[Secret ] AU – like a Sunday morning (โจวเจ๋อข่าย x เยี่ยซิว) (OOC แน่นอนค่ะ)
ผู้คนรอบข้างเหมือนเป็นภาพพร่าเบลอ
เด็กหนุ่มหอบหายใจ เส้นผมสีเข้มชื้นเหงื่อคลอเคลียใบหน้า ความร้อนอบอ้าวทำให้เขาพลอยรู้สึกเหมือนจะตายให้ได้ เหงื่อไคลเปียกชุ่มเหนียวเหนอะหนะไปทั้งตัว เขาทิ้งตัวลงบนม้านั่ง ผู้คนแออัดที่รุมล้อมเขาเมื่อครู่ทำให้เขาผะอืดผะอมจนต้องหาทางปลีกตัวออกมา
เมื่อแน่ใจว่าไม่มีใครอยู่แถวนี้เด็กหนุ่มก็ถอดแว่นกันแดด หมวก และผ้าคลุมผืนหนาออกก่อนพ่นลมหายใจเหยียดยาว หลับตาเอนหลังพิงพนักบนม้านั่งอย่างเหนื่อยอ่อน เขายังรู้สึกรู้สึกวิงเวียนจากเหตุการณ์เมื่อครู่ไม่หาย เมื่อปลดเปลื้องสิ่งที่ใช้ปกปิดตัวตนออกไป ผิวกายได้ปะทะกับลมธรรมชาติ เขาจึงเริ่มรู้สึกดีขึ้นมานิดหน่อย
ได้ยินเสียงคนพูดขึ้นดังใกล้ๆ ตอนนั้นเขาฟังไม่ออกว่าคนคนนั้นพูดอะไร พอเห็นเขาไม่ตอบก็มีแรงมาสะกิดตรงหัวไหล่เบาๆ เขาไม่ทันได้หันไปก็ต้องสะดุ้งกับความเย็นเฉียบที่แนบแก้ม เด็กหนุ่มรับมาอย่างงุนงง
…น้ำอัดลม?
“เอ้า ดื่มสิ หน้าเหมือนจะตายแล้วนะนั่นน่ะ”
เสียงเรื่อยเฉื่อยดังขึ้นเมื่อเขาเอาแต่ถือกระป๋องน้ำอัดลมนิ่ง เด็กหนุ่มพยักหน้าอย่างว่าง่าย รสชาติซาบซ่านไหลลงสู่ลำคอ รู้สึกเหมือนฟื้นคืนชีพเข้ามาทันที
“ดูดีขึ้นแล้วนี่ ไหวใช่ไหม”
คนคนนั้นยื่นผ้าเย็นมาให้เขา เด็กหนุ่มรับมาอย่างไม่อิดออด หลังจากเช็ดหน้าเช็ดตาจนรู้สึกดีขึ้นมาจึงหันไปหวังจะขอบคุณอีกฝ่าย แต่อีกคนก็ลุกออกไปแล้ว
“…!” เขาลุกขึ้นตามแต่ก็ชะงัก คำพูดติดอยู่ในลำคอ ได้มองตามแผ่นหลังที่เริ่มห่างออกไปเรื่อยๆ เด็กหนุ่มเลิ่กลั่กอยู่ที่เดิม แต่อีกฝ่ายกลับโบกมือลาเขาทั้งๆ ที่ไม่ได้หันกลับมามอง
โจวเจ๋อข่ายนิ่งนึก คนเมื่อครู่หน้าตาเป็นแบบไหนกันนะ ด้วยความมึนเบลอ เขาพบว่าตนเองลืมใบหน้าของใครคนนั้นไปหมดสิ้นแล้ว
สิ่งที่เด่นชัดที่สุดในความทรงจำ ก็มีแต่มือแสนงดงามที่หยิบยื่นความช่วยเหลือมาให้เขาเท่านั้นเอง…
———–
[01 : สวย]
“มือ? มือสวยเนี่ยนะ?” เจียงปัวเทามองใบหน้าหล่อเหลาของลูกพี่ลูกน้อง หวังว่าตนเองจะไม่ได้ฟังผิดไป
“สวยมาก” โจวเจ๋อข่ายพยักหน้ายืนยัน
“แต่ว่านายจำหน้าเขาไม่ได้?”
