล้ายคลับคลาจะเป็นคนรู้จัก แต่วันนี้เยี่ยซิวกลับเห็นรายละเอียดที่ต่างออกไป

 
“เส้าเทียน?”

 
สีน้ำตาลอ่อนพร่างพราวที่สะท้อนเข้ามาในดวงตาทำให้เยี่ยซิวหลุดเรียกชื่อนี้ออกไปโดยไม่ทันได้ผ่านการกลั่นกรอง

 

 

 

 

 

 

หวงเส้าเทียนรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะระเบิดบึ้ม

 
“ช…ช่วยเรียกอีกทีได้ไหม”

 
เยี่ยซิวที่ครึ่งหลับครึ่งตื่น ยอมเรียกตามที่บอกอย่างว่าง่าย “เส้าเทียน”

 
ดวงตาที่ชอบหลุบลงเหมือนจะหลับแหล่มิหลับแหล่อยู่ตลอดเวลา บัดนี้ฉ่ำเยิ้มขุ่นมัวด้วยความปราถนากำลังช้อนมองเขา

 
เชี่ยยยยยยยยยยย!!!!!

 
หวงเส้าเทียนหัวใจพองโต ถึงตายตอนนี้ก็ไม่เสียดายแล้ว!

 
เยี่ยชิวแก้มนวลมีสีเลือดฝาด เรียกชื่อเขาด้วยเสียงแหบพร่าอย่างน่ารัก กระตุ้นสัญชาติญาณบางอย่างในตัวหวงเส้าเทียนขึ้น

 
หวงเส้าเทียนกระโจนเข้าใส่ร่างที่นอนไร้ทางป้องกันอยู่บนเตียง หูตั้งหางกระดิกริกๆ เหมือนหมาป่า

 
น่ารัก น่ารัก น่ารัก น่ารัก

 
น่ารักมาก…เยี่ยชิวในฝันวันนี้น่ารักจนเขาทนไม่ไหว
เขาประกบจูบ ดูดกลืนริมฝีปากนุ่มนิ่มของอีกคนอย่างอดใจไม่ไหว หวงเส้าเทียนผุดความคิดบางอย่างขึ้นมา

 
…ทำเกินมากกว่านี้คงไม่เป็นไร เพราะยังไงนี่ก็เป็นแค่ความฝันอยู่แล้ว…

 
หวงเส้าเทียนเลื่อนมือไปตรงช่องทางเบื้องล่าง ค่อยๆ สอดนิ้วยาวเข้าไปเตรียมความพร้อมให้แก่ความคับแน่นนั้น เยี่ยซิวเกร็งจนตัวสั่น หวงเส้าเทียนค่อยๆ มอบจูบหลอกล่อให้อีกฝ่ายคลายความกังวลลง

 

 

เมื่อเยี่ยซิวเริ่มผ่อนคลาย หวงเส้าเทียนก็ค่อยๆ เพิ่มนิ้วมือเข้าไปในช่องทางนั้นมากขึ้นเรื่อยๆ รอจนช่องทางคับแคบเริ่มนิ่มลงแล้ว หวงเส้าเทียนก็ค่อยๆ สอดความเป็นชายของเขาเข้าไปในตัวอีกฝ่ายอย่างช้าๆ

 
“อ๊า!”

 
เยี่ยซิวหวีดร้องอย่างเจ็บปวด หวงเส้าเทียนรีบใช้มือจุดความใคร่ของอีกฝ่ายขึ้นมา เยี่ยซิวที่ถูกปรนเปรอทั้งสองด้าน เผชิญกับความสุขสมที่เหมือนจะตายให้ได้ แววตาของที่เริ่มแจ่มใสก็ค่อยๆ จมลงไปกับความปราถนาอีกครั้ง

 
“อา อา อื้ออ”

 
ร่างโปร่งบางถูกแรงกระทำจนโยกคลอน เยี่ยซิวผิดตาแน่น ความรู้สึกที่ไม่เคยได้สัมผัสทำให้เขาทำอะไรไม่ถูก ตัวตนที่ขยายคับพองส่วนล่างทำให้เยี่ยซิวจำต้องอ้าขากว้างขึ้นอีกนิดเพื่อรองรับอีกฝ่าย

 
“อ๊ะ อ๊ะ ฮึก”

 
หวงเส้าเทียนขยับแก่นกายเข้าออกร่างกายของเยี่ยซิวอย่างรวดเร็ว ร่างกายของเยี่ยซิวพาให้เขาหลงลืมสิ้นทุกสิ่ง จ่อมจมอยู่กับความปรานาในร่างกายของอีกฝ่ายไม่สิ้นสุด

 
เยี่ยซิวผวาโอบรอบคอเขาแน่น ความอุ่นร้อนถูกกระแทกกระทั้นอย่างเร็วแรง ใบหน้าเรียวเต็มไปด้วยหยาดเหงื่อพราว หวงเส้าเทียนอดที่จะมอบจุมพิตให้กลีบปากแดงฉ่ำอีกทีไม่ได้ ลิ้นทั้งสองพัวพันกระหวัดเกี่ยวจนแยกไม่ออก หวงเส้าเทียนเร่งจังหวะถี่ ขยับกายกระแทหหนักๆ อีกหลายครั้ง พาร่างที่ตนโอบกอดไปถึงปลายทางพร้อมกัน

 

 
“แฮ่ก แฮ่ก”

 
หวงเส้าเทียนหอบหายใจ มองร่างที่ค่อยๆ จมสู่นิทราด้วยแววตาอ่านไม่ออก

 

 

 

 

 

 

เยี่ยซิวปวดเมื่อยไปทั้งตัว แถมยังไข้ขึ้น

 
เฉินกั่วให้เยี่ยซิวหยุดพักผ่อน เยี่ยซิวปฏิเสธหนักแน่นเรื่องที่มีคนจะเช็ดตัวให้เขา เกรงใจก็ส่วนหนึ่ง อีกส่วนที่สำคัญยิ่งกว่าคือตอนเขาเข้าห้องน้ำ มีบางอย่างผิดปกติกับร่างกายเขา

 

 

 

ถ้าแค่ฝัน แล้วสิ่งที่ค้างอยู่ในตัวเขาล่ะ

 
ถ้าแค่ฝัน แล้วอาการเจ็บช่วงล่างของเขาล่ะ

 
ถ้าแค่ฝัน แล้วร่องรอยบนตัวเขาล่ะ

 
ถ้าแค่ฝัน ทั้งหมดนี้จะอธิบายได้ว่าอย่างไร

 

 

 

 

เยี่ยซิวปวดหัว สมองตื้อจนคิดอะไรไม่ออก ในหัวมีความคิดวนเวียนอยู่อย่างเดียว

 

 

 

 

 

 

…คงต้องหาโอกาสคุยกับเส้าเทียนสักหน่อย….

 

 

 

 

 

 

 

 

—END OR TBC—

ช่วงนี้มีแต่อะไรแบบนี้ ตัวเองก็ชักอาย…

 
รู้สึกเหมือนจะมีตอนสามงอกออกมา…ฝนตกน่านอนจังนะ/เหม่อมองฟ้า

QZGS

[Fic QZGS] – special switch (หวงเยี่ย)

Fic 全职高手 – special switch (หวงเส้าเทียน x เยี่ยซิว)

#หวงเยี่ย ถ้าคนที่วิญญาณออกจากร่างคือหวงเส้าเทียน (คนละจักรวาลกับอันก่อนค่ะ แอแอ)

 

 

 

 

เสียงนิ้วมือกระทบคีบอร์ดดังรัวเร็ว

 
ชายหนุ่มเปิดคลิปต่อสู้ของจวินม่อเซี่ยวซ้ำไปซ้ำมา รู้สึกครึ้มอกครึ้มใจเป็นอย่างมาก รีบเปิดหน้าต่าง QQ ขึ้นมา เห็นชื่อจวินม่อเซี่ยวออนไลน์อยู่ก็ไม่รอช้า รัวข้อความอย่างรวดเร็ว

 
“pk pk pk pk pk pk pk pk pk pk pk pk pk pk pk pk pk pk pk pk pk pk pk pk pk pk pk pk pk pk pk pk pk pk pk pk pk pk pk pk pk pk”

“ไปเล่นกับคนอื่นก่อน! ดันเจี้ยนอยู่” อีกฝ่ายตอบกลับมาสั้นๆ

 

เชี่ย ไอ้หมอนี่! หวงเส้าเทียนไม่ยอมแพ้ ระเบิดความเร็วมือระดับแข่งรอบชิง ล้างหน้าต่างสนทนาไปรอบหนึ่ง ตามด้วยอีโมติคอนโมโหอีกเป็นพรวน

 
“ดันเจี้ยนเน่าๆ นั่นมีอะไรดีหา หวงเส้าเทียนอริยดาบสุดเริ่ดอุตส่าห์มาช่วยฝึกทั้งที โอกาสแบบนี้หาไม่ได้อีกแล้วนะเฟ้ย มา pk กัน มา pk กัน pk กัน pk กัน pk กัน”

“ดันเจี้ยนอยู่”

“ไม่ต้องดันเจี้ยนแล้ว! ดันเจี้ยนแม่งอยู่ได้ทั้งวันทั้งคืน ไม่เบื่อหรือไง มา pk กันดีกว่าน่า รู้ไหมถ้าขาดซ้อมนานฝีมือจะตกเอานะ แยกแยะลำดับควาสำคัญไม่เป็นหรือไง pkpkpkpkpkpkpkpkpkpkpk”

“ดันเจี้ยนอยู่”

“เชี่ยยยยยยยยยยยยย”

 
หวงเส้าเทียนหลุดสบถยาวเหยียดหลังส่งข้อความไปดันได้ข้อความอัตโนมัติตอบมาประโยคเดียว นี่ตนเป็นถึงมหาเทพ มหาเทพเชียวนะ! ลงสนามทีก็ได้ค่าตัวหลักแสนแล้ว คนกล้าเมินเขาขนาดนี้เห็นทีจะมีแต่ไอ้หมอนี่เท่านั้น

 
หวงเส้าเทียนโมโหจนแทบกระอัก แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ใครใช้ให้อีกฝ่ายเป็นมหาเทพระดับเดียวกันกับเขาเล่า เผลอๆ เหนือกว่าด้วยซ้ำ

 
ถ้ามีโอกาส เขาจะต้องแก้แค้นหมอนั่นให้ได้อย่างแน่นอน!

 
หวงเส้าเทียนล้มตัวลงบนที่นอน ข่มตาหลับด้วยความคับข้องใจอย่างมาก

 
ไม่รู้เลยว่าสิ่งที่ปฏิญาณภายในใจกำลังจะเป็นจริง

 

 

 

หวงเส้าเทียนรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังล่องลอย

 
ใช้คำนี้มาบรรยายได้จริงๆ

 
หวงเส้าเทียนก้มมองร่างกายของตนเอง มันโปร่งแสงราวกับว่าสามารถทะลุผ่านสิ่งของต่างๆ ได้ ความคิดแรกที่ผุดขึ้นมาคือ ‘เชี่ย หรือว่าเกอจะตายแล้ว’ แต่พอเขาเห็นตัวเองอีกคนกำลังนอนหลับสบายอยู่บนที่นอนก็สงบลง

 

“หรือนี่…คือถอดวิญญาณออกจากร่าง?”

 

หวงเส้าเทียนได้ข้อสันนิฐานที่ดูจะเข้าเค้ามากที่สุด

 

“โว้ว ยอดไปเลย ทีนี้เกอก็จะได้ไปสอดแนมเจ้าพวกนั้นให้หมด ฮึ่ม ใครที่เคยรังแกเกอไว้เกอจะแก้แค้นให้ดู ให้มันรู้ซะบ้างว่าคุณชายหวงผู้นี้เก่งกาจแค่ไหน อ๊ะ หาข้อมูลมาแบล็คเมล์หมอนั่นดีไหมนะ คราวนี้เยี่ยชิวก็ปฏิเสธ pk กับฉันไม่ได้แล้ว สมเป็นอริยดาบสุดเริ่ด ฉลาดจริงๆ วะฮ่าฮ่าฮ่—เหวออออ”

 

ขณะกำลังพล่ามแผนการที่คิดขึ้นสดๆ ร้อนๆ หวงเส้าเทียนก็รู้สึกเหมือนถูกแรงมหาศาลดึงอย่างแรง รอบข้างกลายเป็นภาพพร่าเบลอ วูบเดียวก็มาเยือนสถานที่แห่งใหม่

 

 

หวงเส้าเทียนตาเบิกค้าง เมื่อเห็นภาพบุคคลที่ทำเขาอึดอัดคับข้องใจแทบตายก่อนนอน

 

 

—เยี่ยชิว

 

 

 

ชายหนุ่มรูปร่างผอมบางที่ปกติแล้วสามารถนั่งเล่นกลอรี่ได้อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ตรงกับคำที่เขาเคยพูดไว้ว่า เล่นอีกสิบปีก็ไม่เบื่อ ชอบนั่งเป็นนกฮูกโต้รุ่งเล่นกลอรี่อยู่เป็นประจำ ขนาดเฉินกั่วยังระอา

 
แต่คืนนี้เยี่ยซิวดันรู้สึกปวดเมื่อยแปลกๆ

 
เขาหยุดมือที่คู่สวยอย่างเชื่องช้า ถ้าใครมาเห็นคงไม่คาดคิดว่ามือที่ทั้งเล็กทั้งขาวเรียบเนียนคู่นี้สามารถระเบิดความเร็วมือได้อย่างดุดันไม่แพ้นักกีฬาอาชีพคนไหน

 

“เป็นอะไรไป”

 

เสียงหญิงสาวดังขึ้นจากนอกกลอรี่ เยี่ยซิวถอดหูฟังออก ยิ้มเจื่อนๆ ให้นายจ้างที่ยืนอยู่ด้านหลังตน

 

“ปวดไหล่นิดหน่อย แล้วก็เพลียๆ” เสียงเอื่อยๆ เหมือนคนขี้เกียจพูดตอบออกมา เฉินกั่วรู้สึกฉุนกึกจนอยากเตะสักป้าบ แต่พอเห็นเยี่ยซิวท่าทางอ่อนเพลียอิดโรยจริงดังว่าจึงบอกด้วยความเป็นห่วง

 

“เพราะนายเล่นนั่งไม่ขยับแบบนี้ไง เลิกเล่นแล้วไปนอนพักไป! อนุญาตให้ลาได้วันหนึ่ง”

 

เยี่ยซิวมองเธอแปลกๆ จนเฉินกั่วเลิกคิ้วสงสัย

 

“อะไร”

“เจ้านายผีเข้าหรือเปล่าวันนี้”

“ผีเข้านายน่ะสิ! แล้วน้ำนี่ไม่ได้อาบมาเป็นอาทิตย์แล้วใช่ไหม รักษาภาพลักษณ์ของมหาเทพหน่อย” แม้เธอจะไม่รู้ว่าไอ้หมอนี่มีภาพลักษณ์อะไรให้รักษาอีกก็ตาม

“พอไหวน่า พอไหว!” เยี่ยซิวโบกมือไปมา ท่าทางน่าหมันไส้มาก

“ไม่ต้องมาเฉไฉ ไปอาบน้ำเลยเจ้าซกมก!”

 

 

เยี่ยซิวจำต้องรับผ้าขนหนูที่ถูกปาใส่หน้า เดินขึ้นชั้นบนไปอย่างจนใจ

 

 

โดยไม่รู้ว่าเขามีวิญญาณจอมพูดมากเกาะติดไปด้วยอีกหนึ่งตน

 

 

 

“นายไม่ได้อาบน้ำมาเป็นอาทิตย์แล้วหรือไง เชี่ย ซกมกจริง! สู้ฉันก็ไม่ได้ อาบน้ำทุกวันตัวหอมฉุย ถ้านายไม่เชื่อตามมาดูที่สโมฯก็ได้นะ…”

 

แม้จะเป็นการพูดคุยฝ่ายเดียว หวงเส้าเทียนก็พูดจ้อไม่ยอมหยุด

 

“ทำไมเดินช้าเป็นเต่าแบบนี้ฟะ รีบขึ้นไปเร็ว ไปให้ไวๆ พาฉันไปดูห้องนายหน่อย ฉันจะไปหาข้อมูลมาแบล็คเมล์ เชี่ยๆๆ ระวังหน่อยสิฟะ เดี๋ยวก็ตกบันไดหัวฟาดพื้นไปหรอก”

 

ระหว่างเสียงเจื้อยแจ้วดำเนินไป เยี่ยชิวที่เดินๆ อยู่ด้านหน้าเขาก็เกิดอาการเซกระทันหัน หวงเส้าเทียนรีบปรี่เข้าไปพยุง พอเห็นเยี่ยชิวยืนตรงดีๆ แล้วจึงค่อยวางใจ

 

 

นี่ก็เป็นเรื่องประหลาดอีกอย่างหนึ่ง ร่างวิญญาณเขาทะลุทุกสิ่ง ไม่อาจสัมผัสอะไรได้ แต่กับเยี่ยชิว เขาดันจับได้โดยไม่ทะลุไปด้านหลังเสียก่อน

 

 

ทำไมตนถึงกลายมาเป็นแบบนี้ หวงเส้าเทียนก็หาคำตอบไม่ได้

 

 

ตอนนี้ได้แต่ติดสอยห้องตามเยี่ยชิวเหมือนเงาแค้น เยี่ยชิวไปซ้ายเขาก็ลอยไปทางซ้าย เยี่ยชิวไปขวาเขาก็ลอยไปทางขวา เยี่ยชิวถอดเสื้อผ้าเดินเข้าห้องน้ำเขาก็—

 

 

เชี่ย! เชี่ย! เชี่ย!!

 

หวงเส้าเทียนหน้าแดง ยกมือปิดหน้าอย่างรวดเร็ว แต่ก็ยังแอบมองลอดผ่านนิ้วชี้กับนิ้วกลางที่แยกออกเล็กน้อย

 

เชี่ยๆๆๆ ดูอะไรเล่า เจ้าหมอนี่มีอะไรน่าดูกัน

 

หวงเส้าเทียนหันหลังกลับไป ต่อสู้กับมโนธรรมในจิตใจหนักมาก สุดท้ายก็พ่ายแพ้ให้แก่ด้านมาร

 

…ในสิบวินาที

 

อะแฮ่ม ดูนิดๆ หน่อยๆ ไม่เป็นไรหรอกมั้ง! ยังไงก็ผู้ชายเหมือนกันนี่! หวงเส้าเทียนที่เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังเท้าปลอบใจตนเอง จะได้ไม่ดูโรคจิตเกินไปที่มาแอบดูผู้ชายอาบน้ำอย่างนี้

 

จุดประสงค์เดิมคืออะไร หวงเส้าเทียนลืมไปหมดสิ้นแล้ว

 

 

ร่างกายสูงเพรียวไร้อาภรณ์ปกปิด เอวคอดเล็กตามประสาคนไม่เคยออกกำลังหนักๆ ทั้งยังกินเหมือนแมวดม ยอดอกสีเรื่อน่ามอง ข้อมือขาวผอมบาง ดูราวกับสามารถรวบไว้ทั้งสองข้างได้ด้วยมือเดียว

 

หวงเส้าเทียนรู้สึกเหมือนเลือดลมตีขึ้นมา ทั้งๆ ที่อยู่ในร่างวิญญาณนี่แหละ!

 

ไม่รับประกันว่าถ้าเขาได้เห็นตอนกลับเข้าร่าง จะห้ามตัวเองไม่ให้เลือดกำเดาไหลได้หรือไม่

 

มัวแต่คิดอะไรไร้สาระ เยี่ยชิวก็อาบน้ำเสร็จเรียบร้อยเดินออกมาจากห้องน้ำแล้ว

 

เพ้ย นายจะเสร็จเร็วเกินไปไหมหา! วิ่งผ่านน้ำเรอะ เกอยังดูไม่จุใจ แค่กๆ ไม่ใช่แล้ว แบบนี้มันซกมก สกปรกมาก หวงเส้าเทียนก่นด่าในใจไฟแลบ หงุดหงิดใจอย่างมาก ฮึ่ม หมอนี่มันไม่ดูแลตัวเอง ดีที่ยังมีกะจิตกะใจโกนหนวดออก

 

เยี่ยชิวค่อยๆ สวมเสื้อผ้าช้าๆ แลดูเชื่องช้าไม่ทันใจเขาเอาเสียเลย มือบางติดกระดุมทีละเม็ดอย่างอ้อยอิ่ง ชวนให้คิดกระชากมันออกมาทั้งแผง หวงเส้าเทียนไม่รู้เลยว่าสายตาของตนแทบจะแปะหนึบติดตามความเคลื่อนไหวของมือคู่สวย

 

สวมเสื้อผ้าเสร็จเยี่ยชิวก็ลากเท้าไปยังเตียงอย่างอืดอาด เหมือนคนไม่มีแรงทำอะไรทั้งสิ้น ล้มตัวลงนอน หลับไปอย่างรวดเร็ว

 

 

หวงเส้าเทียนหรี่ตาลง จับจ้องร่างที่นอนหายใจสม่ำเสมอบนเตียงด้วยแววตาของสัตว์ป่า

 

 

 

 

เยี่ยซิวขนลุกเล็กน้อย รู้สึกเหมือนมีบางสิ่งมองเขาอยู่สักพักใหญ่แล้ว แม้จะเป็นเวลาอาบน้ำก็เช่นกัน ด้วยเหตุนี้เขาจึงรีบอาบ ถูสบู่ด้วยความเร็วมือขั้นสูงสุด แล้วเข้านอนอย่างรวดเร็ว

 
กลางดึกเยี่ยซิวสะลึมสะลือรู้สึกตัวขึ้นมา อึดอัดเหมือนโดนบางสิ่งกดทับ เปลือกตาหนักอึ้งจนลืมไม่ขึ้น ไม่สามารถขยับตัวได้เลย

 
ในภวังค์ที่ผสมปนเประหว่างความเป็นจริงกับความฝัน เยี่ยซิวรู้สึกถึงสัมผัสเย็นๆ ที่ค่อยๆ ไต่ขึ้นมาจากปลายเท้า

 
…หรือมันจะเป็นไอ้สิ่งที่เขาเรียกกันว่าผีอำ?