โจวเจ๋อข่ายพยักหน้าอีกที เจียงปัวเทาเกาหัว อธิบายให้ลูกพี่ลูกน้องของตนเข้าใจ “เจ๋อข่าย แค่มือน่ะมันบอกไม่ได้หรอกนะว่าคนคนนั้นเป็นใคร”
โจวเจ๋อข่ายนิ่งคิดสิบวินาที “อื้ม!”
“…”
“อะไรๆ เสี่ยวโจวปิ๊งผู้หญิงคนไหนรึ” ตู้หมิงพี่ชายบ้านใกล้เรือนเคียง เป็นเพื่อนเล่นกับสองพี่น้องมาตั้งแต่เด็กกล่าวด้วยท่าทางกระตือรือร้น
“พี่เจ๋อข่ายปิ๊งผู้หญิง!” อวี๋เนี่ยนตาโต ตื่นตกใจอย่างมากที่โจวเจ๋อข่ายมีความรู้สึกด้านรักๆ ใคร่ๆ ด้วย “ผู้หญิงคนนั้นต้องสวยมากแน่ๆ เลย”
โจวเจ๋อข่ายส่ายหน้า แต่สักพักก็พยักหน้าหนึ่งที ตู้หมิงกับอวี๋เนี่ยนมึนตึ้บ หันไปมองเครื่องแปลภาษาโดยอัตโนมัติ
“ไม่ได้ปิ๊งผู้หญิง แต่มือสวยน่ะเรื่องจริง” เจียงปัวเทาแจกแจงให้ทั้งสองเข้าใจง่ายๆ ตู้หมิงพยักหน้ารับ ก่อนจะนึกขึ้นได้
“เออใช่ ฉันได้ยินว่ามีร้านกาแฟเปิดใหม่อยู่ถนนข้างๆ พวกนายสนใจไหม” ปิดเทอมพวกเขาชอบมาสุมหัวกันอยู่บ้านโจวเจ๋อข่ายกันเป็นประจำ เหตุผลง่ายๆ เพราะอีกฝ่ายไม่มีปากมีเสียงอะไรนั่นเอง บางครั้งว่างๆ ก็จะชอบชวนกันออกไปหาอะไรกิน
“ร้านกาแฟ? ไม่ไหวมั้ง! ถ้าเจ๋อข่ายไปไม่โดนรุมเอาเรอะ”
ทุกคนในห้องพร้อมใจกันมองใบหน้าหล่อเหลาที่สามารถทำให้ผู้หญิงตั้งแต่ห้าขวบถึงห้าสิบหลงใหลคลั่งไคล้ได้อย่างง่ายดาย โจวเจ๋อข่ายนับว่าถูกผู้หญิงห้อมล้อมมาตั้งแต่เด็ก แถมเร็วๆ นี้ยังรับงานถ่ายแบบเล็กๆ น้อยๆ ด้วย ทำให้ชื่อของโจวเจ๋อข่ายเริ่มรู้จักกันในวงกว้างขึ้น บางทีก็ถูกสาวๆ รุมขอถ่ายรูปจนไปไหนไม่ได้ ยังดีที่ชีวิตในรั้วโรงเรียนไม่ได้รับผลกระทบมากนัก ส่วนหนึ่งเพราะทุกคนเห็นใบหน้าหล่อๆ จนมีภูมิต้านทาน อีกส่วนคือ พ่อเทพบุตรสุดหล่อนั้นมนุษยสัมพันธ์เข้าขั้นติดลบ!