 
เยี่ยซิวหนาวบริเวณหน้าท้องนิดหน่อยเหมือนกับถูกเปิดโล่ง ความเย็นลูบวนอยู่บนแผงอก เยี่ยซิวขมวดคิ้ว จั๊กจี้เล็กน้อยเมื่อยอดอกถูกปาดผ่าน สัมผัสนั้นให้ความรู้สึกราวกับกำลังถูกลูบไล้อย่างตั้งใจ

 
รู้สึกเจ็บจี๊ดขึ้นมาที่หลังต้นคอ ผิวเนื้อตรงลาดไหล่เจ็บราวกับถูกขบกัด ให้สัมผัสแปลบๆ เหมือนกระแสไฟฟ้าวิ่งผ่าน

 
เป็นผีที่ออกจะแปลกๆ ไปหน่อยมั้ง

 
ยังไม่ทันได้วิเคราะห์อะไรมากกว่านี้ เยี่ยซิวก็รู้สึกว่าหัวสมองพลันว่างเปล่า ความวาบหวามก่อเกิดขึ้นมาที่กึ่งกลางลำตัว

 
เล็บที่ตัดสั้นสะอาดจิกลงกับผ้าปูเตียงแน่น ลมหายติดขัด ความรุ่มร้อนถูกปลุกปั่นมากขึ้นเรื่อยๆ เยี่ยซิวครางอือในลำคอ ถูกบางสิ่งรูดรั้งตัวตนขึ้นลงอย่างรวดเร็ว

 
ได้ยินเสียงบางอย่างพูดวนเวียน น่ารำคาญเป็นอย่างมาก แต่เขาไม่มีสติพอจะเข้าใจ เยี่ยซิวพยายามฝืนลืมตาขึ้นมา เหมือนเห็นร่างเลือนรางทาบทับอยู่ด้านบน ตามด้วยความรู้สึกเสียววาบอย่างแรงตรงยอดส่วนที่ชูชัน

 
ร่างของเยี่ยซิวกระตุกเฮือก หัวสมองขาวโพลน ตามด้วยรู้สึกโล่งสบาย เยี่ยซิวยังครึ่งหลับครึ่งตื่น เหมือนเห็นใบหน้าของคนคุ้นเคยแต่นึกไม่ออก สติค่อยๆ จมเข้าสู่ห้วงนิทราอีกครั้ง

 

 

 

เยี่ยซิวตื่นขึ้นมาอีกทีพร้อมความรู้สึกเหนียวๆ ทั่วร่างกาย
ก้มมองร่างกายช่วงล่างตนเองที่เลอะเทอะไม่น้อย เยี่ยซิวก็ส่ายหน้า

 
คงไม่ได้เอาออกนานไปหน่อยล่ะมั้ง! เยี่ยซิวคิดง่ายๆ เช่นนี้ เรื่องแบบนี้ก็เป็นเรื่องปกติของผู้ชายไม่ใช่หรือ

 
ว่าแต่เมื่อคืนเป็นความฝันที่ประหลาดจริงๆ

 

 

เยี่ยซิวเข้าไปทำความสะอาดร่างกาย โดยไม่ทันได้สังเกตเงาในกระจกที่สะท้อนด้านหลังต้นคอของเขา

 

 

 

—มันมีรอยแดงเป็นจ้ำๆ และร่องรอยลึกเป็นวงกลมเหมือนถูกบางอย่างกัดเข้าอย่างแรง

 

 

 

 

 

ในอีกด้าน

 
หวงเส้าเทียนตื่นมาในร่างตนเอง วงหน้าร้อนขึ้นมาทันทีเมื่อนึกถึงเรื่องที่ตนหน้ามืดทำลงไปเมื่อคืนกับเยี่ยชิว เขาอยากจะเอาหัวมุดดิน ความอัดอั้นที่อยากกกกอดอีกฝ่ายมาเนิ่นนานทำพิษเข้าจนได้ ยังจำผิวขาวเนียนที่ตนเคยได้สัมผัส เสียงครางในลำคอเหมือนแมวอย่างน่ารัก ทุกอย่างยังฝังแน่นอยู่ในหัว

 
หวงเส้าเทียนครางต่ำ เห็นอะไรๆ ที่ตื่นขึ้นมารับอรุณพร้อมกันแล้วอยากจะเอาหัวมุดดินไปอีกรอบ

 

 
ชายหนุ่มกัดฟัน ลุกไปเข้าห้องน้ำทั้งน้ำตา

 

 

 

 

 

หวังว่าตนจะไม่ถูกกัปตันประหารข้อหาไปประชุมสายนะ

 

 

 

 

 

 

—END—

 

เวอร์ชั่นพี่เยี่ยโดนผีอำค่ะ5555555

ขอโทษกับความกา– แค่ก กาว ของเราด้วย

QZGS

[Fic QZGS] – spirit (หวงเยี่ย)

Fic 全职高手 – spirit (หวงเส้าเทียน x เยี่ยซิว)#Auweekly ภูต ผี วิญญาณ #หวงเยี่ย

 

ขออภัยกับชื่อสิ้นคิดด้วย/เอาหัวมุดดิน แฮ่ม กลับมาแล้วค่ะ อย่าดราม่ากันเลย เรามาสายฮาดีกว่าเนอะ/เรอะ

 

น่าจะ OOC นะคะ //_\\

 

 

 

 

 

คุณเชื่อในโชคชะตาไหม

 

สำหรับหวงเส้าเทียน นี่ไม่ใช่โชคชะตาอะไรทั้งนั้น

 

เรียกว่าคราวเคราะห์ยังจะถูกกว่า

 

 

เสียงเครื่องปรับอากาศดังแผ่วๆ กำลังทำงานให้ความเย็นแก่เหล่านักศึกษาหลายสิบชีวิตที่กำลังตั้งใจจดสิ่งที่อาจารย์เลกเชอร์มือเป็นระวิง หากแต่มีชายหนุ่มคนหนึ่งที่จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เพียงสบกับดวงตาเป็นประกายนั้น สมาธิที่ถูกรวบรวมมาอย่างยากเย็นก็พลันกระจัดกระจาย

 

หวงเส้าเทียนนั่งเกร็ง หลังตรงแน่ว ความรู้สึกเย็นๆ เหมือนมีลมพัดไล่มาจากปลายเท้า จ้องคนที่นั่งเท้าคางไขว่ห้างอยู่บนโต๊ะเขม็ง รอยยิ้มยั่วเย้าถูกจุดขึ้นที่มุมปากของอีกฝ่าย เสื้อเชิ้ตสีขาวตัวบางติดเพียงกระดุมสองเม็ดล่าง ดูหมิ่นเหม่เหมือนจะหลุดร่วงลงมาจากหัวไหล่ได้ทุกเมื่อ

 

ข้อเท้าเปล่าเปลือยเสียดสีเข้ากับปลายขากางเกง ก่อนค่อยๆ ไล้มายังต้นขา หวงเส้าเทียนรู้สึกถึงน้ำหนักบางเบาที่กดทับลงมา

 

เหมือนกับว่าไม่ได้สัมผัสถูกเนื้อหนังของอีกฝ่ายจริงๆ แต่เป็น ‘ความรู้สึก’ เสียมากกว่า

 

หวงเส้าเทียนรู้สึกอยากร้องไห้แต่ไม่มีน้ำตา

 

 

ทุกอย่างเริ่มมาจากเมื่ออาทิตย์ก่อน

 

หวงเส้าเทียนแค่เห็นคนที่ท่าแปลกๆ ยืนเท้าคางอยู่ตรงระเบียง เปลือกตาหลุบลงท่าทางเบื่อหน่าย ระหว่างนั้นมีผู้คนมากมาย แต่คนที่เดินผ่านไปมาเหมือนไม่สังเกตเห็นตัวตนของชายคนนี้สักนิด

 

หวงเส้าเทียนรู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างกำลังดึงดูดให้เขาเข้าไปหาชายคนนั้น เป็นความรู้สึกแปลกๆ ที่หาคำอธิบายไม่ได้

 

รู้ตัวอีกทีก็ทักออกไปแล้ว

 

ไม่มีปฏิกิริยา ชายคนนั้นไม่ตอบ เอาแต่เหม่อลอย หางตายังไม่เหลือบมองสักแวบ

 

กล้าเมินเรอะ! ไม่รู้ฤทธิ์หวงเส้าเทียนคนดังของคณะอักษรแล้ว!

 

หวงเส้าเทียนฮึดฮัด ปากพ่นถ้อยคำยืดยาวไร้แก่นสาร พูดน้ำไหลไฟดับนับสิบนาทีก็ไม่ยอมหยุด

 

“เฮ้ นายจะเมินฉันไปถึงไหนฟะ พูดไปเป็นร้อยประโยคแล้ว นายจะใจจืดใจดำไม่ยอมตอบกลับมาสักประโยคเลยหรือไง เชี่ย เจ้าคนใจดำ!” หวงเส้าเทียนทนไม่ไหวแล้ว ตั้งแต่เกิดมายังไม่มีใครกล้ามองเมินเขาขนาดนี้มาก่อน เขายกมือขึ้นแตะไหล่ชายหนุ่มตรงหน้า

 

ได้ผล คราวนี้ชายคนนั้นมองมาที่เขาเต็มตา ไม่รู้ทำไมหวงเส้าเทียนถึงรู้สึกภูมิใจแปลกๆ

 

ดวงตาดำขลับโตขึ้นเล็กน้อย ดูไปดูมาเหมือนกระต่ายขี้สงสัย “หืม? นายพูดกับเกอ?”

 

เชี่ย พูดประโยคเดียวจริงๆ! ความภาคภูมิใจของหวงเส้าเทียนเมื่อครู่หายวับไปกับตา

 

“พูดกับหมามั้ง! เห็นๆ กันอยู่ว่าตรงนี้มีแค่นายคนเดียว อ๊ะ หรือว่าการคุยกับฉันจะทำให้นายตื่นเต้นจนพูดไม่ออก ไม่เอาน่าสหาย ฉันเข้าใจว่านายคงไม่เคยเจอคนดังมาก่อนสินะ! ไม่เป็นไรๆ อยากได้ลายเซ็นไหมล่ะ…”

 

หวงเส้าเทียนหยุดพูดไปกลางครัน รู้สึกร้อนๆ หนาวๆ ขึ้นมา เมื่อคนตรงหน้าไม่ตอบ แต่กำลังจ้องมองเขาด้วยสายตาแปลกประหลาดขึ้นเรื่อยๆ

 

หากย้อนเวลากลับไปได้ หวงเส้าเทียนไม่มีวันเดินเข้าไปทักชายคนนั้นแน่นอน

 

ไม่นึกว่าการพูดออกไปอย่างมั่วซั่วคราวนั้นจะดึงเคราะห์ร้ายมาให้เขาเต็มๆ

 

เพราะมันทำให้หวงเส้าเทียนคนหล่อเลิศเลอเพอร์เฟ็คยากจะหาอะไรเปรียบแบบเขา ต้องพ่วงวิญญาณตามติดมาด้วยอีกหนึ่งตน!

 

 

หวงเส้าเทียนขบกรามแน่น ฝ่าเท้าของอีกฝ่ายหมุนวนอยู่บนต้นขา ลากเฉียดผ่านส่วนอ่อนไหวราวกับหยอกเย้า หวงเส้าเทียนข่มใจหนักมากที่จะไม่ให้เส้าเทียนน้อยตื่นขึ้นมาทักทายผู้คน

 

ดวงตาเรียวเป็นประกายเจือด้วยความขบขัน ร่างเพรียวบางขยับบดบังสายตาเขาจากสิ่งอื่นไปเสียสิ้น อันที่จริง ถึงไม่ทำอย่างนั้นเขาก็ไม่อาจละสายตาจากอีกฝ่ายไปได้หรอก

 

“อา คนหนุ่มก็แบบนี้ล่ะน้า” อีกฝ่ายลากเสียงยาว ฟังดูยียวนเป็นอย่างมาก

 

เขาโดนปั่นหัวจนจะบ้าอยู่แล้ว!

 

หวงเส้าเทียนอยากตีอกชกหัวตนเอง ผีสางตนไหนดลใจให้เขาทักเจ้าวิญญาณร้ายนี่กันหา!
เขาถึงถูกเจ้าวิญญาณร้ายเกาะติดหนึบ คอยตามรังควานอยู่อย่างนี้

 

“หุบปากไปเลยเฟ้ย” หวงเส้าเทียนหน้าแดงตะโกนลั่น หวังจะไล่ผีร้ายนี่ออกไปซะ

 

 

ทั่วทั้งห้องมีแต่ความเงียบสงัด สายตาทุกคนพุ่งมาที่เขาเป็นจุดเดียว แม้แต่อาจารย์ที่กำลังสอนอยู่ก็หยุดพูด จ้องเขาเงียบๆ เช่นกัน

 

 

 

หวงเส้าเทียนน้ำตาตก นั่งลงเงียบๆ ตัวห่อลีบไปทั้งคาบเรียน

 

 

 

 

“โกรธเกอหรือไง”

 

หวงเส้าเทียนเปิดประตูเข้าไปในห้องอย่างกระฟัดกระเฟียด เจ้าวิญญาณนี่ยังมีหน้ามีลอยหน้าลอยตาถามเขาอีก

 

“นายยังจะมาพูดอีก ความผิดนายทั้งนั้นไม่ใช่เรอะ แล้วยังจะมา…”

“เอาล่ะๆ เอาเป็นว่าเกอขอโทษ เผลอหนักมือไปหน่อย”

 

พอหวงเส้าเทียนทำท่าจะร่ายยาว อีกฝ่ายก็ชิงกล่าวขึ้นมาก่อนยิ้มๆ สีหน้าท่าทางไม่มีแววสำนึกผิดสักนิด

 

“ฮึ่ม ฮึ่ม ฉันจะไม่สนใจนายแล้ว ลองรับรู้รสชาติของการถูกเมินซะบ้าง แล้วนายจะรู้ซึ้งว่าถ้าขาดหวงเส้าเทียนไปแล้วจะเป็นยังไง!”

 

“ถ้าขาดนายไปเกอคงเหงาแย่” ได้ยินน้ำเสียงมั่นหน้าเจือแววเศร้าศร้อย หวงเส้าเทียนที่ตั้งใจจะหันหน้าหนีก็จำต้องหันกลับมา “เพราะมีนายคนเดียวที่มองเห็นเกอ”

 

ใบหน้าเรียวได้รูปก้มลง ดูโดดเดี่ยวอย่างประหลาด

 

หวงเส้าเทียนลนลาน ทำไมพอไอ้หมอนี่ทำหน้าหม่นหมองแล้วตนต้องทำอะไรไม่ถูกด้วย

 

“ไม่ ไม่ ฉันไม่ได้หมายความอย่างนั้น” หวงเส้าเทียนฉายาจอมฝอยประจำมหาวิทยาลัยถึงกับหาคำพูดไม่ได้ เพียงพูดประโยคเดิมซ้ำๆ

“จะไล่เกอไปหรือ”

“เปล่าๆ ไม่ไล่ๆ ไม่ไล่ไปแน่นอน ไม่มีวันไล่ อยู่ด้วยกันไปตลอดเลยก็ยังได้”

 

เห็นไหล่บางสั่นเทาเบาๆ ก็ตกใจ หวงเส้าเทียนสูดหายใจเฮือกใหญ่ เอื้อมมือออกไปคว้าร่างอีกคนมากอดปลอบ

 

ก่อนจะได้ทำ อีกฝ่ายก็เงยหน้าขึ้นมา ดวงตาพราวระยับเป็นประกาย ริมฝีปากอิ่มเม้มแน่น สะกดกลั้นเสียงหัวเราะเต็มที่จนตัวสั่นไปหมด

 

“นี่ นี่ นี่” หวงเส้าเทียนได้ตะพูดตะกุกตะกักเหมือนแผ่นเสียงตกร่อง

“เป็นเด็กดีจังเลยนะ”

“เชี่ย”

 

นี่ใช่ไหมที่เขาเรียกว่าถูกผีหลอก!

 

“โอ๋ๆ อย่าร้องไห้นะ”

 

แม่นายสิร้อง!

 

หวงเส้าเทียนยกมือปิดหน้า รู้สึกอับอายอย่างมากที่โดนผีร้ายแกล้งหยอกจนแทบไม่เป็นผู้เป็นคน
เอาไปบอกใครก็คงโดนหาว่าประสาทหลอนไปเอง

 

ท่อนแขนถูกสัมผัสเย็นลื่นลูบผ่านช้าๆ หวงเส้าเทียนรีบเงยหน้าขึ้นมามอง เห็นใบหน้าเอื่อยเฉื่อยเข้าเต็มสองตา

 

“ส่วนของวันนี้ล่ะ”

 

อย่าพูดถึงเรื่องแบบนั้นด้วยเสียงโมโนโทนได้ไหมฟะ

 

หวงเส้าเทียนโมโห กระชากอีกคนเข้าอย่างรุนแรง หากแต่ริมฝีปากกลับบดจูบลงไปบนกลีบปากของร่างโปร่งบางอย่างนุ่มนวล เรียวลิ้นไล้บนความชุ่มชื้นแผ่วเบา อ้าปากงับริมฝีปากล่างอีกฝ่ายเบาๆเป็นเชิงขออนุญาต จากนั้นก็แทรกเข้าไปหาความหอมหวานจากร่างตรงหน้า ลิ้นอุ่นร้อนกวาดไล่ไปตามซอกฟัน ลัดเลาะเสาะหาน้ำผึ้งอันแสนหวานอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย

 

“อึก ฮ้า”

 

เขาปล่อยริมฝีปากนั้นให้เป็นอิสระเพียงชั่วครู่ จากนั้นก็ดึงกลับเข้าไปสำรวจมันอีกครั้งอย่างตั้งใจ เสียงเฉอะแฉะดังขึ้นข้างหู ผ่านไปสักพักหวงเส้าเทียนจึงถูกอีกคนผลักออก เหลือเพียงเส้นด้ายสีใสที่เชื่อมระหว่างทั้งสองเอาไว้

 

“อือ พอแล้ว”

 

วงหน้าหมดจดขึ้นสีแดงเรื่อ ไม่รู้ทำไมหวงเส้าเทียนถึงคิดว่ามันน่ารักนักหนา

 

“หิวหรือ”

 

หวงเส้าเทียนหน้าแดงเมื่อถูกจับได้ว่าตนกลืนน้ำลายขณะมองสำรวจร่างกายผอมบางของอีกคน
“ป…เปล่า!” หวงเส้าเทียนปฏิเสธเสียงสั่น

“อยากให้เกอช่วยก็บอกนะ”

“ไม่เอาเฟ้ย!”

 

ร่างกายโปร่งแสงที่นั่งอยู่บนตักเขาค่อยๆ เข้มขึ้น ในที่สุดก็ดูเหมือนกับมนุษย์ธรรมดาทั่วไปไม่ใช่วิญญาณเหมือนกับที่เจอกันครั้งแรก

 

 

เหตุการณ์นี้เริ่มมาได้สองสามวันตั้งแต่ที่เขาได้พบอีกฝ่าย ในทุกๆ วันร่างวิญญาณของฝ่ายนั้นจะค่อยๆ จางลงเหมือนกำลังจะหายไป

 

ทั้งคู่ที่ไม่มีความรู้เรื่องศาสตร์ลี้ลับอะไรทั้งนั้นได้แต่สรุปออกมาอย่างกำปั้นทุบดินว่าคงเพราะธาตุในร่างกายแปรปรวน

 

สุดท้ายอีกฝ่ายก็เสนอว่า งั้นลองมาแลกเปลี่ยนหยินหยางกันดูไหม

 

ครั้งแรกที่ได้ยินหวงเส้าเทียนหน้าแดงไปถึงหู

 

 

ท้ายที่สุดแล้วพวกเขาจึงลองเริ่มจากจูบก่อน

 

เริ่มแรกหวงเส้าเทียนประหม่าเป็นอย่างมาก ท่าทางงกๆ เงิ่นๆ มือไม้ก็ไม่รู้จะเอาไปวางไว้ตรงไหน เขาไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมตนต้องมาทำอะไรแบบนี้เพื่อวิญญาณเร่ร่อนตนหนึ่ง

 

ผ่านไปสักพักเจ้าวิญญาณร้ายจึงหัวเราะ แล้วบอกกับเขาว่าเกอจัดการเอง

 

จูบของอีกฝ่ายรู้สึกดีมาก เขาไม่รู้ว่ามันเป็นเพราะจูบแรกหรือเปล่า แต่พอได้เริ่มแล้ว อะไรๆ ก็ง่ายขึ้น จูบที่สอง สาม สี่ก็ตามมา

 

พวกเขาผลัดกันจูบ ดูดกลืนริมฝีปากของฝ่ายตรงข้ามอยู่อย่างนั้น จากนั้นเมื่อจูบเสร็จ ร่างวิญญาณก็เริ่มกลับมาสมบูรณ์เหมือนเดิม

 

 

จากนั้นในทุกๆ วัน พวกเขาจึงต้องจูบกันหนึ่งครั้ง

 

 

 

หวงเส้าเทียนไปมหาวิทยาลัยด้วยอาการเหม่อลอย

 

วิญญาณร้ายไม่ได้เกาะติดตามเขามาดังเช่นเคย ด้วยเหตุผลสั้นๆ ง่ายๆ คือ ขี้เกียจ

 

เป็นวิญญาณแล้วยังจะอยากนอนทั้งวันอีก สมควรถูกไล่ออกจากการเป็นวิญญาณ!

 

ที่น่าหนักใจคือ หวงเส้าเทียนดันรู้สึกว่าวิญญาณขี้เกียจๆ ผิดมาตรฐานวิญญาณตนนั้นดันน่ารักขึ้นทุกวัน
อีกฝ่ายชอบลอยไปลอยมา ทำหน้าตาไม่แยแสสิ่งใด ผิดกับเขาที่ถูกปั่นหัวจนแทบคลั่ง

 

 

แต่มีอีกเรื่องที่น่ากลุ้มใจยิ่งกว่า

 

 

 

“ไง กลับมาแล้วหรือ”

ฝ่ามือเล็กเรียวถูกยกขึ้นมาทักทายอย่างเอื่อยๆ น้ำเสียงราบเรียบเจือความหยอกล้อ ผิดกับหวงเส้าเทียนที่หน้าเคร่งกว่าทุกที

 

หวงเส้าเทียนคว้ามือข้างนั้นเข้ามา แทบจะไม่รู้สึกถึงการมีตัวตนของอีกฝ่าย

จูบช่วยได้ชั่วคราวเท่านั้น ยิ่งเวลาผ่านไป เรือนร่างของอีกคนค่อยๆ จางลงทุกที

 

“สนใจมือเกอหรือ มือคนแก่ไม่มีอะไรน่าดูหรอกน่า”

เขาไม่รู้ว่าทำไมอีกฝ่ายถึงชอบพูดเหมือนเป็นคนมีอายุนัก ทั้งที่รูปร่างหน้าตาก็ดูราวยี่สิบกว่าๆ หรืออาจจะเป็นเพราะเร่ร่อนมานานก็เป็นได้

 

คราวนี้หวงเส้าเทียนไม่ไปสนใจถ้อยคำกวนโมโห ฟังผ่านหูซ้ายทะลุหูขวา บอกด้วยท่าทางจริงจัง

 

 

“มาทำกันเถอะ”

 

.

.

 

 

“อ๊ะ อื้อ ต..ตรงนั้น”

เสียงครางกระเส่าปนเสียงหอบดังสะท้อนภายในห้อง หวงเส้าเทียนขยับตัวตนเข้าออก ความรัดแน่นทำเอาแทบจะถึงตั้งแต่การสอดใส่ในครั้งแรก มือประคองเอวผอมบาง กระแทกแก่นกายผ่านช่องทางคับแน่นเข้าไปอย่างรวดเร็ว

 

“อะ อะ อื้อ”

เรือนร่างเพรียวสั่นไหวไปตามจังหวะของคนด้านบน มือโอบบ่ากว้างแน่น หวงเส้าเทียนเฝ้ามอบจุมพิตแก่คนใต้ร่างอย่างปลอบประโลม

 

“อึก บอก บอกชื่อของนายที”

 

หวงเส้าเทียนเค้นเสียงออกมาในช่วงเวลาที่ทั้งคู่ต่างตกอยู่ในห้วงของกามารมณ์ ส่วนล่างยังคงขยับไม่หยุด ดวงตาคู่สวยที่หยาดเยิ้มไปด้วยแรงอารมณ์ปรือมองเขา ริมฝีปากแดงฉ่ำเปล่งเสียงออกมาช้าๆ

 

“อ๊ะ อา เยี่ย…ซิว”

 

เยี่ยซิวเอ่ยด้วยน้ำเสียงขาดๆ หายๆ ลมหายใจของหวงเส้าเทียนถี่กระชั้น เร่งกระแทกตัวตนจนอีกฝ่ายหวีดร้อง ความอุ่นร้อนถูกปลดปล่อยออกมาแทบจะพร้อมกัน

 

 

 

 

ยามรุ่งอรุณมาเยือน เยี่ยซิวก็หายไป

 

หวงเส้าเทียนลูบผ้าปูที่นอนว่างเปล่า ไร้ร่องรอยของใครอีกคน ไม่มีแม้แต่ความอบอุ่นที่บ่งบอกว่าเคยมีใครนอนอยู่ตรงนี้

 

เขาไปเรียนด้วยสภาพหมดอาลัยตายอยากอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

 

ไม่ว่าจะเป็นคำทักทายจากเพื่อน สิ่งที่อาจารย์สอน เขาไม่รับรู้อะไรทั้งนั้น

 

กลับหอพักไป ก็เหม่อมองบนเตียงว่างเปล่า ทุกหนทุกแห่ง ไม่ว่าจะในห้องพัก หรือที่มหาวิทยาลัย ก็ดูจะมีเงาของเยี่ยซิวอยู่เต็มไปหมด

 

 

การที่จอมฝอยอย่างหวงเส้าเทียนไม่พูดไม่จากับใครมาหลายวัน สร้างความตื่นตระหนกให้แก่คนในคณะเป็นอย่างมาก

“เส้าเทียน ช่วงนี้นายดูแปลกๆ นะ มีเรื่องอะไรหรือเปล่า”

อวี้เหวินโจวผู้เป็นประธานคณะถูกส่งมาเป็นหน่วยกล้าตายคนแรก อันที่จริงเขาก็นึกเป็นห่วงเพื่อนสนิทอยู่เหมือนกัน

“เหวินโจว” หวงเส้าเทียนทำหน้าจริงจัง “ถ้าเกิดว่าสมมติ สมมตินะ นายมองเห็นวิญญาณได้ คุยกับวิญญาณได้ อยู่กับเขาทุกวัน แล้ววันหนึ่งเขาหายไปจะหมายความว่ายังไง เขาไปเกิดแล้วหรือเปล่า”

เกิดความเงียบปกคลุมอยู่พักหนึ่ง อวี้เหวินโจวจึงบอกด้วยความเวทนา “หวงเส้า นายควรไปเช็คสมองบ้างนะ”

“…”

 

 

 

 

สุดท้ายหวงเส้าเทียนก็ไปโรงพยาบาลจริงๆ

 

เขาไม่ได้คิดว่าตนเองเป็นบ้า

 

แต่เขากลัวว่าทุกอย่างจะเป็นเพียงภาพที่สมองเขาสร้างขึ้นมา ทุกๆ อย่างไม่ได้เกิดขึ้นจริง

 

แม้ส่วนลึกในใจจะร่ำร้องว่าไม่ใช่อย่างนั้น เยี่ยซิวมีตัวตนอยู่จริง ทั้งหมดที่เกิดขึ้นเป็นความจริงก็ตาม

 

หวงเส้าเทียนเตร็ดเตร่ไปเรื่อยเปื่อย พลังงานความกระตือรือร้นในช่วงนี้ของเขาเป็นศูนย์ ไม่มีกระจิตกระใจทำอะไรทั้งนั้น

 

 

ตอนที่เดินผ่านสวนสาธานะใกล้โรงพยาบาล หวงเส้าเทียนก็รู้สึกสะดุดตากับคนคนหนึ่ง

 

ไม่ใช่เพราะหมอนี่หน้าตาหล่อขนาดไปเป็นดาราหรืออะไร แต่เพราะชุดที่ใส่ทำให้เขาเด่นมาก

 

ชายคนนั้นสวมชุดคนไข้สีฟ้าของโรงพยาบาลทั้งตัว ควันสีจางลอยเอื่อยมาจากบุหรี่ราคาแพงที่ถูกคาบไว้อย่างสบายอารมณ์

 

เชี่ย ตาคนนี้ ขนาดป่วยอยู่ยังไม่วายสูบบุหรี่อีก

 

 

แต่ยิ่งพินิจดู ก็ยิ่งรู้สึกคุ้นๆ

 

หวงเส้าเทียนเข้าไปใกล้ชายคนนั้นมากขึ้นโดยไม่รู้ตัว ดวงตาจับจ้องคนตรงหน้าอย่างลุ้นระทึก เหมือนคนคนนั้นจะรู้สึกตัวว่าถูกมองอยู่ จึงเงยหน้าขึ้นมาสบตากับเขา

 

“เยี่ยซิว!”

เยี่ยซิวเอียงคอ ทำหน้าเหลอหลา ดูน่ารักมาก จนหวงเส้าเทียนรู้สึกอยากเข้าไปฟัดแรงๆ แต่ก่อนอื่นต้องด่าให้สาแก่ใจก่อน โทษฐานที่ปล่อยให้เขาใจแป้วมาหลายวัน

 

“ทำไมนายไม่มา หา! แล้วนี่อะไร ปกติไม่ได้ใส่ชุดนี้นี่! รู้ไหมฉันกลุ้มใจจะแย่แล้ว นึกว่านายไปเกิดใหม่แล้วซะอีก เชี่ย คราวหน้าถ้าแกล้งกันแบบนี้เกอจะไม่สนใจแล้วจริงๆ นะ”

 

หวงเส้าเทียนพ่นถ้อยคำยืดยาว แต่เยี่ยซิวยังคงไม่หือไม่อืออะไร

 

“เชี่ย อย่ามาเมินฉันนะ!”

 

หวงเส้าเทียนฮึดฮัด เยี่ยซิวยังทำหน้างงเหมือนตั้งตัวไม่ติด

 

“นายเป็นใคร? เรารู้จักกัน?” เยี่ยซิวเอียงคอถาม ไม่มีวี่แววของการเสแสร้งเลยสักนิด

 

หวงเส้าเทียนอ้าปากค้าง หรือนี่ไม่ใช่คนตนเคยรู้จัก? แต่ท่าทาง วิธีการพูด สีหน้า ทุกอย่าง ล้วนตรงกับคนในความทรงจำของเขาทั้งหมด

 

“แม่ดูสิคะ พี่ชายคนนั้นนิสัยไม่ดี หาเรื่องคนป่วยล่ะ” เสียงเล็กๆ ดังออกมาจากมุมหนึ่ง เมื่อมองไปรอบๆ ไม่เพียงแต่ยัยหนูคนนั้น แต่คนอื่นๆ ก็เริ่มซุบซิบกัน มองเขาด้วยสายตาเหยียดหยาม

 

“เชี่ย”

 

หวงเส้าเทียนพึ่งตระหนักถึงบางสิ่ง

 

หรือว่านอกจากเขา คนอื่นก็เห็นหมอนี่ด้วย

 

สายตาจากรอบข้างเริ่มทิ่มแทงเข้ามา หวงเส้าเทียนลุกลี้ลุกลน จากนั้นก็ให้เหตุผลว่าจำคนผิด ผลุนผลันวิ่งออกจากสวนสาธารณะไป

 

คนเมื่อเห็นว่าไม่มีอะไรให้มุงดูก็พากันไปทำธุระของตน

 

 

อันที่จริงหวงเส้าเทียนยังไปได้ไม่ไกล หลบอยู่ข้างสวนสาธารณะนี่เอง!

 

เขาคิดทบทวนเรื่องราวทั้งหมด ด้วยมันสมองระดับเทพของเขา ไม่นานก็เริ่มวิเคราะห์ออกมาเป็นรูปเป็นร่าง
หรือว่าที่จริงเยี่ยซิวยังไม่ตาย? ไม่ใช่วิญญาณเร่ร่อน?

 

ดูจากชุดคนไข้ของโรงพยาบาล และเฝือกที่ขา ก็เป็นไปได้ว่าจะเกิดอุบัติเหตุขึ้นเร็วๆ นี้ เป็นเหตุให้วิญญาณหลุดออกมาจากร่าง?

ยิ่งคิดยิ่งเข้าท่า หวงเส้าเทียนกระหยิ่มยิ้มย่อง แต่ไม่นานก็กลับมากลัดกลุ้มอีกครั้ง

 

เพราะเยี่ยซิวดูเหมือนจะจำเขาไม่ได้

 

จะให้ต่างคนต่างอยู่เหมือนไม่เคยรู้จักกันหรือ อันนี้หวงเส้าเทียนก็ทำไม่ได้

 

แม้ไม่อยากยอมรับ แต่ว่าหัวใจเขาถูกคนหน้าไม่อายขโมยไปทั้งดวงแล้ว!

 

เกิดเป็นลูกผู้ชายทั้งที จะปล่อยให้คนที่ชอบหลุดมือไปเฉยๆ โดยไม่ทำอะไรหรือไง

 

หวงเส้าเทียนพยักหน้ากับตนเองแน่วแน่ ลุกพรวดขึ้นมา ท่าทางมุ่งมั่นสุดฤทธิ์

 

 

หญิงสาวที่บังเอิญเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดตั้งแต่เริ่มจนจบส่ายหน้ากับตัวเอง ทำไมคนหน้าตาดีสมัยนี้มักจะสติไม่ดีกันนะ

 

.

.

 

 

ช่วงนี้เยี่ยซิวรู้สึกถูกจับจ้องแปลกๆ เวลามานั่งเล่นในสวนสาธารณะ

 

ทว่าไม่ได้รู้สึกว่าน่ารำคาญ กลับกันเขาดันรู้สึกสนุก

 

คอร์กี้สีน้ำตาลอ่อนกระดิกหางดิกๆ ตอนเขามองไป จากนั้นก็สะดุ้งเลิ่กลั่ก มองซ้ายมองขวา พอเห็นว่าคนที่เยี่ยซิวยิ้มให้คือตนจริงๆ ก็หน้าแดง วิ่งหนีไป

 

เยี่ยซิวหัวเราะ

 

เพราะแบบนี้ไง ตนถึงรู้สึกว่าน่าสนุกมาก

 

เขาจะรอวันที่คอร์กี้ขี้ตื่นใจกล้าเดินมาทักเขาแล้วกัน

 

รอยยิ้มถูกจุดขึ้นบนมุมปากเจือจาง

 

จะเฝ้ารออย่างตั้งใจเลยล่ะ

 

 

 

 

 

—END—

 

ไม่ได้อยากจะแกล้งคอร์กี้เลย จริงๆ นะ/ทำตาปริบๆ

 

QZGS

[Fic QZGS] – A secret file xx (อวี้เยี่ย)

Fic 全职高手 – A secret file xx (อวี้เหวินโจว x เยี่ยซิว)
#Auweekly suspence #อวี้เยี่ย
เขียนได้เท่านี้ ไม่รู้ว่าสรุปคือ suspense จริงไหม ถูๆไถๆ ไปเนอะ ฮา
อะแฮ่ม ตอนแรกมันก็เหมือนจะเป็นสืบสวน แต่ไม่รู้ทำไม เขียนไปเขียนมาตอนหลังมัน…/บ้าจริง
(ตอนอ่านกรุณาระวังหลังด้วยนะคะ แอะ)

 

 

File 01 :
13 ธันวาคม 20xx
พบศพนางสาวเมิ่ง อายุ 25 ปี ในบ้านพัก โดยมีเพื่อนบ้านเป็นผู้แจ้งเบาะแส บาดแผลถูกแทงด้วยของมีคมที่คอ คาดว่าเป็นสาเหตุให้ถึงแก่ชีวิต สภาพศพถูกตัดแขนทั้ง 2 ข้าง ไม่พบอวัยวะที่หายไปในที่เกิดเหตุ ไม่พบบาดแผลที่แสดงถึงการขัดขืน สภาพศพไม่มีร่องรอยของการมีเพศสัมพันธ์ ไม่พบรอยนิ้วมือของผู้ต้องสงสัย
File 02 :
24 มีนาคม 20xx
พบศพหญิงสาวอายุ 22 ปี นักศึกษามหาวิทยาลัย A ทราบภายหลังว่าชื่อนางสาวฉี ด้านในตรอกที่ไม่ค่อยมีผู้คนสัญจร พบรอยสีม่วงคล้ำที่คอ ผลชันสูตรบ่งบอกว่าผู้ตายถูกเชือกหรือเส้นเอ็นรัดคอจนขาดอากาศหายใจ สภาพศพถูกตัดมือทั้ง 2 ข้าง ไม่พบอวัยวะที่หายไปในที่เกิดเหตุ ไม่พบร่องรอยของการขัดขืนและมีเพศสัมพันธ์ ไม่พบร่องรอยของผู้ต้องสงสัย
File 03 :
9 สิงหาคม 20xx
พบศพนางสาวสวี อายุ 24 ปี มีบาดแผลถูกของมีคมแทงเข้าที่ท้อง 2 รอยเป็นเหตุเสียเลือดมากจนถึงแก่ชีวิต บริเวณสวนสาธารณะ สืบทราบว่ามักไม่ค่อยมีคนผ่านยามวิกาล สภาพศพถูกตัดข้อเท้าทั้ง 2 ข้าง ไม่พบอวัยวะที่หายไปในที่เกิดเหตุ ไม่พบร่องรอยของการขัดขืนและมีเพศสัมพันธ์ สันนิฐานว่าคนร้ายเป็นชายฉกรรจ์ อายุ 30-40 ปี
.
.
.
.
.
.
File 10 :
17 มิถุนายน 20xx
พลเมืองดีแจ้งเหตุพบศพนางสาวเป้ยริมฝั่งแม่น้ำ C พบบาดแผลถูกของแข็งตีเข้าที่หลังศีรษะ และพบบาดแผลถูกของมีคมแทงเข้าที่อก สันนิฐานว่าเป็นบาดแผลที่ทำให้ถึงแก่ชีวิต ศพถูกตัดนิ้วมือทั้ง 10 นิ้ว ไม่พบอวัยวะที่หายไปในที่เกิดเหตุ ไม่พบร่องรอยของการขัดขืนและมีเพศสัมพันธ์ สันนิฐานว่าคนร้ายเป็นชายอายุ 20-30 ปี
.
.
เยี่ยซิวปิดแฟ้มคดีดังฉับ นิ้วเรียวยาวได้รูปคีบบุหรี่ขึ้นมาสูดเข้าไปเฮือกใหญ่ ควันเทาจางลอยอ้อยอิ่งผ่านริมฝีปากบางออกมาช้าๆ
แฟ้มในมือเขาคือคดีของฆาตกรต่อเนื่องที่โด่งดังที่สุดในเวลานี้ ภายในเวลาสามปีได้ทำการฆาตกรรมหญิงสาวไปสิบราย ทุกรายล้วนเป็นหญิงสาวที่ยังโสด และทุกครั้งฆาตกรจะตัดชิ้นส่วนบางอย่างของเหยื่อไปด้วยเสมอ
ไม่มีใครทราบแรงจูงใจของฆาตกรที่แน่ชัด ฝ่ายสืบสวนตั้งข้อสังเกตว่าการฆาตกรรมอาจไม่ใช่เพราะความแค้นส่วนตัว ฆาตกรอาจมีปมเกี่ยวกับผู้หญิง เพราะเหยื่อทั้งสิบรายไม่มีจุดร่วมกันอยู่เลย ยกเว้นเพศ และช่วงอายุ 20-30 ปี
นานนับหลายปีก็ยังไม่อาจปิดคดีนี้ลงได้ ด้านฝ่ายสืบสวนสอบสวนคดีอาชญากรรมเช่นพวกเขาก็ถูกเบื้องบนกดดันมาอยู่เนืองๆ
เยี่ยซิวเก็บแฟ้มที่รวบรวมข้อมูลผู้ตายทั้งสิบคนเอาไว้บนชั้นวางเอกสารเช่นเดิม
เยี่ยซิวเรียกได้ว่าเป็นมือหนึ่งในแผนกสืบสวน ไม่มีคดีใดที่เขาคลายไม่ได้ ยกเว้นคดีนี้ นับจากครั้งล่าสุดที่เกิดคดีก็เป็นเวลาห้าเดือนกว่าแล้ว ยังไม่มีคดีใดๆ เกิดขึ้นอีก นับว่าผิดวิสัยคนร้ายคนนี้เป็นที่สุด
ฆาตกรถูกตั้งฉายาว่า มือหั่น มาจากการที่เขาชอบตัดอวัยวะของเหยื่อ ปกติจะก่อเหตุห่างกันไม่เกินสี่เดือน แต่นี่เป็นเดือนที่ห้าแล้ว นับว่าผิดสังเกตอยู่จริงๆ
เยี่ยซิวใช้ปากคาบบุหรี่ ขณะเก็บข้าวของบนโต๊ะในหัวสมองก็คิดวุ่นวายไปด้วย กล่าวได้ว่าการที่เขาได้เป็นมือหนึ่งของแผนกสืบสวนนี้เพราะเขาสมองไว และสัญชาติญาณดีเป็นพิเศษ
สัญชาติญาณนี่ช่วยเขาคลี่คลายคดีมาหลายครั้งแล้ว ดูเบาไม่ได้เลยเชียว
คดีนี้พึ่งตกถึงมือเขาเมื่อสามเดือนก่อน ข้อมูลเท่าที่มีก็ไม่ได้เบาะแสอะไรมาก เยี่ยซิวรู้สึกเหนื่อยใจขึ้นมาครามครัน
ระหว่างทางออกจากสถานี เมื่อเจอคนคุ้นเคยก็ถูกมักทายประจำ เยี่ยซิวโบกมือเอื่อยๆ เดินเนิบนาบออกจากสถานีตำรวจ
ที่พักของเยี่ยซิวคืออาร์พาร์ทเมนต์กลางเก่ากลางใหม่แห่งหนึ่ง ระบบรักษาความปลอดภัยไม่ถือว่าดี แต่ในห้องพักมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบ สำหรับตำรวจไส้แห้งอย่างเขาถือว่าช่วยได้ไม่น้อย
“เยี่ยซิว พึ่งกลับหรือครับ” เสียงทักทายดังมาจากชายหนุ่มท่าทางสุภาพสะอาดสะอ้านคนหนึ่ง เยี่ยซิวโบกมือเอื่อยๆ ให้อีกเช่นเคย ร้องทักไปคำหนึ่ง
“ไง”
ปกติเยี่ยซิวเองก็ไม่ได้กลับมาที่พักนัก โอกาสเจอกันยิ่งกว่าน้อย ยิ่งช่วงมีคดีแทบจะกินนอนอยู่ที่สถานีตำรวจเลยทีเดียว
ชายหนุ่มท่าทางสุภาพอ่อนโยนผู้มีใบหน้ายิ้มแย้มอยู่เสมอคืออวี้เหวินโจว เยี่ยซิวเคยช่วยอีกฝ่ายไว้ตอนจะโดนรีดไถเงินในตรอกมืดๆ หลังจากนั้นไม่นานก็พบโดยบังเอิญว่าอวี้เหวินโจวพึ่งย้ายมาอยู่ห้องตรงกันกับเขา แต่ถัดจากเขาลงไปชั้นนึง
เมื่อมีโอกาสพบกัน ชายหนุ่มมักขอเลี้ยงข้าวเขาอยู่เสมอ เขาก็ปฏิเสธบ้างตกลงบ้าง แต่รวมๆ แล้วเคยกินข้าวด้วยกันไม่เกินสองครั้ง นั่นก็เพราะโอกาสเจอกันน้อยเหลือเกิน
“ทานอะไรหรือยังครับ” อวี้เหวินโจวถามยิ้มๆ
“ก็ยังหรอกนะ” เยี่ยซิวกล่าวง่ายๆ ก่อนเดินขึ้นชั้นบนไปพร้อมกับอวี้เหวินโจว
“ผมซื้อของสดมาเพียบเลย…ถ้ายังไงวันนี้ทานที่ห้องผมไหมครับ” คนที่เดินเคียงข้างเปิดปากช้าๆ เยี่ยซิวไม่คิดมาก ยักไหล่แล้วตอบตกลง ลากเท้าเอื่อยเฉื่อยตามอวี้เหวินโจวไป
“รอสักครู่นะครับ”
อวี้เหวินโจวปล่อยให้แขกพักผ่อนตามใจชอบ ว่ากันตามจริง นี่เป็นครั้งแรกที่เยี่ยซิวมากินข้าวที่ห้องของอวี้เหวินโจว บุญคุณที่ช่วยไม่ให้ถูกรีดไถมีมาดขนาดนี้เชียวหรือ ไม่กลัวว่าเขาจะหยิบฉวยสิ่งใดไปหรือไงกัน
เยี่ยซิวกวาดมองสำรวจรอบห้อง เฟอร์นิเจอร์ตกแต่งสีสะอาดตาเรียบง่ายเหมือนผู้อาศัย แต่ผนังถูกปูด้วยวอลเปเปอร์สีดำและแดงทึบหม่น ดูไม่เข้ากับบุคลิกอวี้เหวินโจวเสียเท่าไหร่
สายตาของเยี่ยซิวสะดุดเข้าประตูบานหนึ่ง ตัวบานเป็นสีดำด้านกลืนกับรอบข้างเป็นอย่างมาก ถ้าไม่ใช่ว่าคนที่ช่างสังเกตอาจจะมองไม่เห็น สัญชาติญาณบางอย่างร้องเตือนในสมองเขา เยี่ยซิวยื่นมือออกไปหมายจะเปิดประตู
แต่ก่อนที่จะสัมผัสถึงลูกบิด เยี่ยก็ถูกมือใครบางคนคว้าหมับอย่างรวดเร็วจนสะดุ้ง อวี้เหวินโจวยิ้มละมุนละไม เสียงทุ้มเหมือนสายน้ำไหลเอื่อย
“อาหารเสร็จแล้วครับ”
“อ้อ” เยี่ยซิวถูกชายหนุ่มอายุน้อยกว่าจับจูงมายังโต๊ะทานอาหาร เยี่ยซิวเหลือบมองทางที่จากมาปราดหนึ่ง แต่เมื่อเห็นอาหารหลากชนิด ท้องร้องโครกครากทำให้เยี่ยซิวแทบลืมทุกสิ่ง แม้กระทั่งอวี้เหวินโจวละมือออกอย่างเชื่องช้าเป็นพิเศษก็ยังไม่รู้ตัว
เยี่ยซิวใช้ตะเกียบคีบกับข้าวเข้าปากอย่างเชื่องช้า ปกติกินแต่บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ได้กินข้าวสวยร้อนๆ ก็ทำให้เขาเจริญอาหารได้มากขึ้นอีก…นิดหน่อย
“อิ่มแล้วหรือครับ” อวี้เหวินโจวเห็นเยี่ยซิววางตะเกียบลงก็อดเอ่ยขึ้นไม่ได้
“อืม เกอกินไม่เยอะ ขอบคุณสำหรับอาหารนะ”
เยี่ยซิวเอนหลังพิงเก้าอี้ ยกมือสองข้างบิดขี้เกียจหนึ่งที อวี้เหวินโจวก็ลุกพรวดพราด คว้ามือซ้ายเขาอย่างรวดเร็ว
“มือคุณ”
มือข้างซ้ายของเยี่ยซิวมีพลาสเตอร์ปิดแผลแปะอยู่ด้านในฝ่ามือ ถ้าไม่สังเกตดีๆ ก็คงไม่เห็น
“อา อุบัติเหตุน่ะๆ เพื่อนไม่ระวังนิดหน่อย” เยี่ยซิวบอกอย่างไม่เห็นเป็นเรื่องใหญ่
“…งั้นหรือครับ”
อวี้เหวินโจวหลุบตาลง ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ เยี่ยซิวเห็นว่าควรแก่เวลาแล้ว จึงขอตัวกลับห้อง
“ดูแลตัวเองด้วยนะครับ” ก่อนจากอวี้เหวินโจวบอกกับเขาเช่นนี้
เวลาได้คุยกับอวี้เหวินโจว เขามักรู้สึกแปลกๆ อยู่นิดหน่อย
“คิดไปเองมั้ง”
เยี่ยซิวยักไหล่ไม่ใส่ใจ ก่อนเดินเข้าห้องไป

 

 

 