ถ้ามองจากภายนอกนั้นไร้ที่ติก็จริง แต่ลองได้คุยเมื่อไหร่เป็นต้องปวดหัวไปตามๆ กัน คำพูดขาดๆ เกินๆ ของโจวเจ๋อข่ายทำให้คนอื่นไม่เข้าใจว่าเขาต้องการจะสื่ออะไรกันแน่ คนที่ฟังรู้เรื่องเห็นจะมีแต่ครอบครัวและลูกพี่ลูกน้องคนสนิทเท่านั้นกระมัง ขนาดพวกเขายังต้องไปขอให้เจียงปัวเทาช่วยแปลเลย ดังนั้นรอบตัวของโจวเจ๋อข่ายจึงเหมือนมีกำแพงชั้นหนึ่งกั้นระหว่างเขากับคนรอบข้างโดยอัตโนมัติ แม้สาวๆ ชื่นชอบเขาแค่ไหนก็ต้องเว้นระยะจากเขาสามส่วน ถ้าไม่ใช่เพราะแบบนี้เกรงว่าโจวเจ๋อข่ายอาจกลายเป็นคลาสโนวาไปแล้ว
ตู้หมิงเองก็เหมือนพึ่งตระหนักปัญหาข้อนี้ขึ้นมาได้ ลังเลเล็กน้อยแล้วบอก “น่าจะไม่เป็นไรมั้ง ได้ยินว่าร้านนั้นเป็นร้านเล็ก บรรยากาศดี แถมคนไม่เยอะด้วย”
หลังจากถกกันครู่หนึ่ง ทั้งสี่ก็ยังหาข้อสรุปไม่ได้ ต่างคนต่างแยกย้ายกลับบ้านไปก่อน
โจวเจ๋อข่ายถูกแม่ของเขาเรียกลงมาชั้นล่าง หากใครมาเห็นเข้าก็ย่อมไม่แปลกใจที่ใบหน้าของเด็กหนุ่มจะมีอนุภาพทำลายล้างขนาดนี้ เครื่องหน้าของทั้งคุณนายโจวถูกถ่ายทอดมาให้โจวเจ๋อข่ายอย่างลงตัว ดวงตาและปากของเขาเหมือนแม่ ส่วนโครงหน้าได้มาจากพ่อ พ่อของเขาไปทำงานอยู่ต่างเมือง ดังนั้นที่บ้านจึงมีแค่เขากับแม่ และลูกพี่ลูกน้องที่อาศัยอยู่บ้านข้างๆ คอยแวะเวียนมาอยู่เนืองๆ
“เจ๋อข่าย ออกไปซื้อของพวกนี้มาให้แม่หน่อยสิ”
โจวเจ๋อข่ายรับใบรายการจากมารดาของตน ของเหล่านี้ล้วนมีขายที่ซูปเปอร์มาร์เก็ตไม่ไกล เดินเท้าไปไม่นานก็ถึง
“ดูดีจังเลยเนอะ”
“เธอว่าเขาเป็นดาราหรือเปล่า” เสียงซุบซิบดังขึ้นจากรอบข้าง พอโจวเจ๋อข่ายหันไปมอง เด็กสาวกลุ่มนั้นก็พากันหน้าแดง
“ขอถ่ายรูปหน่อยได้ไหมคะ!” เด็กสาวใจกล้าคนหนึ่งโผล่มาเบื้องหน้าเขา ถือโทรศัพท์มือถือเอาไว้ โจวเจ๋อข่ายพยักหน้า กลุ่มเด็กสาวหวีดร้อง พากันมารุมล้อมถ่ายรูปเขา
ผ่านไปนานพอควร โจวเจ๋อข่ายเหลือบมองนาฬิกาข้อมือ เห็นกลุ่มสาวๆ อีกกลุ่มหนึ่งอยู่ที่หางตาทำท่าจะมาขอถ่ายรูปอีกก็เหงื่อตก รีบปลีกตัวหนีออกมา อากาศตอนบ่ายร้อนจนน่าเวียนหัว เขาข้ามมายังถนนเส้นข้างๆ มองซ้ายมองขวา ไม่รู้จะไปทางไหนดี