 เยี่ยซิวถือแฟ้มคดีหน้าเคร่ง
รายที่สิบเอ็ด
…เป็นรายแรกที่เป็นผู้ชาย
File 11 :
3 ธันวาคม 20xx
ผู้ตายเป็นเจ้าหน้าที่เพศชาย อายุ 30 ปี มีบาดแผลถูกแทงด้วยของมีคมที่อก มือทั้งสองข้างถูกตัดออก พบว่าอวัยวะที่ถูกตัดไปถูกสับละเอียดโยนทิ้งไว้ในถังขยะห่างจากสถานที่เกิดเหตุไป 500 เมตร ไม่พบร่องรอยของคนร้าย
ที่ต่างไปจากครั้งก่อนๆ อีกอย่างคืออวัยวะที่ถูกตัด ไม่ได้หายไปเหมือนเคย กลับถูกพบในสภาพเละไม่มีชิ้นดีห่างจากผู้ตายไปไม่มาก
สิ่งที่รบกวนจิตใจของเยี่ยซิวไม่ใช่แค่เรื่องนี้ แต่เพราะผู้ตายเป็นคนรู้จักของเขา
อาหงเป็นเพื่อนร่วมงานกับเขามาหลายปี จู่ๆ คนคุ้นหน้าคุ้นตาเสียชีวิต แม้เขาจะเห็นความเป็นตายมามากแต่หากบอกว่าเยี่ยซิวไม่รู้สึกอะไรเลยก็คงโกหก
ทำไมคราวนี้เหยื่อถึงเป็นผู้ชาย แล้วทำไมอวัยวะที่มักจะหายไปกลับถูกพบ? ไม่ใช่คนร้ายคนเดียวกันหรือ?
จากรูปคดี เขาคิดว่าคนร้ายคือคนเดียวกัน แต่เป็นไปได้หรือไม่ที่จะมีคนก่อคดีเลียนแบบ
เป็นไปไม่ได้แน่นอน
ไม่รู้ว่าทำไมความคิดนี้ถึงผุดขึ้นมาทันที สัญชาติญาณของเยี่ยซิวบ่งบอกว่ามีบางอย่างผิดปกติ
ที่จริงช่วงหลายเดือนมานี้เยี่ยซิวเกิดความรู้สึกแปลกๆ บางอย่าง เหมือนถูกจับตามองอยู่ตลอดเวลา
การที่คนใกล้ตัวเขาถูกฆาตกรรมเป็นเรื่องบังเอิญหรือเปล่า ถ้าหากไม่ใช่ล่ะ
เยี่ยซิวคิดจนหัวแทบแตกก็คิดไม่ออก เหมือนมีอะไรที่เขามองข้ามไป รู้สึกหงุดหงิดกระวนกระวาย เหมือนคันยิบๆ แต่เอื้อมมือเกาไม่ถึง

 

 กว่าจะออกจากสถานี ก็เป็นเวลาสี่ทุ่ม
เยี่ยซิวเดินกลับอาพาร์ทเมนต์ด้วยใจไม่เป็นสุข ความรู้สึกถูกจับจ้องเหมือนจะหนักขึ้นมากกว่าที่ผ่านมา
ฝีเท้าเร่งขึ้นอย่างไม่รู้ตัว เยี่ยซิวรู้สึกเหมือนเห็นเงาบางอย่างวูบไหวอยู่ด้านหลัง
ตึก ตึก ตึก
เสียงฝีเท้ากระชั้นขึ้นมาเรื่อยๆ เยี่ยซิวสูดหายใจลึก กำหมัดแน่น
หมับ
“เชี่ย”
เยี่ยซิวหยุดมือที่ง้างหมัด ก่อนพ่นลมหายใจเฮือกใหญ่
“นายเองเหรอ”
“พึ่งเลิกงานเหรอครับ” อวี้เหวินโจวไม่มีตระหนกตกใจที่เกือบโดนต่อยเลยแม้แต่น้อย ถามกลับยิ้มๆ
“ใช่”
“ถ้างั้นวันนี้คุณไปกินข้าวที่ห้องผมไหมครับ” อวี้เหวินโจวถามเสียงนุ่ม ครานี้เยี่ยซิวลังเลสักพัก ก่อนตัดสินใจ
เหมือนมีความรู้สึกบางอย่างฉุดรั้งเอาไว้
“เอาแบบนั้นก็ได้”
สุดท้ายก็เยี่ยซิวตอบตกลง

 

ห้องของอวี้เหวินโจวยังคงสะอาดเรียบร้อยเหมือนครั้งก่อนที่มาเยือน ไม่มีข้าวของหรืออะไรที่เกินความจำเป็น
“นั่งก่อนสิครับ” อวี้เหวินโจวผายมือเชิญอย่างสุภาพ
ชายหนุ่มนั่งลงด้านตรงข้าม ช้อนมือเรียบเนียนดั่งหยกของเยี่ยซิวขึ้นมา ใช้นิ้วโป้งเกลี่ยเบาๆ อย่างระมัดระวัง
“ผมชอบมือคู่นี้ของคุณมากเลย”
“เอ่อ…ขอบใจแล้วกัน”
เยี่ยซิวหัวเราะแห้งรับคำชม ไม่ทันสังเกตว่าในดวงตาสีดำสนิทที่มืดมนเหมือนมหาสมุทรหมุนวนไม่มีที่สิ้นสุด เจือความหลงใหล ความบ้าคลั่งอย่างถึงที่สุด
“แผลหายแล้วหรือครับ”
เยี่ยซิวเอียงคอฉงน แต่ก็ตอบไปตามตรง “อา หายแล้ว แค่แผลเล็กๆ น่ะ”
อวี้เหวินโจวบอกเสียงอ่อนโยนว่าดีแล้วครับ ก่อนจะหันไปมองเวลา
“คุณคงหิว ผมไปเตรียมอาหารก่อนแล้วกันครับ” อวี้เหวินโจวปล่อยมืออย่างอ้อยอิ่งพลางกล่าวด้วยรอยยิ้มก่อนผุดลุกขึ้นไปในห้องครัว
ระหว่างนั่งรอเยี่ยซิวกวาดสายตาไปเรื่อย เหลือบไปเห็นบานประตูสีดำสนิทบานเดิมตั้งตระหง่าน สัญชาติญาณบางอย่างในตัวถูกกระตุ้นขึ้นมาอีกครั้ง เยี่ยซิวลังเลเล็กน้อยก่อนเดินไปหาเป้าหมาย คิดเอื้อมมือจับลูกปิดประตู
กึก
เยี่ยซิวสัมผัสถึงแรงต้านจากตัวลูกบิด ความใคร่สงสัยที่เพิ่มพูนขึ้นเรื่อยๆ ทำให้เขาตัดสินใจใช้ลวดเส้นเล็กที่พกติดตัวเสมอค่อยๆ ไขประตูบานนั้นออกด้วยวิชาสะเดาะกลอนที่เคยร่ำเรียนมา เสียงกริ๊ก ดังขึ้นเบาๆ เยี่ยซิวจับประตูเปิดออกช้าๆ แม้ในใจลึกๆ จะเกิดความรู้สึกบางอย่างว่าการเข้าไปครั้งนี้อาจทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนไปตลอดกาล
เยี่ยชิวไม่รู้ว่าทำไมตนถึงรู้สึกเช่นนี้
ตำรวจหนุ่มเปิดประตูให้อ้าออกกว้างยิ่งขึ้น ท่ามกลางแสงสลัว เยี่ยซิวเห็นบางสิ่งตั้งเรียงรายเป็นระเบียบ
มันคือขวดโหลแก้วขนาดเท่าแขนคน
หนึ่งในนั้นมีสิ่งที่เหมือนกับแขนของคนบรรจุไว้จริงๆ
เยี่ยซิวรู้สึกขนลุกชัน เขาเริ่มนับขวดโหลใสที่ตั้งอยู่ช้าๆ หนึ่ง สอง สาม….สิบขวดพอดี
เยี่ยซิวรีบหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาอย่างรวดเร็ว นิ้วหัวแม่มือจรดที่ปุ่มโทรออก พลันความรู้สึกเจ็บจี๊ดก็แล่นปราดมาจากด้านหลัง
ภาพสุดท้ายที่เห็น คือขวดโหลแก้วที่บรรจุอวัยวะของมนุษย์ตั้งเป็นระเบียบให้ความรู้สึกเย็นเยียบราวกับกำลังเยาะเย้ยเขา ก่อนทุกอย่างจะดับมืดลง

 

ชายหนุ่มค่อยๆ ได้สติกลับมา แพขนตายาวปรือขึ้น ดวงตาพร่าเบลอค่อยๆ จับรายละเอียดของสิ่งต่างๆ ชัดเจนขึ้นช้าๆ
“อึก”
เยี่ยซิวยันตัวลุกขึ้นนั่ง ความเจ็บแปลบด้านหลังท้ายทอยยังคงอยู่ บ่งบอกว่าทุกสิ่งเกิดขึ้นจริง ภาพขวดโหลแก้วที่เห็นก็เป็นเรื่องจริงเช่นกัน
เขารู้แล้วว่าทำไมถึงไม่เคยพบชิ้นส่วนอวัยวะของผู้ตายในที่เกิดเหตุ
ขวดโหลแก้วสิบขวด
คดีฆาตรกรรมสิบราย
เยี่ยซิวมั่นใจว่าอวัยวะที่หายไปต้องอยู่ในขวดโหลเหล่านั้นแน่นอน
แกร๊ก
แว่วเสียงเหล็กกระทบกันแผ่วเบา เยี่ยซิวยกข้อมือของตนที่มีกุญแจมือหนาแน่นเชื่อมต่อกับโซ่เส้นใหญ่ผูกติดกับหัวเตียง เยี่ยซิวพยายามปรับสีหน้าให้เรียบเฉย ชายหนุ่มมองสำรวจรอบกาย ดูเหมือนว่าเขาจะอยู่ในห้องนอนของใครบางคน
คนที่เขาไม่อยากเจอที่สุดในตอนนี้
“เป็นยังไงบ้างครับ เยี่ยซิว” อวี้เหวินโจวเดินเข้ามาพร้อมยกถาดอาหารมาให้ด้วยใบหน้าประดับยิ้มอ่อนโยนเหมือนเคย
รอยยิ้มที่บัดนี้เยี่ยซิวรู้แล้วว่าเป็นเพียงภาพลวง
“…ฉันหลับไปนานเท่าไหร่” เสียงแหบแห้งที่ถูกส่งออกมาบ่งบอกว่าร่างกายขาดน้ำมาเป็นเวลานาน
“ราวๆ หกชั่วโมง ทานอะไรไหมครับ คุณคงหิว”
เพราะเมื่อเย็นเยี่ยซิวยังไม่ทันได้แตะต้องอาหารก็ถูกฟาดหัวจนสลบ ตื่นมาก็อยู่บนเตียงแล้ว
เมื่อคนบนเตียงเงียบไม่ตอบ อวี้เหวินโจวก็หัวเราะเบาๆ อย่างไม่ถือสา รวบเอามือบอบบางที่ถูกพันธนการไว้ด้วยเหล็กกล้าขึ้นมา เอ่ยเสียงเบาราวกับกระซิบถ้อยคำหวาน
“รู้ไหมครับ ผมชอบมือคู่นี้ของคุณมากเลย”
ประโยคเดียวกัน คนพูดคนเดียวกัน แต่เยี่ยซิวกลับรู้สึกต่างออกไปโดยสิ้นเชิง เหงื่อเย็นเยียบหลั่งรินจนชุ่มมือ อวี้เหวินโจวยังคงพูดประโยคต่อมาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนประหนึ่งว่ากำลังพูดกับคนรัก
“ชอบมากเสียจนอยากตัดเก็บเอาไว้ดูตลอดไปเลยล่ะ”
เยี่ยซิวขนลุกเกรียวไปทั่วร่าง วงหน้าที่เดิมซีดขาวอยู่แล้วบัดนี้ยิ่งซีดเซียวไร้สีเลือด
อวี้เหวินโจวมองคนที่เบิกตากว้างเป็นกระต่ายขี้ตื่นแล้วหัวเราะเบาๆ
“วางใจเถอะครับ ผมคิดว่ามือคู่นี้อยู่กับคุณแล้วงดงามที่สุด” อวี้เหวินโจวคุกเข่าลง จุมพิตหลังมือเยี่ยซิวราวกับองครักษ์ผู้ภักดี “ผมจะปกป้องมือคู่นี้เอง ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม”
เปรียบดั่งเป็นคำสาบาญ
อวี้เหวินโจวปล่อยมือเยี่ยซิวลง ยกถาดอาหารขึ้นมา พูดไปยิ้มไป
“ทายอะไรสักหน่อยเถอะครับ” อวี้เหวินโจวใช้ช้อนตักซุปขึ้นมา เป่าลมไล่ความร้อนเบาๆ แล้วยื่นมาจ่อตรงหน้าเยี่ยซิว
นี่ไม่ใช่ประโยคบอกเล่า ไม่ใช่ประโยคขอร้อง แต่เป็นประโยคบังคับ
สบเข้ากับหลุมดำลึกจนมองไม่เห็นสิ่งใดนั้น เยี่ยซิวจำต้องอ้าปากช้าๆ
ถ้าอีกฝ่ายอยากให้เขาตายจริงไม่ต้องทำอะไรยุ่งยากขนาดนั้นหรอก เอามีดกระซวกเขาก็ดับแล้ว แต่หากไม่กินนี่สิเขาถึงอาจจะไม่มีชีวิตรอดจริงๆ
อวี้เหวินโจวยกยิ้มอย่างพึงพอใจ ใช้ช้อนตักซุปให้เยี่ยซิวเรื่อยๆ จนหมดชาม
“เก่งมากครับ”
วิธีชมแบบนั้นมันอะไรกัน…
เยี่ยซิวใช้โอกาสที่อีกฝ่ายเอาจานไปเก็บผุดลุกขึ้นมองหาทางหนีทีไล่ทันที ห้องสี่เหลี่ยมกว้างใหญ่พอสมควร หากแต่ไม่ค่อยมีของใช้หรือของประดับตกแต่งอะไรมากนัก แทบเรียกได้ว่าเป็นห้องโล่งๆ ห้องหนึ่ง
เยี่ยซิวพยายามเดินออกไปดูทางหน้าต่าง สายโซ่ก็ดึงรั้งเขาไว้จนข้อมือเจ็บแสบไปหมด พยายามกระชากดึงโซ่ออกก็ไม่เป็นผล ได้แต่วกกลับมาที่เตียงนอนอีกครั้ง

 

“เยี่ยซิว กำลังเล่นอะไรอยู่หรือครับ”
เสียงดังมาจากด้านหลังในระยะประชิดทำเอาเยี่ยซิวสะดุ้งเฮือก หันขวับกลับไปก็เห็นใบหน้าอวี้เหวินโจวส่งยิ้มราวกับเทวทูตยืนอยู่ชิดจนปลายจมูกแทบจะชนกัน
“คิดหนีหรือครับ” อวี้เหวินโจวเสียงอ่อนโยนลงกว่าเดิม แต่เยี่ยซิวกลับตื่นตระหนกมากขึ้น เหงื่อเย็นๆ ค่อยๆ ผุดล้อมกรอบหน้า “รู้ไหมครับ ว่าถ้าหนีต้องถูกลงโทษ”
“ฉันไม่ได้…อ๊ะ”
จู่ๆ เยี่ยซิวก็ร้อนรุ่มขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ ลมหายใจติดขัด หอบหายใจน้อยๆ ยิ่งเห็นชายหนุ่มตรงหน้ายิ้มแย้มดั่งปีศาจร้ายในคราบเทวดา เขาก็ยิ่งมั่นใจ
เขาลืมไปได้อย่างไร นอกจากยาพิษ ก็มียาอย่างอื่นที่จะฆ่าเขาให้ตายทั้งเป็นอีกไม่ใช่หรือ
เยี่ยซิวถูกผลักล้มลงราบกับเตียง ไม่มีแม้แต่แรงขัดขืน เขากัดริมฝีปาก ระงับความรู้สึกตื่นตัวที่เพิ่มพูนขึ้นเรื่อยๆ อวี้เหวินโจวเห็นปฏิกิริยาของร่างด้านใต้ที่คู้ตัวลงหอบฮักมุมปากก็กระตุกยิ้มอย่างพึงพอใจ
“ดูเหมือนยาจะออกฤทธิ์แล้วนะครับ”
ปลากนิ้วเย็นๆ สะกิดผ่านยอดอกสีเรื่อ เยี่ยซิวตัวสั่นสะท้านเมื่อถูกปลุกเร้าที่ส่วนอ่อนไหวด้านใต้ บิดตัวหนีสัมผัสที่ตามติดมาอย่างไม่ลดละ มือของคนด้านบนรูดรั้งส่วนแข็งขืนเขาช้าๆ อีกข้างถูกสอดเข้าไปใต้กลีบชุ่มชื้น ขยับคว้านโดยรอบ สัมผัสไปทุกสัดส่วน เยี่ยซิวสะดุ้งเมื่อข้อนิ้วปูดโปนครูดเข้ากับผนังด้านใน
ทั้งที่ใจไม่ยินยอม แต่ร่างกายกลับถูกอีกฝ่ายชักนำอย่างง่ายดาย อวี้เหวินโจวกลืนกินผิวเนื้อนุ่มลื่นชวนเสพติด คอยปลุกเร้าคนใต้ร่างไม่ขาด
นิ้วถูกสอดเข้าไปเพิ่มจากหนึ่งเป็นสอง จากสองเป็นสาม ช่องทางชุ่มชื้นถูกเตรียมพร้อมจนได้ที่ ความร้อนผ่าวของอีกฝ่ายขยับเข้ามาจ่อที่ปากทาง
“อ๊า!”
เยี่ยซิวกรีดร้องเสียงสูงเมื่อถูกแก่นกลางจากอีกฝ่ายขยับพรวดเข้ามาจนมิด ของเหลวคลุ้งกลิ่นสนิมไหลรินลงมาตามร่องขา ท้องน้อยเจ็บปลาบ เหมือนร่างกายจะถูกแยกออกเป็นสองส่วน
แก่นกายอุ่นร้อนขยับเข้าออก เกิดเสียงหยาบโลนดังเป็นจังหวะ ความเสียววูบวาบแล่นปราดขึ้นมาพร้อมความเจ็บเสียดในท้อง
เล็บของเยี่ยซิวจิกลงบนแผ่นหลังของใครอีกคนเพื่อนระบายความอึดอัด หยาดน้ำสีใสเอ่อคลอดวงตาคู่สวย ริมฝีปากบางขบแน่นจนห้อเลือด ให้ตายก็ไม่ยอมส่งเสียงครวญครางอันน่าละอายออกไป
อวี้เหวินโจวเห็นปฏิกิริยานั้นยิ่งกระแทกกระทั้นหนักหน่วง เสียงโซ่กับเสียงเนื้อกระทบกันดังคละเคล้าปะปนสะท้อนอยู่ภายในห้อง
“อ๊ะ”
ความใหญ่โตกระแทกโดนจุดอ่อนไหวในช่องทางคับแคบ เยี่ยซิวกระตุกร่าง ลืมข่มกลั้นเสียงร้องไปเสียสิ้น ส่งเสียงครางแว่วหวานออกมา
“หืม ตรงนี้หรือครับ”
“อ…ไม่! อ๊า อา! อึก!” เยี่ยซิวคร่ำครวญร้องไม่เป็นภาษาเมื่อถูกอีกฝ่ายเฝ้าเน้นย้ำอยู่ที่จุดนั้น
“เยี่ยซิว” อวี้เหวินโจวพรมจูบผิวกายขาวละเอียดทั้งร่าง ดูดดุนขบกัดจนเกิดร่องรอยสีกุหลาบแบ่งบานกลางผ้าผืนขาวนับไม่ถ้วน พึมพำซ้ำไปซำมา “คุณเป็นของผม เป็นของผม ของผม ของผม”
“อือ..! อึก ฮ่าห์” ริมฝีปากบวมแดงเผยออ้าออก สูดลมหายใจเข้าปอดอย่างตะกลุมตะกลาม
เรียวขาถูกมือจับแยกออกกว้าง เยี่ยซิวต้องรองรับตัวตนของอีกฝ่ายครั้งแล้วครั้งเล่า ร่างผอมบางสั่นไหวตามแรงกระแทกเหมือนจะแตกสลายไปได้ทุกเมื่อ
เยี่ยซิวพยายามฝืนแรงต่อต้าน เหล็กกล้าที่พันธนาการมือขาวผ่องสะบัดไปโดนหน้าอวี้เหวินโจวอย่างแรงจนอีกคนหน้าสะบัด อวี้เหวินโจวใช้หลังมือปาดรอยเลือดที่ซึมออกมาที่มุมปาก พลิกตัวคนใต้ร่างให้คว่ำลงทั้งที่ยังเชื่อมต่อกันอยู่
“ไม่…อย่า…อ๊ะ” ร่างด้านบนขยับอย่างรุนแรง มือจับบังคับเอวบางให้ตอบรับแรงอารมณ์ อีกข้างขยุ้มกลุ่มไหมสีดำสนิทที่ชื้นไปด้วยเหงื่อให้แหงนขึ้น อ้าปากขบกัดลงไปบนหลังคออ่อนนุ่มของอีกฝ่ายเสียจมเขี้ยว
“อึก! เจ็บ!” เลือดไหลซิบๆ ออกมาตามรอยฟัน ผู้กระทำมองร่องรอยนั้นอย่างพึงพอใจ
“อย่าดื้อสิครับ”
อวี้เหวินโจวแลบลิ้นเลียปาก ดุขึ้นอย่างไม่จริงจัง เหมือนถูกแมวแสนรักเลี้ยงที่ไว้ข่วนเอา
“อือ…ฮึก”
เยี่ยซิวกลั้นเสียงสะอื้นในลำคอ ร่างกายถูกกระทำราวกับไม่ใช่ของตน ได้แต่จำยอมรับเอาตัวตนของอีกฝ่ายเข้ามาอย่างไม่เต็มใจ ทั้งที่ใจต่อต้านอย่างสุดกำลัง แต่ร่างกายกลับดื้อด้านไม่ยอมฟัง ตอบสนองต่ออีกฝ่ายทุกคราที่แก่นกายนั้นขยับเข้าออก
อวี้เหวินโจวเร่งจังหวะ สะโพกสอบขยับอย่างหนักหน่วง มือที่กอบกุมตัวตนของเยี่ยซิวรูดรั้งอย่างรวดเร็ว เสียงคำรามต่ำดังข้างหู เยี่ยซิวรู้สึกว่าในหัวขาวโพลน พอดีกันกับที่ของเหลวอุ่นร้อนถูกหลั่งเข้ามาในร่าง
เยี่ยซิวหอบหายใจแผ่วเบา นึกว่าทุกอย่างจบสิ้นแล้ว แต่ความร้อนที่เริ่มแข็งขืนภายในตัวเขาบ่งบอกว่าเขาคิดผิด
อวี้เหวินโจวเริ่มขยับสอดแทรกตัวตนเข้ามาอีกครั้ง อีกครั้ง และอีกครั้ง สอดประสานกับเสียงครางขืนแว่วดังไปทั้งห้อง

 

 

รู้สึกตัวอีกทีก็เป็นเวลาบ่ายของอีกวัน
เยี่ยซิวไม่รู้ว่าตนหมดสติไปตั้งแต่เมื่อไหร่ แสงแดดลอดผ่านผ้าม่านสีเข้มเลือนราง นาฬิกาข้างฝาผนังบ่งบอกเวลาบ่ายสองโมงกว่า เขาครางต่ำๆ ความเจ็บปวดช่วงล่างเสมือนร่างกายโดนเคี่ยวกรำจนแทบหลุดออกมาเป็นเสี่ยงๆ
นึกดูอีกทีเวลาที่เขาเริ่มรู้สึกถึงสายตาที่จับจ้อง รู้สึกถึงบางสิ่งที่วนเวียนอยู่ใกล้ตัวใกล้เคียงกับเวลาครั้งแรกที่พบกับอวี้เหวินโจวมาก ถ้าการที่อวี้เหวินโจวอาศัยอยู่ที่เดียวกับเขาไม่ใช่ความบังเอิญ เช่นนั้นอวี้เหวินโจวจับตาดูเขามานานเท่าไหร่กันแน่
เยี่ยซิวรู้สึกเย็นวาบไปถึงสันหลัง
“ครับ ได้ครับ อา ผมจะไปให้ปากคำแน่นอนครับ”
เสียงพูดคุยหลุดลอดออกมาจากด้านนอก อวี้เหวินโจววางสายโทรศัพท์อย่างสุภาพเสร็จ เห็นเยี่ยรู้สึกตัวแล้วก็เดินยิ้มๆ มานั่งข้างเตียง
“รู้ไหม เพื่อนที่ทำงานของคุณโทรมาน่ะ น่าเสียดายที่ฉลาดน้อยไปหน่อย สู้คุณไม่ได้สักนิด”
อวี้เหวินโจวใช้ปลายนิ้วปัดผมที่ปรกหน้าอีกฝ่ายออกเบาๆ เยี่ยซิวไม่ตอบ ดวงตาบวมแดงเสออกไปด้านข้าง อวี้เหวินโจวกอบกุมมือเรียวทั้งสองข้างขึ้นมา นิ้วโป้งเคล้นคลึงตรงข้อมือเล็กแผ่วเบา
“ผมทำข้อมือสวยๆ คุณเป็นรอย ผมนี่มันใช้ไม่ได้เลยนะ” อวี้เหวินโจวแตะริมฝีปากลงบนจุดม่วงช้ำราวกับกำลังปลอบประโลม “เอาไว้ผมจะเปลี่ยนมาตรงข้อเท้าแล้วกัน ดีไหมครับ”
ร่างกายของเยี่ยซิวกระตุกขึ้นคราหนึ่ง เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง
“นายฆ่าพวกเขาทำไม”
อวี้เหวินโจวเบิกตากว้างราวกับไม่คาดว่าเขาจะถามเรื่องนี้ จากนั้นก็หัวเราะ
“เพราะผมชื่นชม”
“ชื่น…ชม?”
“แน่นอนครับ” อวี้เหวินโจวยกยิ้มราวกับเทวดาหนุ่มรูปงามผู้เปี่ยมไปด้วยเมตตา “เพราะพวกเขามีร่างกายที่สวยงาม จนผมอดคิดไม่ได้ว่า ถ้าได้เชยชม ‘พวกมัน’ ทุกวันก็คงจะดี”
“นายมัน…บ้าไปแล้ว!” เยี่ยซิวแทบจะเค้นเสียงออกมาไม่ได้
“ไม่หรอกครับ” ชายหนุ่มหัวเราะอีกระรอก เอ่ยน้ำเสียงทุ้มนุ่มเจือความเอ็นดู “คุณแม่ของผม ท่านเคยจับได้ว่าคุณพ่อแอบไปมีคนอื่น ดังนั้นคุณแม่ก็เลย ‘เก็บ’ คุณพ่อไว้ที่ห้องใต้ดิน คราวนี้คุณพ่อก็จะมีแต่พวกเรา อยู่ด้วยกันตลอดกาล”
รอยยิ้มนั้นบิดเบี้ยวอย่างถึงที่สุด
“ดังนั้นผมเลย ‘เก็บ’ ชิ้นส่วนที่ผมชอบเอาไว้ ดูแลทะนุถนอมมันให้ดี ผมจะได้มีมันอยู่ด้วยกันไปตลอดไงครับ เยี่ยมไปเลยใช่ไหม”
เยี่ยซิวสะกดความรู้สึกคลื่นเหียนที่แล่นขึ้นมาจุกยังลำคอ เอ่ยต่อไปอย่างยากลำบาก
“แล้วเขาล่ะ…เพื่อนร่วมงานของฉัน”
เยี่ยซิวแน่ใจว่าการตายของอาหงเป็นฝีมือของคนคนนี้อย่างแน่นอน
“เพราะมันทำให้มือคุณเป็นแผล” อวี้เหวินโจวกล่าวเสียงเย็นชา มุมปากกดลึก สีหน้ามืดครึ้มอย่างที่เยี่ยซิวไม่เคยเห็นมาก่อน “ผมเลยเอามือมันมาสับให้เละ จนไม่เหลือชิ้นดี โทษฐานที่บังอาจทำให้ของของผมต้องมีตำหนิ”
“…แล้วทำไมถึงไว้ชีวิตฉัน?”
“ไว้ชีวิต? หึๆ” อวี้เหวินโจวโน้มใบหน้าลงมา ดวงตาสีเข้มมีระรอกคลื่นพัดผ่านอย่างบ้าคลั่ง ครู่เดียวก็กลับมาสงบราบเรียบเช่นเดิม ชายหนุ่มเกลี่ยพวงแก้มขาวเบาๆ “ผม ‘เก็บ’ คุณไว้ต่างหาก”
อวี้เหวินโจวพูดต่อเรื่อยๆ ขณะใช้สายตาอบอุ่นจับจ้องเยี่ยซิว
“ตั้งแต่ผมเจอคุณครั้งแรก ผมก็ได้รู้ว่าผมไม่เคยพบมือของใครสวยงามเท่ามือคุณมาก่อนเลย ฝ่ามือที่ยื่นมาหาผมวันนั้นส่องแสงจางๆ เหมือนแสงจันทร์ งดงามที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็นมา แต่ถ้าผม ‘เก็บ’ มาแล้วล่ะก็ มันคงสูญเสียความงามของมันไป” อวี้เหวินโจวยิ้ม ดวงตาหรี่โค้งเหมือนพระจันทร์ “ดังนั้นผมจึงแฝงตัวมาอยู่ใกล้ๆ คุณ เฝ้ามองแค่คุณ เห็นไหม ผมไม่ได้ ‘เก็บ’ ของใครมาอีกแล้วนะครับ ผมมีแค่คุณคนเดียว”
“…”
“รู้ไหม คุณเป็นคนเดียวที่รู้ความลับของผมเลยนะครับ”
ประโยคสุดท้ายทำให้เยี่ยซิวหลั่งเหงื่อเย็นๆ อีกครั้ง
คนเดียว ไม่ใช่คนแรก
ส่วนคนก่อนหน้าที่ล่วงรู้มีจุดจบอย่างไร เยี่ยซิวไม่กล้าคิด
เผชิญกับสายตาที่ไร้ประกายไม่มีสิ่งใดสะท้อนออกมาราวกับมหาสมุทรไร้ก้นบึ้ง เยี่ยซิวก็ตัวสั่นเทิ้มเหมือนกระต่ายตัวจ้อยที่ถูกงูพิษจับจ้อง
“…ปล่อยฉันไปเถอะ” เยี่ยซิวกัดริมฝีปากแน่น ยอมละทิ้งศักดิ์ศรีอ้อนวอน เขาพยายามเกลี้ยกล่อมต่อไปว่า “นายทำอย่างนี้ไม่เป็นผลดีต่อใครทั้งนั้น ยังไงก็ต้องมีสักวันที่นายถูกจับอยู่ดี”
ร้องขอออกไปทั้งที่ใจรู้ดีว่าแทบไม่มีหวัง

 

อวี้เหวินโจวไม่ตอบ เขาปลดล็อคกุญแจมือที่ล่ามเยี่ยซิวออก ช้อนร่างผอมบางขึ้นมาอุ้มไว้แนบอก เยี่ยซิวยามนี้ไม่มีเรี่ยวแรงขัดขืนใดๆ ทั้งสิ้น ของเหลวสีขุ่นไหลออกจากช่องทางบวมแดงลงมาตามร่องขา แต่ชายหนุ่มไม่ใส่ใจ ก้าวเดินฉับๆ เข้าไปในห้องน้ำ
อวี้เหวินโจววางเยี่ยซิวลงในอ่างอย่างทะนุถนอม เรียวขาถูกอ้าออก นิ้วยาวที่มีข้อนิ้วเป็นปูดโปนชัดเจนคว้านเอาสิ่งที่คั่งค้างภายในออกมาช้าๆ
เยี่ยซิวได้ยินเสียงหัวเราะวนเวียนข้างหูอีกครั้ง พร้อมๆ กับความปราถนาที่ถูกอีกฝ่ายจุดขึ้นอย่างจงใจ เสียงกระซิบแผ่วเบาที่เจือความรักใคร่เอ็นดูอย่างที่สุดดังขึ้นเบาๆ
“ผมไม่ยกคุณให้คนอื่นหรอกครับ”
“ฮึก!”
นิ้วยาวถูกละออกไป ก่อนแทนที่ด้วยบางสิ่งที่ใหญ่โตกว่า อวี้เหวินโจวขยับช้าๆ เสียงน้ำกระฉอกฟังดูน่าละอายดังสะท้อนก้องทั่วห้องน้ำ เสียงทุ้มต่ำแหบพร่าเฝ้าพูดประโยคเดิมซ้ำแล้วซ้ำเล่า
“คุณเป็นของผม เราจะอยู่ด้วยกันตลอดไป”
งูพิษเลื้อยพันตวัดรัดเหยื่อของตนไว้อย่างหวงแหน

 

ไม่มีสิ่งใดตอบกลับมาจากเยี่ยซิว ริมฝีปากบางครวญครางเสียงแผ่ว

 

การกระทำแต่เพียงภายนอกร่างกายไม่อาจส่งผลต่อจิตใจ

 

 

เยี่ยซิวหลับตาแน่น ห้วงลึกภายในจิตใจสัมผัสได้แต่ความมืดมิดและหนาวเหน็บ ราวกับจมอยู่ในก้นทะเลที่ลึกที่สุด

 

 

 

—END—
จบจ้ะ มีเท่านี้จริงๆ นะ/กระพริบตาปริบๆ
แว่วเสียงสล็อธใต้ฝ่าเท้าพี่เยี่ย : แฮ่ม พี่อวี้ก็คือพี่อวี้ไงล่ะ!(เสียงขรึม)/โดนพี่เยี่ยเหยียบแบน
แต่งไปแต่งมาชักไม่แน่ใจ สรุปมันคือ suspense หรือ sm กันแน่/ปิดหน้ามุดดิน
(อธิบายปม : พี่อวี้ไม่รู้จักความรักค่ะ เขาไม่เข้าใจความรัก สิ่งใดที่เขาชื่นชอบหรือถูกใจเขาก็จะ ‘เก็บ’ เอาไว้ ส่วนพี่เยี่ย พี่อวี้ก็ชอบมากถูกใจมาก ถูกใจทั้งตัว แถมยังมีมือที่ถูกใจมากที่สุดอีก เขาไม่เคยรู้จักความรู้สึกนี้มาก่อน จึงได้แต่ ‘เก็บ’ พี่เยี่ยไว้ ดังนั้นพี่เยี่ยจึงถูกพี่อวี้ ‘เก็บ’ แบบร่างกายสมบูรณ์)
QZGS

[Fic QZGS] – ภาวนา (อวี้เยี่ย)

Fic 全职高手 – ภาวนา (อวี้เหวินโจว x เยี่ยซิว)
#Auweekly แฟนตาซี #อวี้เยี่ย

 

 

 

ในโลกใบนี้ มนุษย์ไม่ใช่เผ่าพันธ์ุเดียวที่เป็นใหญ่
โลกถูกแบ่งแยกออกเป็นสองฝั่งตั้งแต่อดีตกาล ไม่มีใครรู้ว่านานเท่าไหร่ สิ่งมีชีวิตที่นอกเหนือจากมนุษย์ได้ถือกำเนิดขึ้น
ผู้ที่อาศัยอยู่ในความมืด แข็งแกร่ง ทรงพลัง
ถูกเรียกขานว่าปีศาจ
ปีศาจที่ถูกจัดเป็นตัวอันตรายลำดับต้นๆ นั้นคือแวมไพร์
พวกเขามีชีวิตโดยอาศัยเลือดของมนุษย์ รูปร่างหน้าตาสวยงาม ผิวขาวซีด และมีชีวิตยืนยาวจนเกือบเรียกได้ว่าเป็นอมตะ
แวมไพร์นั้นปกครองโดยราชาที่แข็งแกร่งที่สุด ผ่านมาหลายยุคสมัยก็ไม่มีใครสามารถโค่นล้มได้
ราชามีนามว่าเยี่ยซิว
ว่ากันว่าเยี่ยซิวมีนิสัยประหลาด ผิดแผกแตกต่างจากแวมไพร์ตนอื่นเป็นอย่างมาก
เยี่ยซิวไม่ได้เกลียดมนุษย์
แม้จะมีเหล่าฮันเตอร์ที่ห้ำหั่นกันมากลายปี เขาก็ไม่เกลียดมนุษย์เลย
กลับกันเขาออกจะชื่นชอบด้วยซ้ำ แม้เหล่าปีศาจตนอื่นๆ ส่วนมากจะเกลียดมนุษย์ แต่ก็ไม่ได้ทำอะไรรุนแรงเพราะเห็นแก่หน้าราชาอย่างเยี่ยซิว แต่มีบางส่วนที่ไม่พอใจ แวมไพร์แตกออกเป็นสองฝั่ง สุดท้ายก็เกิดสงครามนะหว่างเผ่าพันธุ์
แกนนำกลุ่มกบฏคือซุนเสียง บัดนี้มาอยู่เบื้องหน้าบังลังก์ของราชาแวมไพร์ สีหน้าเย่อหยิ่งถือดีเป็นที่สุด
“หมดยุคสมัยของคุณแล้ว ได้เวลาลงจากบัลลังก์แล้ว เยี่ยซิว”
เยี่ยซิวนั่งเท้าคางอย่างเกียจคร้าน ดูมีเสน่ห์บางอย่างที่ทำให้ผู้คนพากันลืมหายใจ ดวงตามีแดงเข้มมองซุนเสียงด้วยหางตา
“อาศัยเธอ?”
“ฮึ คุณปากเก่งได้แค่ตอนนี้ล่ะ”
ซุนเสียงต่อสู้กับเยี่ยซิวเป็นเวลาสามวันสามคืน ศึกต่อสู้ดูท่าจะยืดเยื้อออกไปเรื่อยๆ ไม่จบสิ้นสักที ชั่วขณะหนึ่ง เยี่ยซิวเผลอเปิดช่องโหว่ ซุนเสียงได้โอกาสโจมตีออกไป นึกไม่ถึงว่าเป็นกลลวงของเยี่ยซิว กลายเป็นว่าฝ่ายราชาแวมไพร์เป็นผู้ได้เปรียบ
สีหน้าซุนเสียงเคร่งขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่กำลังจะเป็นฝ่ายเสียท่านั้นเอง
“อึก” มือที่แทงทวนศึกสวนไปหยุดชะงัก เลือดหลั่งรินออกมาจากบาดแผลขนาดใหญ่ด้านข้าง ดวงตาสีแดงเข้มแวววาวจ้องมองผู้ที่ลอบโจมตีเขม็ง
“เป็นนายจริงๆ หลิวเฮ่า” เยี่ยซิวเอ่ยเสียงราบเรียบเมื่อผู้ช่วยฝั่งตนเป็นผู้ลอบโจมตีราชาเสียเอง
ถึงแม้เยี่ยซิวจะทำท่าเหมือนรู้อยู่แล้วหลิวเฮ่าก็ไม่สะทกสะท้าน
“ยอมแพ้เสียเถอะ เยี่ยซิว คุณสู้ต่อไปก็ไม่มีประโยชน์อะไร”
“นั่นสิ ไม่มีประโยชน์อะไร” เยี่ยซิวยิ้มบาง ไม่มีสีหน้าของผู้แพ้อย่างที่หลิวเฮ่าอยากเห็น
“ถ้าคุณขอร้อง ผมจะยอมให้ตำแหน่งคุณสักตำแหน่งก็ได้นะ” เมื่อสบเข้ากับดวงตานิ่งสงบแต่ยังคงเปี่ยมเสน่ห์ให้หลงใหล ซุนเสียงก็เอ่ยขึ้น
“ไม่จำเป็นหรอก” เยี่ยซิวหัวเราะ พลันเปลี่ยนท่าทาง ทิ้งทวนศึกคู่กาย แผ่นหลังที่ยืดตรงอย่างทระนงดูเอื่อยเฉื่อยเกียจคร้านทันควัน
ทันใดนั้นฝูงค้างคาวตัวเล็กสีดำเมื่อมก็บินเข้ามาอย่างรวดเร็ว ตีปีกพั่บๆ ร้องโหวกเหวก ดูสับสนวุ่นวาย
“ท่านผู้นำ! ท่านผู้นำ! พวกฮันเตอร์บุกมาแล้วครับ!”
“ท่านผู้นำ! พวกฮันเตอร์ยึดห้องโถงใหญ่ได้แล้วครับ”
“บ้าจริง พวกฮันเตอร์โผล่มาจากไหน” แถมดันโผล่มาในเวลาที่แวมไพร์พึ่งผ่านศึกกันมาหมาดๆ ซุนเสียงแทบจะทึ้งหัว
เยี่ยซิวทำเพียงมองเหตุการณ์อย่างไม่ใช่เรื่องของตน ฉวยโอกาสขณะนั้นสะบัดผ้าคลุม ปีกค้างคาวขนาดใหญ่งอกออกมากลางหลัง ละทิ้งแล้วซึ่งอาวุธคู่กาย ละทิ้งแล้วซึ่งบัลลงก์ที่ก่อตั้งขึ้นมา ทิ้งตัวลงจากหน้าต่างหายไปในความมืดของรัตติกาล
“เยี่ยซิวหนีไปแล้ว!” หลิวเฮ่าคำราม แทบจะพุ่งตัวตามลงไปเสียเดี๋ยวนั้น
“ไม่ต้องสนใจ!” ซุนเสียงมองหน้าต่างที่ว่างเปล่าอย่างลึกล้ำคราหนึ่ง ยกมือขึ้นสั่งการ “ไปรับมือพวกฮันเตอร์ก่อน!!”

 

เยี่ยซิวหนีออกมาไกลพอสมควรแล้ว แต่เขาไม่ได้ไปต่อ
ฝนตกที่ตกกระหน่ำพาให้ทัศนวิศัยแย่ลง
เยี่ยซิวกุมสีข้างมี่บาดเจ็บเดินโซเซเข้าไปในอาคารที่ตนจำได้ว่าเป็นโบสถ์ร้างห่างไกลตัวเมืองแห่งหนึ่ง เสื้อผ้าเปียกปอนจนแนบลงกับผิวกาย เยี่ยซิวมาถึงหน้าแท่นพิธี ภาพกระจกสีทีเรียงรายอยู่ทำให้เกิดเป็นแสงแปลกตา
อดีตราชาแวมไพร์เอนกายพิงแท่นสูงอย่างเหนื่อยอ่อน แพขนตาหลุบลง ปล่อยให้หยาดน้ำจากเส้นผมไหลรินลงมาตามกรอบหน้า ไม่คิดจะไปเช็ดมัน
มีคนกำลังมา!
สัญชาติญาณระวังภัยของเยี่ยซิวตื่นตัวขึ้นทันที ดวงเนตรสีทับทิมหรี่ลง ม่านตาหดแคบเป็นแนวตั้งเหมือนตาแมว
เยี่ยซิวได้ยินเสียงฝีเท้าไม่ดังไม่เบาตรงมาทางเขา สิ่งแรกที่ปรากฏในครรลองสายตาคือชายเสื้อคลุมขาวสะอาดบริสุทธิ์ขยับไหวตามจังหวะก้าวเดิน
ชั่วขณะหนึ่งเยี่ยซิวคิดว่าตนเองตาฝาดที่เห็นดวงตาดำขลับคู่นั้นเบิกตากว้างอย่างตื่นตะลึง จากนั้นก็อาบย้อมไปด้วยความยินดี
“คุณแวมไพร์”
เสียงที่เปล่งออกมานั้นฟังดูอ่อนโยนราวกับพระผู้เมตตา
ประสาทสัมผัสทั้งหมดพลันตื่นตัวเต็มที่ อดีตราชาแวมไพร์สัมผัสได้ถึงการไหลเวียนของพลังแห่งชีวิตทั่วร่าง สัมผัสได้ถึงก้อนเนื้อภายในอกซ้ายที่เริ่มสูบฉีดอย่างรวดเร็วของร่างตรงหน้า
กลัวงั้นหรือ
“ออกไปซะ…” เสียงแหบพร่าถูกส่งออกมาอย่างยากลำบาก อาการบาดเจ็บทำให้เขาขาดเลือดอย่างรุนแรง เยี่ยซิวกัดฟันแน่น สะกดกลั้นความรู้สึกกระหายอย่างรุนแรงเอาไว้
ชายหนุ่มแปลกใจ แต่ครู่เดียวก็ทำหน้าเหมือนเข้าใจอะไรบางอย่างก่อนถกแขนเสื้อขึ้นมา เผยให้เห็นข้อมือขาวสะอาดชัดเจน
ชายหนุ่มยื่นแขนไปตรงหน้าแวมไพร์ ยิ้มพลางเอ่ย
“กินสิครับ”
เมื่ออาหารหอมกรุ่นอยู่ตรงหน้า เยี่ยซิวก็รับรู้ได้ถึงลำคอแห้งผาก คว้าท่อนแขนนั้นอย่างรวดเร็ว เขี้ยวคมงอกยาวออกมา ฝังลงไปบนผิวกายนุ่มอย่างช้าๆ
ระหว่างที่รสชาติหอมหวานไหลผ่านลำคอ กลิ่นอันน่าพิศมัยแผ่กำจายไปทั่วโพรงปาก เยี่ยซิวจับอาหารฉุกเฉินไว้แน่น สูบเลือดอย่างตะกลุมตะกลาม
หลังจากได้เลือดไปพอสมควร เยี่ยซิวจึงค่อยๆ ได้สติกลับมาจากความหอมหวานนั้น ดวงตาสีแดงเข้มมองไปชายหนุ่มตรงหน้าตน
บาทหลวงหนุ่มยังคงยิ้มแย้มราวกับว่าตนไม่ได้ใช้เลือดตัวเองเป็นอาหารแวมไพร์ แต่กำลังให้ขนมแมวข้างถนนสักตัว
รอจนเยี่ยซิวถอนคมเขี้ยวออก บาทหลวงหนุ่มจึงแนะนำตัวด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน
“ผมชื่ออวี้เหวินโจว”
เยี่ยซิวเหลือบตามอง ก้มลงแลบลิ้นเลียที่รอยเขี้ยวสองรูเบาๆ
ร่างของชายหนุ่มเบื้องหน้าเกร็งขึ้นอย่างฉับพลัน
พอใจแล้วเยี่ยซิวก็ปล่อยแขนขายหนุ่มออก ใช้นิ้วโป้งเช็ดคราบเลือดที่มุมปาก ก่อนจะไล้เลียของเหลวที่ปลายนิ้วพลางตอบช้าๆ
“เยี่ยซิว”

 

รอยเขี้ยวสองรอยบัดนี้ เหลือเพียงรอยแดงจางๆ

 

 

 

เยี่ยซิวลืมตาตื่นขึ้นมา
ครู่หนึ่งถึงกับเกิดความสับสนว่าตนเองอยู่ที่ไหน
ไม่ใช่ในปราสาทแวมไพร์
ไม่ใช่ในโลงขนาดใหญ่ที่บุผ้ากำมะหยี่หนานุ่ม
เขานอนอยู่ในบ้านหลังหนึ่ง
ขยายความอีกหน่อยคือบ้านของบาทหลวงแปลกๆ คนหนี่ง
“ตื่นแล้วหรือครับ ผมมีอาหารหลายอย่างเลย มากินด้วยกันสิครับ”
ทำไมถึงแปลกน่ะหรือ
มีอย่างที่ไหน เป็นคนของศาสนจักรแท้ๆ กลับให้ทั้งอาหารทั้งที่อยู่กับแวมไพร์ขนาดนี้
“จิตสำนึกการเป็นบาทหลวงที่ดีของนายปลิวหายไปไหนหมดแล้ว” เยี่ยซิวนั่งลงที่โต๊ะทานข้าว เอนกายอย่างเกียจคร้าน อาหารหลายชนิดละลานตาอย่างกับมีงานเลี้ยงฉลองอะไรสักอย่าง
อวี้เหวินโจวยิ้มไม่ตอบ เยี่ยซิวก็ไม่ไปสนใจ ลงมือทานอาหารช้าๆ
เยี่ยซิวกินอาหารของมนุษย์ได้ มันพอประทังความหิวได้บ้าง แต่อาหารหลักก็ยังคงเป็นเลือดอยู่ดี
“ไม่ถูกปากหรือเปล่าครับ”
“เปล่า”
ที่จริงต้องบอกว่าอร่อยมาก
บาทหลวงหนุ่มทำหน้าบรรลุอะไรสักอย่างอีกแล้ว
กระทั่งเยี่ยซิวกินเสร็จ เจ้าเด็กมนุษย์หน้ายิ้มก็แหวกเสื้อออก ผิวเนื้อขาวสะอาดดูสุขภาพดีปรากฏขึ้นอีกครั้ง
“เยี่ยซิว กินไหมครับ” เสียงทุ้มนุ่มราวกับกำลังล่อลวง
อาหารบริการให้ถึงตรงหน้า เยี่ยซิวมีหรือจะปฏิเสธ
นิ้วเรียวไล่ไปตามผิวเนื้ออุ่นลื่น ส่วนลำคอและไหปลาร้าตึงกระชับ เส้นชีพจรที่เต้นตุบๆ ถูกส่งผ่านมาทางปลายนิ้ว
ลมหายใจอุ่นๆ รดลงผ่านเส้นผม แผ่กลิ่นไอของชีวิตเข้มข้น
คมเขี้ยวแตะบนผิวเบาๆ ร่างชายหนุ่มเกร็งขึ้นมาคราหนึ่ง ก่อนหายไปอย่างรวดเร็วราวกับกลัวแวมไพร์ที่อยู่ใกล้ชิดกันจะล่วงรู้
เมื่อเยี่ยซิวกัดลงบนเส้นเลือดใหญ่ข้างต้นคอ ความรู้สึกเจ็บหนึบแล่นปราดขึ้นมา แต่อวี้เหวินโจวปิดปากเงียบ ไม่ส่งเสียงร้องสักแอะ
วาดวงแขนประคองร่างตรงหน้าตนเอาไว้ สัมผัสคราแรกแผ่วเบาเหมือนไม่แน่ใจ จากนั้นก็ค่อยๆ เพิ่มน้ำหนักขึ้นจนกลายเป็นการโอบกอดแน่น จมูกได้กลิ่นแสนคุ้นเคย
บาทหลวงหนุ่มก็หลับตาลง รับรู้ถึงเลือดที่ไหลเวียนสูบฉีดทั่วร่างอย่างยินดี

 

 

 

แปดปีก่อนอวี้เหวินโจวอายุสิบสองปี นับว่าสูงที่สุดในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า
เขากับหวงเส้าเทียนที่อ่อนวัยกว่าโตมาด้วยกันในสลัมแห่งหนึ่ง ภายใต้เมืองที่ดูเผินๆ เจริญรุ่งเรือง แท้จริงแล้วยังซุกซ่อนอีกด้านที่ดำมืดเอาไว้ไม่แพ้กัน
อวี้เหวินโจวเคยสัมผัสมาหมดแล้ว
เพื่อมีชีวิตรอดการขโมยเงินไม่กี่เหรียญ แย่งเศษอาหารที่มีคนนำมาทิ้งไว้ หรือแม้แต่แร่รอนออกขออาหาร เขาทำหมดทุกอย่าง
จนเจ้าเมืองคนใหม่มาถึง ได้สั่งให้กวาดต้อนพวกเด็กแร่ร่อนมาไว้รวมกัน เจียดเงินสร้างสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าขึ้นมาแห่งหนึ่ง แล้วโยนเด็กเหล่านี้ไปที่นั่น
สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าอยู่ได้ด้วยเงินบริจาคของพวกคนรวย ซึ่งก็มีมาขาดๆ หายๆ ส่วนเจ้าเมืองหลังถีบส่งพวกเขาได้ก็ไม่มีไยดีอีกเลย
ที่นี่เป็นส่วนหนึ่งของการแสดงอำนาจจากศาสนจักร และมีแม่ชีสองคนเป็นผู้ดูแล
พวกเขาไม่เคยสนใจว่าเด็กกำพร้าพวกนี้จะเป็นตายร้ายดีอย่างไร ยิ่งไม่สนว่าเด็กพวกนี้จะกินอิ่มนอนหลับไหม สนใจเพียงอำนาจของตน
น่าขำ นี่หรือสิ่งที่ทุกคนยกย่องบูชา
อวี้เหวินโจวไม่เชื่อในพระเจ้าอะไรทั้งนั้น สิ่งที่เขาเชื่อมีเพียงตนเอง
หากไม่มีสิ่งที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้น

 

วันที่พวกเด็กๆ ออกมาเล่นกันที่ท้ายเมืองติดกับชายป่า อวี้เหวินโจวนั่งมองหวงเส้าเทียนที่เล่นเป็นอัศวินช่วยเหลือเจ้าหญิงยิ้มๆ
แต่วันนั้นช่างโชคร้าย ปีศาจที่ไม่รู้โผล่มาจากไหนพบเด็กๆ เข้า
อวี้เหวินโจวมองข้ามเสียงกรีดร้องสลับร้องไห้ระงม รอยเลือดไหลเป็นทาง รีบคว้ามือหวงเส้าเทียนออกวิ่งเข้าไปในป่า
สองขาเล็กๆ ถูกใช้งานราวกับไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย เนื้อตัวทั้งคู่เต็มไปด้วยรอยขีดข่วนจากกิ่งไม้ อวี้เหวินโจวไม่รู้ว่าต้องหนีไปที่ใด รู้เพียงถ้าหยุดตอนนี้ นั่นหมายถึงความตายแน่นอน
เห็นสิ่งปลูกสร้างขนาดใหญ่อยู่ไม่ไกล อวี้เหวินโจวพาตนเองกับญาติผู้น้องเข้าไปหลบในนั้น แต่ยังไม่ทันได้เข้า ปีศาจก็ปรากฏขึ้นขวางหน้า
“ฮ่าๆ เด็กอย่างพวกแกจะหนีไปไหนพ้น”
ปีศาจแหงนหน้าหัวเราะอย่างดูแคลน เด็กสองคนในสายตามันก็ไม่ต่างอะไรจากคนที่ตายแล้ว อวี้เหวินโจวดึงร่างน้องต่างสายเลือดเข้ามาปกป้องไว้
อวี้เหวินโจวหลุบตาลง ร่างกายสั่นเทิ้ม หูได้ยินเสียงก่นดาพลางร้องไห้พลางของหวงเส้าเทียนแว่วมาเหมือนอยู่ไกลขึ้นเรื่อยๆ เขารู้ว่ามันจบลงแล้ว
แต่เนิ่นนาน คมเคียวแห่งความมรณะก็ยังไม่มาถึงเสียที เสียงด่าของหวงเส้าเทียนก็เงียบลงไปด้วย
อวี้เหวินโจวรวบรวมความกล้าเงยหน้าขึ้นมา
ในสายตาปรากฏเพียงเฉดสีแดงอันงดงามของอีกฝ่าย

 

 

วงหน้าขาวซีดหันมาช้าๆ ก้อนเนื้อในอกซ้ายของเด็กชายค่อยๆ โลดเล่นขึ้นเรื่อยๆ เมื่อสบเข้ากับทับทิมเม็ดงามคู่นั้น
ร่างกายสูงโปร่งขยับเข้ามาใกล้ ปลายนิ้วซีดเซียวขยับแตะใบหน้าของเขา ดวงตาทอแสงอ่อนลงจนเกือบอ่อนโยน อวี้เหวินโจวไม่แม้แต่จะขยับหนี ราวกับร่างกายยอมศิโรราบแด่อีกฝ่ายเพียงแค่สบตา
“อ้าว เด็กที่ไหนกัน” กลีบปากเผยอออกเล็กน้อยจนเห็นเขี้ยวเล็กๆ ส่งเสียงแผ่วเบาเรียบเรื่อยเสมือนรำพึงรำพันมากกว่าจะเอาคำตอบ
“กลัวจนสมองหยุดทำงานไปแล้วหรือไง” เสียงนั้นกระเซ้าขำๆ เมื่อเด็กน้อยทั้งสองพร้อมใจกันนิ่งค้างเหมือนรูปสลัก
ช็อกไปแล้วหรือ
เยี่ยซิวคิดอย่างแปลกใจ มือผอมบางที่มีเรี่ยวแรงมากกว่าที่เห็นจับหิ้วเด็กน้อยสองคนขี้นมา พาเข้าไปในโบสถ์ร้างแล้ววางลงเตรียมผละจากไปแต่ถูกแรงดึงไว้จากด้านหลัง
ชายเสื้อถูกมือสองคู่กำแน่นไม่ยอมปล่อย คนหนึ่งแบะปากจะร้องไห้ อีกคนช้อนตาขึ้นมองเงียบๆ อย่างดื้อรั้น
“เฮ้อ ก็ได้ ก็ได้ เกอจะอยู่เป็นเพื่อนตกลงไหม” เยี่ยซิวยกธงขาว ก็ดวงตาใสๆ นี่มีอนุภาพน้อยเสียเมื่อไหร่ล่ะ

 

ช่วงเวลานั้นมีความสุขจนเหมือนฝันอย่างแท้จริง
ทุกๆ วันเยี่ยซิวจะโผล่มาตอนกลางคืน นำอาหารพร้อมทั้งของเล่นมากมายมาให้พวกเขา อยู่เป็นเพื่อนจนกว่าพวกเขาจะหลับไป แล้วหายตัวไปยามรุ่งเช้า
เยี่ยซิวสอนพวกเขาอ่านหนังสือ อวี้เหวินโจวเป็นเด็กหัวไหว ไม่นานก็อ่านจนคล่อง เห็นอย่างนั้นเยี่ยซิวก็หอบหนังสือมาเพิ่มอีกหนึ่งอย่าง
อวี้เหวินโจวชอบเวลาที่นั่งอยู่บนตักของแวมไพร์หนุ่ม ฟังเสียงนุ่มๆ ข้างหูอย่างไม่รู้เบื่อ มองมือ
ที่ขยับเปลี่ยนแผ่นกระดาษเป็นระยะ เทียบกับมือเล็กๆ ของตนแล้วมันช่างดูสะอาดบริสุทธิ์ และใหญ่โตเหลือเกิน
คุณแวมไพร์คงไม่รู้ว่าเวลาที่อีกฝ่ายใช้มือขาวซีดขยี้หัวเขาอย่างหมันเขี้ยว หัวใจเขาพองโตอย่างมีความสุขแค่ไหน
คุณแวมไพร์ชอบบอกว่าเขาไม่เหมือนเด็กอายุสิบสองเลยสักนิด ไม่ว่าจะเป็นความคิดหรือร่างกาย ความคิดโตเกินวัย ส่วนร่างกาย…
“ตัวผอมเกินไปแล้ว” เยี่ยซิวจับอุ้มเด็กชายขึ้นมาแล้วบ่นอย่างไม่จริงจังนัก ร่างของเด็กน้อยทั้งผอมและโตช้ากว่าเด็กวัยเดียวกันมาก ดูเผินๆ เหมือนเด็กแปดขวบ
อวี้เหวินโจวส่งยิ้มตาหยีให้ มือเล็กๆ ผอมแห้งยกขึ้นทาบลงไปบนฝ่ามือเนียนนุ่ม
“มือคุณแวมไพร์สวยจังเลย”
เยี่ยซิวส่ายหัวอย่างระอาใจ มีอย่างที่ไหนเจ้าเด็กน้อยสองคนชอบมานั่งจ้องมือเงียบๆ ตอนเขาเผลอ
ทุกๆ วันอวี้เหวินโจวจะอ่านหนังสือกับคุณแวมไพร์จนดึกดื่น เมื่อง่วงก็ซุกตัวลงหลับไปกับแผ่นอกราบเรียบไร้รอยเคลื่อนไหวที่แสนอบอุ่นเหลือเกินในความคิดเขา
มีความสุขมากเกินไปจนเหมือนอยู่ในห้วงฝัน
เป็นฝันที่เด็กชายอยากจะหลับไหลไปชั่วนิรันด์

 

“เหวินโจว เส้าเทียน ฉันต้องไปแล้ว”
หลังจากเล่นกับเด็กทั้งสองคนจนเหน็ดเหนื่อย เยี่ยซิวก็เอ่ยปากช้าๆ
“ไป? คุณแวมไพร์จะไปไหนหรือครับ”
“ผมก็อยากไปเที่ยวด้วยเหมือนกัน! ให้ผมไปด้วย ไปด้วย นะๆๆ วันนี้ผมเป็นเด็กดีนะ หนังสือก็อ่านจบแล้ว การบ้านทำเสร็จแล้ว เอาผมไปด้วย ผมเป็นเด็กดีนะ เป็นเด็กดีแล้วนะ” เจ้าเด็กหวงเส้าเทียนเปิดปากทียืดยาวจนอยากหาอะไรมาอุด
“เกออยู่นานกว่านี้ไม่ได้แล้ว มีเรื่องต้องไปทำ” เยี่ยซิวหัวเราะ เอามือขยี้ผมเด็กน้อยที่ร้องโอดครวญจะไปกับเขาให้ได้ “เดิมทีแค่อยากจะมาเยี่ยมเขาที่อยู่แถวนี้เท่านั้น….” ประโยคท้ายเสียงเบาจนเด็กทั้งสองไม่ได้ยิน
หวงเส้าเทียนยังคงไม่เข้าใจ วิ่งล้อมหน้าล้อมหลังวอแวไม่หยุดหย่อน แต่อวี้เหวินโจวซึ่งหัวดีกว่าทำหน้าตื่นตะลึง
“เส้าเทียน ฉันอาจไม่กลับมาอีกแล้ว”
ถึงตอนนี้หวงเส้าเทียนเองก็เข้าใจแล้ว ดวงตาสุกใสมีน้ำเอ่อคลอ ร้องไห้โวยวายยกใหญ่ เยี่ยซิวสุดแสนจนใจ บอกแต่ว่ามันมีเหตุจำเป็น
อวี้เหวินโจวเพียงยิ้ม เอ่ยอย่างเรียบง่ายว่าเข้าใจแล้วครับ แต่ในใจของเขาเต็มไปด้วยความไม่ยินยอม
อวี้เหวินโจวฉลาดมาตั้งแต่เด็ก เขารู้ดีว่าเยี่ยซิวที่เป็นปีศาจจิตใจดีกว่ามนุษย์จริงๆ เสียอีก ความอ่อนโยนที่เขาไม่เคยได้สัมผัสพาให้หลงระเริงจนลืมสิ้นเสียทุกสิ่ง ลืมว่าตนเป็นแค่เด็กตัวเล็กๆ คนหนึ่ง ส่วนอีกฝ่ายเป็นปีศาจที่งดงามสูงส่ง
อวี้เหวินโจวอยากจะรั้ง แต่เขารู้ว่าตนไม่มีค่าพอจะทำอย่างนั้น
คืนนั้นเป็นคืนแรกและคืนเดียวที่เยี่ยซิวค้างกับพวกเขา มือหนึ่งกล่อมหวงเส้าเทียนที่ร้องไห้โยเย อีกมือหนึ่งลูบหัวเขาเบาๆ อวี้เหวินโจวขอบตาร้อนผ่าว กลั้นเสียงสะอื้นไว้ในลำคอ เด็กชายซุกตัวลงกอดเยี่ยซิวแน่น ซึมซับความรู้สึกนี้ให้นานที่สุด
ความอบอุ่นที่อาจไม่ได้สัมผัสมันอีกแล้ว

 

ยามรุ่งสางเยี่ยซิวพาพวกเขาเข้าไปส่งในเมือง ในใจของอวี้เหวินโจวขมเฝื่อนขนาดไหน มีแต่พระเจ้าเท่านั้นที่รู้
อวี้เหวินโจวถึงกับอยากให้ทางเดินทอดยาวออกไปเรื่อยๆ ไม่มีวันจบสิ้น แต่มันไม่มีวันเป็นจริง
เยี่ยซิวพาเขากลับมาส่งยังสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าแห่งเดิม อวี้เหวินโจวเห็นความผิดหวังในแววตาของผู้ดูแลสองคน เยี่ยซิวทิ้งเงินและอัญมณีจำนวนมากไว้ให้พวกเขาเอาไว้ใช้ในอนาคต ก่อนจากเจ้าตัวบอกตำแหน่งว่าซ่อนเอาไว้ตรงไหน เพราะกลัวว่าถ้าพวกเขานำติดตัวไปด้วยจะอันตราย
อวี้เหวินโจวจำต้องปล่อยมือที่เกาะเกี่ยวไว้แน่น มองแผ่นหลังที่ค่อยๆ ลับหายไปจากสายตา
เด็กชายกำมือที่ว่างเปล่าด้วยหัวใจวูบโหวง
ความฝัน สักวันก็ย่อมจบลง

 

 

เมื่อโตขึ้น อวี้เหวินโจวและหวงเส้าเทียนก็ต้องเข้าร่วมศาสนจักร เขาเลือกไปเป็นบาทหลวง ส่วนหวงเส้าเทียนมีพรสวรรค์ด้านดาบมาตั้งแต่เด็ก เลือกไปเป็นอัศวิน
ชายหนุ่มสวมชุดคลุมสีขาว ใบหน้ายิ้มแย้มอ่อนโยนดุจสายน้ำ คอยปลอบประโลมสาวกของพระผู้เป็นเจ้า ประชาชนต่างหลั่งไหลเข้ามาไม่ขาด หารู้ไม่ว่าผู้ที่พวกเขายกย่องชื่นชมมีหัวใจที่เว้าแหว่งเป็นรูลึก
ภายในอวี้เหวินโจวกลวงเปล่า เขาทำเพียงสวมหน้ากากยิ้มแย้ม ใช้ความอ่อนโยนจอมปลอมล่อหลอกให้ชาวเมืองเข้าไปติดกับ แต่ในใจเขารู้ดี เขาทำบางสิ่งหล่นหายไปตลอดมา
โบสถ์ร้างห่างไกลตัวเมืองกลายเป็นสถานที่แห่งความทรงจำที่งดงาม เต็มไปด้วยความอบอุ่นที่อวี้เหวินโจวไม่เคยได้รับมาก่อน
อวี้เหวินโจวมักหาเวลาไปยังโบสถ์แห่งนั้น ทำความสะอาดดูแลรักษาอย่างดี เพราะหวังอยากจะเห็นเงาร่างของใครบางคนปรากฏขึ้น ยิ้มให้เขา แล้วบอกว่ากลับมาแล้ว
อวี้เหวินโจวมีความปราถนาที่เรียบง่ายเช่นนี้
เขาเฝ้าภาวนาอยู่ทุกวัน แต่ไม่อาจเป็นจริงได้เลย

 

ฝนเทกระหน่ำระหว่างทางเดินไปโบสถ์ อวี้เหวินโจวกึ่งเดินกึ่งวิ่งเข้าไปในอาคาร ร่องรอยของหยดน้ำเป็นทางยาวเข้าไปด้านในทำให้เขาหยุดชะงัก
ฝ่ามือที่ทาบลงบนประตูสั่นระริก ในใจมีความหวังเลือนรางแทรกผ่านเข้ามา
จะใช่หรือ ใช่เขาคนนั้นจริงๆ หรือ
อวี้เหวินโจวแทบไม่กล้าคิด รวบรวมความกล้าผลักประตูบ้านใหญ่เข้าไปช้าๆ
เรือนผมสีราตรีกาล ใบหน้านั้น ดวงตาวาววามลึกลับคู่นั้น อวี้เหวินโจวไม่มีทางจำผิด
“คุณแวมไพร์”
ความรู้สึกหลากหลายผสมปนแป ความยินดี ความคิดถึง ความคะนึงหา ความอาวรณ์อย่างเข้มข้นถูกส่งผ่านออกมาผ่านถ้อยคำสามคำ หัวใจของชายหนุ่มสั่นไหวรุนแรง

 

กลับมาแล้วหรือครับ

 

ประโยคนี้อวี้เหวินโจวได้แต่เก็บไว้ในใจ ไม่กล้าเอื้อนเอ่ยออกมา

 

 

 


 

 

เยี่ยซิวใช้ส้อมจิ้มเนื้อเข้าปากด้วยหน้าตาเรียบเฉย เคี้ยวช้าๆ ลิ้มรสซอสเนื้อชุ่มฉ่ำ เสียงที่ลอยมาตามลมอะไรนั่นเขาไม่ได้ยิน
“เฮ้ๆๆ หูหนวกเรอะ ทำเมินเรอะ นายเป็นใครเนี่ย มาอยู่บ้านนี้ได้ยังไง เชี่ยๆๆ อย่ามาเมินกันนะ กล้าเมินหวงเส้าเทียนคนนี้แล้วนายจะต้องเสียใจ”
เจ้าเด็กนี่พล่ามมาเป็นสิบนาทีแล้ว…
“อวี้เหวินโจวปล่อยนายเข้าบ้านมาได้ไงเนี่ย คนอย่างหมอนั่นทำอะไรแบบนี้เป็นด้วยรึ นี่! ยังจะกินอีก!” เด็กหวงเส้าอะไรนั่นงึมงำๆ อยู่ดีๆ ก็สติแตก โหวกเหวกโวยวายอีกครั้ง
เขาพึ่งตื่นนอนไม่นาน เด็กมนุษย์นี่ก็พรวดพราดเข้ามา ปากก็พล่ามไม่หยุดหย่อน หลังจากพูดมาเป็นเรื่องเป็นราวอยู่คนเดียวก็พึ่งสังเกตเห็นเขาที่นั่งอยู่ คราวนี้เยี่ยซิวก็ไม่ได้นั่งอย่างสงบอีกเลย จากกำลังง่วงๆ ก็ตื่นขึ้นเต็มตา
สุดท้ายก็ต้องมานั่งกินไป ฟังหูซ้ายทะลุหูขวาไป
เยี่ยซิวสัมผัสได้ถึงพลังชีวิตที่เปี่ยมล้นจากหวงเส้าเทียน กลิ่นหอมกรุ่นตลบอบอวล ยิ่งอีกฝ่ายมาตอแยคลอเคลียอย่างนี้ ความรู้สึกกระหายก็ยิ่งพุ่งแรงขึ้น
เยี่ยซิวนับว่าเป็นแวมไพร์ชั้นสูง เดิมเขาก็ไม่ต้องดื่มเลือดมากอยู่แล้ว เพียงเดือนละครั้งก็เพียงพอ
นี่เป็นผลพวงมาจากอาการบาดเจ็บรุนแรงที่เขาได้รับมา ปกติถ้าเขาเกิดอาการ เขาจะดื่มเลือดจากอวี้เหวินโจวแทน อยู่ๆ อาการก็กำเริบอย่างฉับพลัน แต่ตอนนี้อวี้เหวินโจวไม่อยู่ ที่อยู่มีแค่เด็กมนุษย์ปากมากคนหนึ่ง
เยี่ยซิวขาดเลือดมานานเกินไปแล้ว หากมากกว่านี้เกรงว่าจะหน้ามืดไปกัดคนมั่วซั่วเข้าจริงๆ
“เฮ้ย นายเป็นอะไร ไหวไหมเนี่ย ฉันพาไปหาหมอไหม นี่ ป่วยต้องรีบรักษานะ เดี๋ยวเป็นไรขึ้นมาฉันจะไปบอกหมอว่านั่นยังไง” หวงเส้าเทียนปรี่เข้าไปพยุงเยี่ยซิวที่ดูอึดอัดทรมาณ วงหน้าซีดเซียวดูเหมือนจะล้มไปได้ทุกเมื่อ
“ไม่ต้อง” เยี่ยซิวตอบเสียงอ่อนระโหย เวลานี้แค่ควบคุมสติไว้ก็เต็มกลืน
“แม่ง หน้าขาวซีดอย่างกับกระดาษ หรือปกตินายก็เป็นอย่างนี้อยู่แล้ว ไม่ได้ๆ นายห้ามมาตายในบ้านนี้นะเฮ้ย!” หวงเส้าเทียนตื่นตกใจจนพูดไม่หยุด
“หยุดพูด”
เยี่ยซิวรู้สึกทนฟังไม่ไหวแล้ว มากกว่านี้อาจเผลอกระโดดกัดคอเด็กนี่แทน
“น..นายมีเขี้ยวงอกออกมาด้วย! เฮ้ๆๆๆ” หวงเส้าเทียนที่อยู่ใกล้ชิดสังเกตการเปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็ว
เยี่ยซิวเริ่มคุมตัวเองไม่อยู่ เมื่อมีกลิ่นอาหารหอมๆ มาวนเวียนอยู่ใกล้ๆ เขี้ยวคมเริ่มงอกออกมายืดยาว ดวงตาวาววับจนดูราวกับเปล่งแสงลางๆ ม่านตาหดแคบเป็นขีดเดียว เขายึดตัวหวงเส้าเทียนที่โวยวายไม่จบไม่สิ้น ฝังคมเขี้ยวลงบนลำคออีกฝ่าย
รสขาติของสนิมคละคลุ้งอยู่ในปาก เยี่ยซิวสูบกลืนมันอึกแล้วอึกเล่า พลังชีวิตถูกส่งผ่านมาให้เขาไม่หยุดหย่อน
บัดนี้จอมฝอยถึงกับเงียบไปโดยสิ้นเชิง รอจนเขากินไปพอสมควร รู้สึกว่าตนควรหยุดแล้ว ชายหนุ่มก็ยังนิ่งค้างอยู่เช่นนั้น
“หวงเส้าเทียน?”
หวงเส้าเทียนได้สติกลับคืนมา เจ้าเด็กมนุษย์เบิกตากว้าง จ้องหน้าเขาตาไม่กระพริบ

 

“เกิดอะไรขึ้น”
อวี้เหวินโจวกลับมาถึงก็รู้สึกผิดปกติ รีบรุดเข้ามาในห้อง ภาพที่เห็นคือหวงเส้าเทียนกอดตระกองเยี่ยซิวไว้อย่างทะนุถนอม ทำให้ในใจเขารู้สึกร้อนรน ตรงเข้ามาหาเยี่ยซิว
“เหวินโจว! นายแม่งกลัวไม่ได้ตายดีหรือไง แอบเลี้ยงแวมไพร์ไว้อย่างนี้ ถ้าพวกตาแก่มาเจอมีหวังโดนเผากันหมดแน่”
เยี่ยซิวถึงกับไร้คำพูด ทำไมหมอนี่พูดจาเหมือนเขาเป็นสัตว์เลี้ยงที่ถูกอวี้เหวินโจวเก็บมาได้ แต่ต้องแอบเลี้ยงให้พ่อแม่รู้อย่างไรอย่างนั้น
เขาดึงหวงเส้าเทียนให้โน้มลงมา รอยเขี้ยวสองรอยเด่นชัด เยี่ยซิวไล้เลียเบาๆ สัมผัสชื้นๆ ทำให้หวงเส้าเทียนนิ่งค้างเป็นหิน
“เส้าเทียน” เสียงกดต่ำของใครบางคนทำให้หวงเส้าเทียยสะดุ้ง ได้สติกลับคืนมา
“เชี่ย นายแม่งอยู่ๆ มาเลียฉันอย่างนี้ได้ไง ฉัน…”
“เกอแค่ทำแผลให้ หยุดโวยวายได้แล้ว” เยี่ยซิวตัดบท เอนกายพิงพนักเก้าอี้ท่าทางขี้เกียจเป็นที่สุด
หวงเส้าเทียนอ้าปากพะงาบๆ ลองลูบๆ ดูก็พบว่าปากแผลปิดสนิทแล้ว ครู่หนึ่งถึงกับไม่รู้จะพูดอะไรดี ได้แต่ขยับลากอวี้เหวินโจวหายไปอีกทาง

 

คล้อยหลังเยี่ยซิว หวงเส้าเทียนพาเขามาอีกมุมหนึ่ง กดเสียงต่ำกระซิบ
“หมอนั่น…ฉันหมายถึงแวมไพร์นั่น เอ่อ คือเขาใช่ไหม” อวี้เหวินโจวเงียบไม่ตอบจนหวงเส้าเทียนร้อนใจ “หมอนั่นคือ…แวมไพร์ใช่หรือเปล่า”
“…เขาก็เป็นแวมไพร์อยู่แล้ว”
“ไม่ใช่อย่างนั้น นายอย่ามาเฉไฉ นายรู้อยู่แก่ใจนี่ว่าฉันหมายความว่ายังไง บอกมาเร็ว คุณแวมไพร์คือเขาใช่ไหม ฉันเข้าใจถูกไหม อย่ามาทำเงียบนะ”
อวี้เหวินโจวเห็นสายตาของหวงเส้าเทียนที่มองตรงมาอย่างคาดคั้นก็ถอนหายใจ พยักหน้าเงียบๆ
“อ๊า ฉันว่าแล้วเชียว แวมไพร์บ้านไหนเฉื่อยแบบเขากัน มีคนเดียว เอ้ย ตนเดียวแน่ๆ”
หวงเส้าเทียนกุมศีรษะโอดครวญ ทำท่าจะพุ่งเข้าไปด้านในอีกครั้ง
“เส้าเทียน ต่อจากนี้นายมีธุระไม่ใช่หรือ”
“ธุระ? ธุระอะไร ฉันว่างแล้ว ว่างทั้งวัน ขอฉันไปหาเขาเดี๋ยวนึง…”
“เส้าเทียน ฉันจำได้ว่านายมีธุระนะ ไม่รีบจะดีหรือไง” อวี้เหวินโจวพูดเสียงอ่อนโยน ดูเป็นห่วงเป็นใยสุดแสน
“ฉันไม่…”
“ถ้าจัดการช้ามันจะไม่ดีเอานะ ใช่ไหม”
“…”
หวงเส้าเทียนเหงื่อตก ทำไมเขาถึงรู้สึกว่าอวี้เหวินโจวกำลังกดดันไล่เขาทางอ้อมกันนะ

 

“เจ้าเด็กหวงเส้านั่นล่ะ”
“บอกว่ามีธุระ ก็เลยขอกลับไปก่อนแล้วครับ” อวี้เหวินโจวตอบยิ้มๆ นั่งตรงข้ามเยี่ยซิวตักอาหารของโปรดให้อย่างใส่ใจ
“อ้อ” เยี่ยซิวนั่งกินต่อ ปัดความรู้สึกประหลาดๆ ในใจทิ้งไป
หลังจากนั้นหวงเส้าเทียนก็แวะมาเยี่ยมเยียนเขาทุกวัน กลายเป็นแขกประจำของบ้าน
อวี้เหวินโจวมองหวงเส้าเทียนโวยวายจะสู้กับเยี่ยซิวให้ได้แล้วส่ายหน้า ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเพลงดาบของหวงเส้าเทียนได้ใครเป็นผู้ฝึกให้
เยี่ยซิวเองเห็นเด็กพลังเหลือล้นก็รู้สึกเหนื่อยขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ ถึงบาดแผลจะใกล้หายสนิท แต่ถ้าเลือกได้เขาก็ไม่อยากออกแรงเสียเท่าไหร่
“เยี่ยซิว มาสิครับ”
หลังเยี่ยซิวไล่หวงเส้าเทียนกลับบ้านไปได้แล้ว อวี้เหวิโจวมักเป็นรายต่อไปที่เข้ามาวอแวเขา เยี่ยซิวหรี่ตามองผิวเนื้อขาวสะอาดที่เปิดเผยอยู่นอกร่มผ้า อวี้เหวินโจวยิ้มแหวกคอเสื้อกว้าง
“พอแล้ว เกอไม่หิว” เยี่ยซิวใช้มือจิ้มหน้าผากอวี้เหวินโจวราวกับเป็นเด็กเล็กๆ อวี้เหวินโจวไม่เพียงไม่โกรธ กลับกัน บาทหลวงหนุ่มใบหน้าขึ้นสีน้อยๆ
“เป็นอะไร”
“เปล่า เปล่าครับ ผมไปเตรียมอาหารมาให้นะ”
เยี่ยซิวมองตามเงาร่างที่หายลับไปในครัวอย่างรวดเร็วด้วยความรู้สึกขบขัน

 

ฝ่ายอวี้เหวินโจวหลังจากจิตใจเริ่มสงบลงก็ถอนหายใจออกมายาวๆ
หลังจากเยี่ยซิวมาอาศัยอยู่กับเขา บาทหลวงหนุ่มรู้สึกว่าตนเองชักได้ใจมากขึ้นทุกที ราวกับรูลึกกลวงด้านในตัวเขาค่อยๆ ถูกเติมเต็ม จนบ้างครั้งเผลอทำอะไรตามใจตนเองไปหลายอย่าง
ในใจเกิดความเห็นแก่ตัวเล็กๆ อย่างไม่ควรขึ้นมา เขาไม่อยากแบ่งเยี่ยซิวให้ใคร แม้กระทั่งกับผู้ที่ไม่ต่างไปจากน้องชายของเขา
…แบบนี้ไม่ดีเท่าไหร่
อวี้เหวินโจวเอามือลูบหน้า จัดแจงอาหารเสร็จก็ยกออกไปด้านนอก พอดีกับเห็นเยี่ยซิวสะบัดมือคราหนึ่ง ค้างคาวตัวเล็กๆ ก็กระพือปีกบินออกนอกหน้าต่างไป
เขารู้สึกสังหรณ์ใจไม่ค่อยดี
“เยี่ยซิว อาหารมาแล้วครับ”
“อา” เยี่ยซิวเหลือบมองอาหารค่ำละลานตาก่อนเงยหน้าขึ้นมองชายหนุ่มที่กำลังจัดโต๊ะอยู่ คิดๆ แล้วก็บอกไว้ก่อนดีกว่า “อวี้เหวินโจว ฉันต้องไปแล้ว”
เพล้ง!
บาทหลวงหนุ่มทำแก้วหลุดมือแตกไปใบหนึ่ง ก่อนหันมายิ้มแบบไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“คุณ…จะไปเมื่อไหร่ครับ”
“คงเป็นคืนพรุ่งนี้”
“อา ถ้างั้นวันนี้คุณอยู่กินมื้อเย็นก่อนนะครับ ผมทำไว้เยอะเลย”
“อวี้เหวินโจว”
“นี่ไงครับ ไก่อบน้ำผึ้งของโปรดคุณ มีลูกนกยัดไส้แบบที่คุณชอบด้วยนะ”
“อวี้เหวินโจว”
“ผมมีไวน์ที่เก็บไว้ด้วย เรามาดื่มกันสักหน่อยไหมครับ”
“อวี้…”
“นี่ครับ” อวี้เหวินใช้ตักเนื้อไก่มาใส่จานเขา “ผมตักให้ ทานเยอะๆ นะครับ”
แวมไพร์หนุ่มถอนหายใจ กินเงียบๆ ไม่พูดอะไรต่อ

 

 

เยี่ยซิวไม่รู้ว่าจู่ๆ ตนหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่
เขารู้สึกถึงสัมผัสแผ่วเบาเหมือนปีกผีเสื้อขยับไหว พาให้รู้สึกจักกะจี้ เยี่ยซิวย่นคอหนีสัมผัสนั้น ความอุ่นร้อนปัดป่าวไปทั่วกาย ร่างกายสั่นสะท้านขึ้นคราหนึ่งเมื่อบางสิ่งที่นุ่มหยุ่นเข้าครอบครองยอดส่วนอ่อนไหวของเขา
เยี่ยชิวลืมตาพรึ่บ สิ่งแรกที่สะท้อนเจ้ามาคือใบหน้าอ่อนโยนของอวี้เหวินโจว รอยยิ้มอบอุ่นประดับอยู่บนใบ้หน้า แต่เยี่ยซิวรู้สึกได้ว่ารอยยิ้มนั้นไม่เหมือนเดิม
“ตื่นแล้วหรือครับ”
“อวี้…อื้อ!”
กลีบปากเขาถูกครอบครองโดยริมฝีปากอุ่นร้อนของอีกคน เรียวลิ้นกระหวัดเกี่ยว ริมฝีปากบดเบียด ตักตวงความหอมหวานอย่างรุนแรง
ฝ่ามือหนาเฝ้าเคล้นคลึงไปทั่วร่างกาย ทุกครั้งที่ผ่านส่วนใดก็จะละทิ้งความร้อนผะผ่าวเอาไว้
ตั้งแต่เกิดมา อวี้เหวินโจวไม่เคยเสียการควบคุมตัวเองอย่างนี้มาก่อน
แค่ได้ยินว่าอีกฝ่ายจะไป ใจเขาก็วูบโหวง ส่วนที่คิดว่าถูกเติมเต็มค่อยๆ ถูกสีดำสนิทกลืนกินอีกครั้ง
จะหายไปอีกแล้ว
จะไม่กลับมาอีกแล้ว
…เขากลัว
แปดปีสำหรับมนุษย์ช่างแสนยาวนาน
ถ้าไปคุณจะกลับมาอีกเมื่อไหร่ สิบปี? ยี่สิบปี? หรือไม่กลับมาอีกเลย
เคยคิดมาตลอดว่าถ้าได้กุมมือคู่นี้แล้ว จะไม่ยอมปล่อยไปอีก
สุดท้ายแล้วมันเป็นเพียงความฝันลมๆ แล้งๆ เท่านั้นเองหรือ

 

“เหวินโจว” เสียงเรียกจากคนใต้ร่างทำให้อวี้เหวินโจวนิ่งค้างเหมือนถูกฟ้าผ่า
ทุกอย่างหยุดชะงักลงทันที
เยี่ยซิวไม่เคยเรียกชื่อเขาแบบนี้ ไม่เคยเรียกเขาว่าเหวินโจว ยกเว้นเมื่อแปดปีก่อน
“…จำได้ด้วยหรือครับ” เสียงเบาหวิวลอดผ่านออกมาจากชายหนุ่ม
“ถึงเกอจะแก่แล้วแต่ก็ไม่ได้โง่นะ” เยี่ยหัวเราะ ทีแรกเขาก็ไม่มั่นใจนัก จนได้ประมือกับหวงเส้าเทียน “โตขึ้นมากเลย…เหวินโจว”
เจ้าเด็กน้อยของเขาคราวนั้น โตขึ้นขนาดนี้แล้ว
ความยินดีผุดพรายขึ้นจากเบื้องลึก
มือของอวี้เหวินโจวใหญ่จนกอบกุมมือเขาได้ขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่นะ เยี่ยซิวไม่ทันได้สังเกต
“เธอทำแบบนี้ทำไม”
นัยน์ตาสีเข้มสั่นไหว อวี้เหวินโจวรวบเอวผอมบางกว่าชายหนุ่มปกติไว้แน่น เขาไม่กล้าแม้แต่จะอ้าปากรั้งไว้
อวี้เหวินโจวพลันรู้สึกว่าตนไม่ต่างจากเมื่อก่อน เป็นเพียงเด็กไร้กำลังคนหนึ่งเท่านั้น
อวี้เหวินโจวซุกหน้าลงบนบ่าผอมบางราวกับเด็กตัวน้อยที่ไม่มีที่พึ่ง
“ไม่ไปไม่ได้หรือ” เอ่ยคำพูดที่ไม่เคยได้พูดออกไปเมื่อแปดปีก่อน
คราวนี้จะไขว่คว้าไว้ได้ไหม ความปราถนาของผม
“ฉันต้องกลับไปสะสางเรื่องบางอย่างให้เรียบร้อย”
เขาพักมามากพอแล้ว

 

“…เข้าใจแล้วครับ” อวี้เหวินโจวยิ้ม ดวงตาดำขลับที่หลุบลงมีระรอกคลื่นบางอย่างกระเพื่อมไหว
“เหวินโจว คือฉัน…”
“ผมรู้ เยี่ยซิว ผมรู้” อวี้เหวินโจวพึมพำเสียงแผ่ว
ชายหนุ่มรู้อยู่แล้วว่าต้องมีสักวันที่อีกฝ่ายกลับไปยังที่ของตนเอง
เขารู้ แต่ไม่อยากเข้าใจเลยสักนิดเดียว
รอยยิ้มอ่อนโยนเต็มไปด้วยความขมขื่น
เหมือนกลับไปเฉกเช่นวันวาน มือเล็กๆ ที่ไม่อาจเหนี่ยวรั้งสิ่งใดไว้ได้เลย
“เหวินโจว?”
เยี่ยซิวขมวดคิ้ว ไม่ชอบอวี้เหวินโจวที่เป็นแบบนี้ ไม่ชอบรอยยิ้มที่ราวกับจะแตกสลายของเด็กน้อยคนนั้น
“คุณไปเถอะครับ ขอให้โชคดี” อวี้เหวินโจวยิ้มบางพลางเอ่ยอวยพร
“เหวินโจว ฟังฉัน”
“ครับ ผมฟังอยู่”
“มองฉัน”
คราวนี้สายตาของอวี้เหวินโจวถึงเลื่อนมาสบตาเขาจริงๆ เสียที นัยน์ตาสีเข้มมีแววสั่นไหวที่ปิดไม่มิด
“แล้วฉันจะกลับมา” มือเรียวยกขึ้นแตะบนใบหน้าเหมือนคราแรกที่พวกเขาพบกัน
อวี้เหวินโจวหลับตาลง ใช้มือหนาทาบทับมืออีกฝ่ายเอาไว้ เอียงหน้าแนบสัมผัสที่แสนคะนึงหา ฝ่ามือนั้นอบอุ่นจนแทบอยากจะร้องไห้

 

“ผมจะรอ”

 

อีกสิบปี ยี่สิบปี หรือแม้แต่ตลอดชีวิต

 

ขอแค่คุณกลับมา ผมยินดีที่จะรอ

 

 

 


 

 

เที่ยงคืน เยี่ยซิวออกมาจากบ้าน
ปีกค้างคาวสีดำสนิทขนาดใหญ่กางออก โผบินไปบนท้องฟ้า กลืนไปกับความมืดยามราตรี
ไม่เพียงแต่แวมไพร์ ตอนนี้อมุษย์เผ่าอื่นๆ ก็ถูกคุกคามจากเหล่าฮันเตอร์อย่างหนักหน่วง โดยเฉพาะเขตเจียซื่อที่ขาดอดีตราชาแวมไพร์ที่แกร่งที่สุดอย่างเยี่ยซิวไป
มือคู่นี้ของเขา เปื้อนเลือดผู้อื่นไปมากเท่าไหร่แล้ว
แต่ยังมีเด็กมนุษย์ไม่รู้ความคนหนึ่ง กุมมือเขาขึ้นมา พร่ำบอกว่ามันสวยงามขนาดไหน
เยี่ยซิวนึกถึงวันเวลาที่ได้อยู่ในบ้านเล็กๆ หลังนั้น อยู่ในโบสถ์ร้างแห่งนั้น
เขาไม่ได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขมานานเท่าไหร่กันนะ

 

เยี่ยซิวลงจากบัลลังก์แล้ว แต่ภัยคุกคามขนาดใหญ่นี้ก็ถือเป็นส่วนหนึ่งของหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ ลูกน้องที่ยังภักดีแอบใช้ค้างคาวส่งสารมาบอกสถานการณ์ของเผ่าแวมไพร์ว่าแย่เต็มกลืน
ดังนั้นเยี่ยซิวจึงต้องกลับมาสะสางเรื่องราวทุกสิ่ง
แวมไพร์กระจัดกระจายไปหลายทิศทาง เยี่ยซิวต้องการกำลังรบ การยืมมือจากราชาตนอื่นเป็นทางเลือกสำคัญ
ใจกลางป่าลึกลับ เป็นสถานที่นัดพบของเขากับใครบางคน
ร่างกายใหญ่โตปกคลุมไปด้วยขนสีน้ำตาลเข้ม เมื่อเยี่ยซิวมาถึง ดวงตาแวววาวดุจสัตว์ร้ายก็ตวัดมองมาอย่างดุดัน ร่างทั้งร่างค่อยๆ หดเล็กลงจนเหลือขนาดเท่ามนุษย์
“ไง เหล่าหาน”
เยี่ยซิวเอ่ยทักทายผู้ที่แม้จะอยู่ในร่างมนุษย์ก็บึกบึนกว่าเขาสองเท่าอย่างไม่เกรงกลัว ราชาแห่งเผ่ามนุษย์หมาป่าพ่นล่มออกจากจมูก
“ช้า”
“ฮ่าๆ โทษที ติดธุระสำคัญน่ะ” เยี่ยซิวหัวเราะเสียงราบเรียบเป็นโทนเดียว เหล่ามนุษย์หมาป่าตัวน้อยๆ ข้างหลังตัวสั่น กลัวว่าราชาตนจะกระโดดขย้ำคออดีตราชาแวมไพร์จนสิ้นชื่อ
“ฮึ” หานเหวินชิงไม่ใส่ใจคำพูดไร้สาระ พิศมองร่างของผู้ที่เป็นทั้งสหายทั้งคู่ปรับตัวฉกาจ ได้ข่าวว่าโดนโค่นล้มไม่ใช่หรือ ทำไมถึงดูกินดีอยู่ดีสุขภาพดี หน้าตาอิ่มเอมอย่างนี้ กระนั้น จมูกก็ยังได้กลิ่นบางสิ่งที่แปลกปลอม “กลิ่นมนุษย์”
“ไม่ต้องใส่ใจๆ ระหว่างทางมีเหตุนิดหน่อย” สมเป็นมนุษย์หมาป่า จมูกดีจนน่ากลัว
“มาแล้ว” อยู่ๆ หานเหวินชิงก็เอ่ยขึ้น เงาร่างของบางสิ่งทิ้งตัวลงมาจากฟากฟ้า รอจนอีกฝ่ายเก็บปีกแล้วสังเกตเห็นคนที่ยืนข้างกันนั่นแหละ
“เยี่ยซิว”
ราชาปัจจุบันของเหล่าแวมไพร์เอ่ยด้วยน้ำเสียงหวั่นไหว
“ได้เวลาแล้ว พวกเราก็ไปกันเถอะ”
หลังจากนี้พวกเขาต้องไปรวมกับราชาตนอื่น การจะกวาดกวาดล้างฮันเตอร์จำต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกฝ่าย

 

เยี่ยซิวไม่ทันได้กางปีกก็ถูกฝ่ามือของใครบางคนคว้าหมับ ซุนเสียงจับจ้องอดีตราชาแวมไพร์อย่างตรงไปตรงมา
“เรื่องระหว่างเรา แก้ไขไม่ได้แล้วจริงๆ หรือ”
น้ำเสียงแข็งกร้าวมีร่องรอยของการเว้าวอน เยี่ยซิวส่ายหน้าช้าๆ กระหวัดหวนนึกถึงเด็กน้อยที่จับมือเขาไว้ไม่ยอมปล่อยทั้งคืน

 

“อา ยังมีเด็กน้อยขี้เหงารอฉันอยู่น่ะ”

 

 


 

 

รุ่งเช้าที่อวี้เหวินโจวตื่นขึ้นมา เยี่ยซิวก็หายไปแล้ว
อวี้เหวินโจวภายนอกไม่มีปฏิกริยาใดๆ เรื่องไหนที่ควรทำก็ไปทำซะ ตื่นเช้าไปโบสถ์ ใช้วจนะของพระเจ้าปลอบประโลมผู้คน
รวมถึงตัวเขาเอง
อวี้เหวินโจวไม่เคยเชื่อในพระเจ้า แต่หากพระองค์มีจริง เขาขอภาวนา
ลึกๆ ในใจเขารู้ดี แม้เป็นพระเจ้าก็ไม่อาจทำความปราถนาของเขาให้เป็นจริงได้
เยี่ยซิว คนเดียวที่จะทำให้คำภาวนาของผมเป็นจริงได้มีแค่คุณ
ดังนั้น ได้โปรดกลับมาเถอะครับ

 

 

อวี้เหวินโจวเข้ามาทำความสะอาดโบสถ์ร้างใกล้ชายป่าเช่นที่เคยทำเป็นประจำ
แสงอาทิตย์ที่ส่องผ่านกระจกสีตกกระทบลงบนแท่นพิธีดูเปล่งประกายงดงามยิ่งกว่าวันไหนๆ

 

“จริงๆ เลย” บาทหลวงหนุ่มเอ่ยด้วยเสียงจนใจ แต่สีหน้าทวีความอ่อนโยนยิ่งขึ้น คนคนนี้มาถึงก็หลับบนแท่นพิธี ช่างไม่มีความเกรงกลัวอะไรเอาเสียเลย
แต่สมกับเป็นคุณ
ปลายนิ้วค่อยๆ ไล้ตามกรอบหน้าอย่างทะนุถนอม
“กลับมาแล้วหรือครับ”
เยี่ยซิวขมวดคิ้วเล็กน้อย ไม่รู้ว่าเป็นเพราะรำคาญสัมผัสหรืออย่างอื่น แต่ครู่เดียวริมฝีปากก็ยกยิ้ม เผยให้เห็นเขี้ยวเล็ก ๆ ส่งเสียงตอบในลำคออย่างแผ่วเบา
“อืม กลับมาแล้ว”

 

ถ้อยคำนี้ ในที่สุดก็ได้รับการตอบกลับเสียที

 

อวี้เหวินโจวจุมพิตบนเปลือกตาอีกฝ่ายอย่างแผ่วเบา น้ำเสียงอ่อนโยนถูกเอื้อนเอ่ยอย่างยินดี
คราวนี้จะไม่ปล่อยไปอีกแล้ว

 

“ยินดีต้อนรับกลับครับ เยี่ยซิว”

 

 

 

—FIN—

 

 

เรื่องนี่เขียนขึ้นมาเพราะอยากแต่งเรื่องราวอีกมุมหนึ่งที่อวี้เหวินโจวเป็นเพียงแค่คนธรรมดา มีความรัก มีความปราถนา มีความเห็นแก่ตัว แต่ไม่อาจทำตามใจได้ทุกอย่าง ไม่อาจเหนี่ยวรั้งคนที่ตนรักเอาอย่างที่ใจต้องการได้ นานๆ ทีก็มีช่วงเวลาที่ไม่เป็นผู้ใหญ่บ้าง
เป็นอีกมุมหนึ่งที่ชอบมาก และหวังว่าทุกคนจะอ่านอย่างมีความสุขค่ะ
QZGS

[Fic QZGS] – ชายตาโตกับกระต่ายขาว (หวังเยี่ย)

Fic 全职高手 – ชายตาโตกับกระต่ายขาว (หวังเจี๋ยซี x เยี่ยซิว)
#Auweekly มหาลัย ย้อนหลัง #หวังเยี่ย

 

 

บ่ายวันหนึ่งหวังเจี๋ยซีกลับมาจากห้องสมุด เดินลัดเลาะไปทางสระน้ำหลังมหาวิทยาลัยเฉกเช่นทุกวัน มือขวาถือกล่องข้าวที่นำมาจากบ้าน กะว่าจะไปกินในที่ประจำของเขา
แต่วันนี้มีบางสิ่งที่ต่างออกไป

 

เขาเจอกระต่ายตัวหนึ่งแทน

 

 

กระต่ายตัวนั้นนอนเหยียดยาวอยู่ใต้ร่มไม้
หวังเจี๋ยซีพิจารณากระต่ายสีขาว ดูบอบบางฟูนุ่ม น่าซุกตัวลงใกล้ๆ เป็นที่สุด
ที่ประจำของเขาถูกเจ้ากระต่ายตัวนี้ยึดครองไปแล้ว
กระต่ายหลับท่าทางสุขสบายจนไม่อยากรบกวน
หวังเจี๋ยซีลังเลเล็กน้อย แล้วตัดสินใจทิ้งตัวลงข้างๆ กระต่าย
จนกระทั่งกินข้าวเสร็จ กระต่ายก็ยังไม่ตื่น
หวังเจี๋ยซีลุกขึ้นยืน ก่อนจากยังรีๆ รอๆ สุดท้ายก็ทิ้งขนมที่บังเอิญนำติดมาด้วยไว้ให้กระต่าย

 

ถ้าตื่นมากินก็คงดี

 

 

วันนี้ก็ยังอยู่
หวังเจี๋ยซีคิด ขณะเดินไปใกล้กระต่ายที่นอนขี้เกียจอยู่ที่เดิม
ขนมที่เขาวางไว้ให้ก็ไม่อยู่แล้ว
หวังเจี๋ยซีนั่งลงที่ตำแหน่งเดิมเฉกเช่นเมื่อวาน เปิดข้าวกล่องนั่งลงกินไปเรื่อยๆ
มองกระต่ายไปกินข้าวไปก็เจริญอาหารอยู่เหมือนกัน
หวังเจี๋ยซีสังเกตเห็นตั้งแต่ครั้งก่อนแล้วว่ากระต่ายตัวนี้ดูผอมบางไปสักหน่อย
ข้าวกล่องหมดแล้ว กระต่ายก็ยังคงไม่ตื่น
ได้เวลาเข้าเรียน หวังเจี๋ยซีผุดลุกขึ้น

 

ทิ้งขนมที่บังเอิญนำติดมาอีกแล้วไว้ให้กระต่ายอีกเช่นเคย

 

 

วันถัดๆ มาก็ยังคงเป็นเช่นนี้
การมากินข้าว ดูกระต่าย แล้วค่อยไปเรียนกลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของเขาไปแล้ว
กินขนมไปทุกวัน กระต่ายตัวนี้ก็ยังดูผอมเหมือนเดิม
หวังเจี๋ยซีเอามือลูบคาง เริ่มมีความคิดอยากขุนกระต่ายให้ตัวอ้วนท้วนสมบูรณ์

 

 

 วันต่อมา นอกจากขนม เขาทิ้งข้าวไว้ให้กระต่ายกิน

 

กระต่ายจะชอบอาหารฝีมือเขาไหมนะ

 

 

วันนี้กระต่ายไม่อยู่
หวังเจี๋ยซีรู้สึกผิดหวังอย่างประหลาด
มองกล่องข้าวในมือแล้วถอนหายใจ
ดูท่าเขาต้องกินข้าวคนเดียวสองกล่องแล้ว

 

 

 วันนี้เขามาเร็วกว่าปกติเล็กน้อย ตั้งใจจะมาดูว่ากระต่ายมาหรือยัง
แต่ใต้ต้นไม้ว่างเปล่าอีกแล้ว
ใจของเขาเริ่มห่อเหี่ยว กินข้าวคนเดียวหมดทั้งสองกล่องอีกครั้ง

 

 

 วันนี้ก็ยังไม่มา
หรือว่าจะเกิดอุบัติเหตุอะไรขึ้นหรือเปล่านะ
มือกำกล่องข้าวทั้งสองแน่น
หวังเจี๋ยซีเริ่มรู้สึกกระวนกระวาย

 

 

 ไม่มา ไม่มา ไม่มา
ไม่รู้ว่าเขากินข้าวคนเดียวในปริมาณสองเท่ามากี่วันแล้ว
แต่เขาก็ยังคงดื้อรั้น ทำมาสองชุดเสมอ
เพียงเพราะหวังอยากจะเห็นเจ้ากระต่ายปรากฏตัวอยู่ใต้ต้นไม้

 

จะไม่มาอีกแล้วจริงๆ น่ะหรือ

 

 

เช้านี้อาจารย์ประจำวิชาของหวังเจี๋ยซียกเลิกคลาส ทำให้เขามีเวลามาเตร็ดเตร่อยู่แถวสระน้ำด้านหลังอีกหน
และแล้ววันนี้ก็มีสิ่งพิเศษเกิดขึ้น
หวังเจี๋ยซีสังเกตเห็นเงาร่างสีขาวๆ อยู่ไม่ไกล
เขารีบวิ่ง ก้อนเนื้อในอกข้างซ้ายเต้นระรัวด้วยความหวัง

 

 กระต่ายกลับมาแล้ว

 

 

 

หวังเจี๋ยซีหอบฮัก ก้มมองกระต่ายที่หลับตาพริ้มอยู่ใกล้ปลายเท้าตน
เส้นไหมสีดำยุ่งเหยิงไม่เป็นทรง แต่ดูเรียบลื่น ชวนให้อยากสอดมือเข้าไป แล้วสางเบาๆ
ไวเท่าความคิด หวังเจี๋ยซีปัดผมที่ปรกหน้าอีกฝ่ายอย่างแผ่วเบา ปลายนิ้วสอดเข้าไปในกลุ่มผม ให้ความรู้สึกทั้งนุ่มทั้งลื่นอย่างที่จินตนาการไว้ไม่มีผิด
แพขนตายาวขยับไหวน้อยๆ
กระต่ายกำลังจะตื่น

 

 

เยี่ยซิวรู้สึกว่ามีบางอย่างขยับยุกยิกบนเรือนผม
เขารู้สึกตัวตื่นขึ้นมา
ดวงตาสีดำสนิทกระพริบปริบๆ ค่อยๆ ปรับโฟกัสสายตามองรอบข้าง
และเบื้องหน้าเขามีผู้ชายแปลกหน้ากำลังจ้องเขาอยู่หนึ่งคน
“เอ่อ ไง” เขาตัดสินใจทักทายออกไปคำหนึ่ง

 

เสียงกระต่ายฟังดูเรียบเรื่อย ทุ้มนุ่ม รื่นหูเป็นอย่างมาก
นี่คือสิ่งที่แวบเข้ามาในหัวหวังเจี๋ยซีเมื่ออีกคนเอ่ยปาก
“มีอะไรหรือเปล่า” เมื่อเห็นเขายังไม่ตอบ อีกฝ่ายก็เอียงคอเล็กน้อย ดวงตาปรือๆ ยังมีแววง่วงงุนอยู่
น่า…
น่าฟัดมาก…
ภายนอกหวังเจี๋ยซีทำหน้าเรียบเฉย หยิบอาวุธลับที่เขาเตรียมมาให้กระต่ายอยู่ทุกวัน
“หิวไหม”
เยี่ยซิวได้กลิ่นอาหารลอยมาจากวัตถุปริศนาพยักหน้าทันทีอย่างแทบไม่ต้องคิด
ชายตาโตมองกระต่ายที่กินข้าวช้าๆ ท่าทางเอร็ดอร่อย ด้วยความรู้สึกอิ่มเอมอย่างบอกไม่ถูก
รอจนกระทั่งทั้งคู่กินข้าวเสร็จแล้ว หัวสมองเยี่ยซิวเริ่มแล่นเป็นปกติ เขาจึงถามออกมาด้วยสีหน้าแปลกประหลาด
“นาย…คงไม่ใช่คนที่เอาขนมวางไว้ทุกวันหรอกนะ”
“ฉันเอง” หวังเจี๋ยซีก้มหน้าก้มตาเก็บกล่องข้าวอย่างตั้งใจ ไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมามองสักแวบ
“อ้อ…งั้นก็ขอบคุณละกัน!”
“นาย” หวังเจี๋ยซีเกริ่นขึ้นมาคำหนึ่ง “อยู่กับครอบครัว?”
“เปล่า ฉันอยู่คนเดียว”
“เรียนที่นี่?”
“แน่อยู่แล้ว”
“มีคนรักหรือยัง”
“ถามอะไรเนี่ย” เยี่ยซิวเลิกคิ้ว
“ตอบมาเถอะน่า”
“ยัง”

 

 หวังเจี๋ยซีได้ข้อสรุปกับตนเอง

 

นี่เป็นกระต่ายเร่ร่อน ซ้ำยังไม่มีเจ้าของ

 

 

 ในหัวเริ่มร่างแผนการบางอย่างเงียบๆ

 

 

 

หวังเจี๋ยซีมีความคิดอยากเก็บกระต่ายตัวนี้กลับบ้านอย่างจริงจังแล้ว

 

 

 

—-END—-

 

แว่วเสียงพี่หวัง : มาอยู่กับฉันอาหารครบสามมื้อ พร้อมบริการอาบน้ำตัดขนฟรี//ผิด
ไว้มีโอกาสจะมาต่อค่ะ
QZGS

[Fic QZGS] – มือ (ซุนเยี่ย)

Fic 全职高手 – มือ (ซุนเสียง x เยี่ยซิว)

 

 

 

ครั้งแรกที่เจอเยี่ยชิว ซุนเสียงก็ไม่ได้เกิดความประทับใจต่อหมอนี่นัก

 

รูปร่างผอมบาง ผิวขาวราวกับจะส่องแสงได้ ดวงตาและเรือนผมดำขลับ ดูยุ่งๆ และฟูนุ่มเหมือนขนแมว ท่าทางแฝงแววเกียจคร้านอยู่หลายส่วน ปากเรียวบางสีเรื่อชอบคาบบุหรี่เอาไว้อยู่เสมอ

 

แต่หมอนี่มีมือที่สะดุดตาอยู่คู่หนึ่ง

 

มือขาวเรียบเนียนดั่งหยกเนื้อดี นิ้วเรียวยาว เห็นข้อต่อที่ดูเล็กกว่าผู้ชายทั่วไปชัดเจน เล็บตัดสั้นสะอาดสะอ้าน ยามที่ปลายนิ้วพรมลงบนแป้นคีบอร์ด พริ้วไหวราวกับกำลังบรรเลงบทเพลง พาให้หัวใจคนมองกระตุกน้อยๆ

 

ไม่ๆ คนที่หัวใจกระตุกนั่นไม่ใช่เขาแน่ๆ

 

 

ซุนเสียงพึ่งเข้ามาในเจียซื่อได้ไม่กี่วัน ตำแหน่งอะไรก็ยังไม่ระบุแน่ชัด แต่ใครที่มีตาหน่อยก็รู้ได้แล้วว่าน้องใหม่คนนี้จะมาแทนที่ตำแหน่งสำคัญอย่างแน่นอน

 

วันนี้สโมสรเจียซื่อถึงกับจัดงานเลี้ยงฉลองให้กับคนใหม่อย่างซุนเสียง แสดงว่าเขามีน้ำหนักในใจเจ้านายไม่น้อยเลยทีเดียว

 

ส่วนงานเลี้ยงจะมีของมึนเมาเล็กๆ น้อยๆ วันนี้ทุกคนต่างไม่ไปใส่ใจ

 

ซุนเสียงนั่งอยู่หัวโต๊ะ รายล้อมไปด้วยเหล่าลูกทีมของเจียซื่อ ล้อมหน้าล้อมหลังกันจนแทบไม่มีที่ว่าง ซูมู่เฉิงสะท้อนใจ ภาพที่เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมืออย่างนี้ ใจเธอยังรู้สึกรับไม่ได้ เธอมองเยี่ยซิวที่นั่งเงียบๆ อยู่มุมหนึ่งด้วยความเป็นห่วง

 

ที่ตรงนี้มีแค่เยี่ยซิวกับเธอเท่านั้น ลูกทีมบางคนที่มีความเกรงใจก็ยังยิ้มให้บ้าง แต่ส่วนใหญ่พากันไปประจบซุนเสียงกันหมด

 

ที่เธอไม่รู้คือ ซุนเสียงที่ห้อมล้อมไปด้วยผู้คนมากมาย กลับโฟกัสสายตาตรงที่นั่งข้างเธอบ่อยๆ

 

ซุนเสียงลอบสังเกตเยี่ยชิวที่นั่งอย่างโดดเดี่ยว หมอนั่นชอบทำหน้าตายอยู่เรื่อย เดาอารมณ์ไม่ออก

 

 

และตอนนี้เยี่ยซิวกำลังนั่งเหม่ออยู่

 

ในหัวสมองเยี่ยซิวคิดเรื่องสะระตะมากมาย สุดท้ายก็ถอนหายใจออกมาเงียบๆ ระหว่างนั้นแอลกอฮอล์ในมือก็เปลี่ยนเป็นแก้วที่สองแล้ว

 

จนเขาเริ่มรู้สึกว่าหัวมันหนักๆ ก็คิดได้ว่าดื่มมากไปแล้ว เยี่ยซิวลุกขึ้น รู้สึกโลกมันเอียงๆ จึงลาซูมู่เฉิงกลับไปพัก

 

ทีแรกซูมู่เฉิงจะขึ้นไปส่ง แต่เยี่ยซิวบอกปฏิเสธ เธอก็ไม่ไปฝืน เพราะเห็นเยี่ยซิวยังมีสติอยู่บ้าง ประกอบกับผู้จัดการให้คนมาตามตัวเธอพอดี เยี่ยซิวโบกมาลาเธอ หันหลังขึ้นบันไดไปแบบเซๆ

 

คนในงานไม่มีใครสนใจเยี่ยซิวที่กลับห้องไปก่อน

 

 

ยกเว้นคนหนึ่ง

 

 

 

รอจนแผ่นหลังเยี่ยชิวลับจากสายตาไป ซุนเสียงใช้โอกาสที่คนอื่นกำลังคุยสนุกสนานเฮฮาขอตัวออกมาเข้าห้องน้ำ คล้อยหลังผู้คน ซุนเสียงจึงเปลี่ยนไปเดินตามทิศทางที่เยี่ยชิวไปก่อนหน้านี้

 

ซุนเสียงเสียงหยุดอยู่หน้าประตูบานหนึ่ง คือห้องพักของเยี่ยชิว เขาเอื้อมมือจับลูกปิด ปรากฏว่ามันไม่ได้ล็อคเอาไว้

 

เขาสาวเท้าเข้าไปด้านใน เขาไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมตนถึงได้ปลีกตัวออกมา ไม่รู้ว่าทำไมตนถึงเดินตามเยี่ยชิว และยิ่งไม่รู้ว่าทำไมตนถึงเข้ามาถึงห้องนอนของเยี่ยชิวด้วย

 

รอจนถึงข้างเตียง เขาถึงเห็นรูปร่างของคนคนหนึ่ง ผิวขาวซีด รูปร่างโปร่งบาง ดวงหน้ายามหลับดูไร้ซึ่งพิษสงใดๆ ไร้ทางป้องกันอย่างสิ้นเชิง ไม่เหมือนเยี่ยชิวที่ชอบทำหน้าเบื่อหน่ายยามปกติ ปากที่ชอบพูดจาด้วยน้ำเสียงกวนโมโหเผยอออกเล็กน้อย แถมหมอนี่ยังนอนทั้งๆ ที่สวมชุดเดิม ดูเหมือนจะเมามาก

 

เขาจับมือเยี่ยชิวขึ้นมา มือที่เขาคิดว่าเป็นส่วนที่โดดเด่นที่สุดของร่างกายนี้ ดึงดูดสายตาเขาเอาไว้ ไม่อาจละไปไหน

 

รู้ตัวอีกทีริมฝีปากของเขาก็จรดลงบนมือขาวเนียนไร้ตำหนิคู่นั้น พรมจูบไปทั่ว โลมเลียบนฝ่ามือนิ่มจนไม่เหมือนมือผู้ชาย ไล่มายังหลังมือ ขบกัด ดูดดึงไม่หยุด ลิ้นร้อนไล้ตั้งแต่นิ้วโป้ง ลิ้นตวัดเลียตั้งแต่โคนจรดปลายนิ้วจนชื้นแฉะ ทำซ้ำๆ จนครบทั้งห้านิ้ว ดูดเลียจนมือเปียกชื้นไปด้วยน้ำลาย ราวกับลืมตัวตนไปหมดสิ้น ตนคือใคร ทำอะไรอยู่ เวลานี้เขาไม่ไปคิดถึงมัน จดจ่อเพียงสัมผัสเรียบลื่นชวนเสพติด ทำให้โหยหาอย่างบ้าคลั่ง

 

“อือ”

 

เสียงครางในลำคอแผ่วเบากระตุ้นบางสิ่งในตัวซุนเสียงให้ตื่นขึ้น ยิ่งเขาทำให้ริมฝีปากนั้นส่งเสียงครางขืนได้มากเท่าไหร่ ความร้อนด้านล่างก็ยิ่งขยายใหญ่ คับพองจนแน่นไปหมด

 

ซุนเสียงหรี่ตาลง มืออีกข้างสอดเข้าไปสัมผัสกับตุ่มไตอ่อนไหวของอีกฝ่าย เยี่ยชิวส่งเสียงประท้วงในลำคอ บิดเอวหนีความอุ่นร้อนที่ปัดป่ายไปทั่วร่าง

 

“อืม…”

 

ซุนเสียงละมือออกมาจากร่างเบื้องหน้า เลื่อนลงไปบรรเทาความร้อนที่จุดกึ่งกลางให้กับตนเอง ท่อนเนื้อขยับขยายจนราวกับว่าสามารถระเบิดออกมา

 

ริมฝีปากแดงฉ่ำเปล่งเสียงแผ่วๆ เมื่อมือของตนถูกบางอย่างกระตุ้น ความรู้สึกแปลกประหลาดแล่นขึ้นมาเป็นระรอก ใบหน้าขึ้นสีอ่อนๆ น่ามองเพราะฤทธิ์เหล้า

 

เห็นได้ขัดว่ามือของเยี่ยชิวอ่อนไหวขนาดไหน

 

“อึก อือ…”

“ฮึ่ม”

 

ซุนเสียงคำรามเสียงต่ำ แม่งเอ๊ย จะยั่วกันไปถึงไหนวะ

 

ซุนสียงทาบทับลงบนตัวอีกคน ประกบบนริมฝีปากนุ่ม กลิ่นบุหรี่ผสมกับกลิ่นแอลกอฮอล์จางๆ พาให้อารมณ์เตลิด ยิ่งดูดดุน ยิ่งพัวพัน ลิ้มรสราวกับของหวานชั้นเลิศ ย่ิงถอนตัวไม่ได้

 

เขายังคงตักตวงน้ำหวานในโพรงปากอีกฝ่ายอย่างตะกละตะกลาม กอบกุมมือของเยี่ยชิวที่ถูกเขาถือครองไว้แต่แรกให้ลงมาสัมผัสเบื้องล่างของเขา มือที่ชื้นแฉะเปรียบเหมือนสารหล่อลื่น ซุนเสียงนำพาให้มือนั้นรูดขึ้นลงอย่างรวดเร็ว ในที่สุดก็ถึงฝั่งฝัน

 

หลับตาลงลิ้มรสความสุขสมได้เพียงครู่เดียว ซุนเสียงก็ตระหนักได้ว่าเขาทำอะไรลงไป

 

 

 

 

เขาวิ่งหนีหัวซุกหัวซุนออกจากห้องพักนักกีฬาราวกับหนีความผิด

 

ยังดีที่เมื่อครู่เขายังมีสติพอที่จะทำลายหลักฐาน

 

ซุนเสียงรีบเข้าไปในห้องน้ำที่ปลอดผู้คน ปิดประตูล็อคแน่น เมื่อแน่ใจว่าไม่มีใครอื่นก็พรูลมหายใจออกมายาวๆ
มองมือของตน ยังรู้สึกถึงสัมผัสลื่นสบาย ลมหายใจเริ่มถี่กระชั้น หัวใจเต้นแรงจนเจ็บ กลบเสียงอื่นไปทั้งหมดสิ้น

 

 

หลับตาลง ภาพเหตุการณ์เมื่อครู่ฉายวนซ้ำไปซ้ำมาเสมือนกำลังเกิดขึ้นต่อหน้า

 

สองมือกอบกุมความร้อนที่ถูกกระตุ้นขึ้นอีกครั้ง ปากพึมพำ ส่งเสียงเรียกเพียงแค่ใครคนนั้น

 

“เยี่ยชิว อา เยี่ยชิว”

 

มือของเยี่ยชิว ใบหน้าแดงเรื่อของเยี่ยชิว ริมฝีปากอ่อนนุ่มของเยี่ยชิว เอวบางของเยี่ยชิว

 

ทั้งหมดที่เป็นเยี่ยชิว

 

 

ร่างชายหนุ่มกระตุกครั้งหนึ่ง สายธารแห่งอารมณ์พรั่งพรูออกมา

 

 

ซุนเสียงหอบฮัก มองมือที่เปรอะเปื้อนไปด้วยคราบสีขุ่นด้วยอารมณ์สับสน

 

 

 

กับเยี่ยชิวแล้ว เขาคิดอย่างไร อยากทำอย่างไร ซุนเสียงไม่รู้เลยสักอย่างเดียว

 

 

 

 

—-END—-

 

แอร๊ ปลอบใจน้องซุน คืนกำไรให้น้องซุน//ปิดหน้าวิ่งหนีไป