“ทางนี้”
ระหว่างที่เขากำลังหันซ้ายขวาเลิ่กลั่ก ไม่รู้จะหนีไปที่ใดก็มีชายคนหนึ่งเปิดประตูออกมา เสียงกรุ๊งกริ๊งแว่วมาจากกระดิ่งที่แขวนเหนือประตู โจวเจ๋อข่ายนิ่งไปสามวินาที ก่อนตามชายคนนั้นเข้าไปด้านใน
ลมเย็นของเครื่องปรับอากาศทำให้ร่างกายสดชื่น จมูกได้กลิ่นหอมกรุ่นของกาแฟ โจวเจ๋อข่ายมองไปรอบๆ ร้าน ภายในตกแต่งด้วยสีน้ำตาลของไม้และสีเขียวจากต้นไม้เป็นส่วนใหญ่ พื้นถูกปูด้วยไม้ปาเก้ขนาดไม่กว้างมาก ลูกค้าจำนวนไม่น้อยต่างกระจายไปนั่งตามมุมต่างๆ บางคนก็อ่านหนังสือไปจิบกาแฟไป บางคนก็มีแลปท็อปประจำตัวติดมาด้วย นั่งพิมพ์บางอย่างแข็งขัน
“รับอะไรดี” ชายคนนั้นเดินไปหลังเคาท์เตอร์ ชะโงกหน้าออกมาถามเขา เสียงมีจังหวะโคนเนิบนาบเป็นเอกลักษณ์เช่นนี้ โจวเจ๋อข่ายรู้สึกเหมือนเคยได้ยินจากที่ไหนมาก่อน เขายืนนิ่งอยู่กับที่ เด็กหนุ่มไม่เคยเข้าร้านแบบนี้ ครู่หนึ่งถึงกับไม่รู้จะพูดอะไรดี
ราวกับคนตรงหน้าทราบความคิดของเขา “คุณดูอายุยังน้อยอยู่ รับเป็นลาเต้สักแก้วดีไหม”
พอเห็นรอยยิ้มบางเบาคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มของคนตรงหน้าแล้ว โจวเจ๋อข่ายก็จำไม่ได้ว่าตนตอบอะไรออกไป รู้เพียงมันทำให้รอยยิ้มนั้นกว้างกว่าเดิม ชายคนนั้นก้มหน้า มือเรียวขาวสะอาดตาจัดการสิ่งต่างๆ อย่างเชื่องช้าแต่ดูคล่องแคล่ว โจวเจ๋อข่ายมองเหม่อ ครู่เดียวแก้วกาแฟก็ถูกวางบนหน้าเคาท์เตอร์
“อยากได้ขนมทานด้วยหรือเปล่า” ชายคนนั้นถามด้วยน้ำเสียงสบายๆ ราวกับมีมนต์ล่อลวง โจวเจ๋อข่ายเผลอพยักหน้า สายตาตามติดมือคู่สวยไปยังตู้ขนมหลากชนิด “คุณ…” ชายหนุ่มดูลังเลเล็กน้อย แต่ก็พูดต่อยิ้มๆ “ให้ฉันเลือกให้ไหม”
“…อือ”
ขนมเค้กหน้าตาน่าทานถูกวางลงบนเคาท์เตอร์ข้างๆ แก้วกาแฟ เด็กหนุ่มจับจ้องไปยังมือเรียวอีกครั้ง ความรู้สึกคลับคล้ายคลับคลาผุดขึ้นมาในหัว
“เอ่อ…?” ชายด้านหน้าส่งเสียงขึ้นมาเบาๆ โจวเจ๋อข่ายจึงหลุดออกจากภวังค์ เหลือบมองป้ายชื่อสีดำตรงหน้าอกของอีกฝ่าย
เยี่ยซิว…โจวเจ๋อข่ายสลักชื่อนี้ไว้ในความทรงจำแล้ว
“เดี๋ยวก่อน” ขณะที่โจวเจ๋อข่ายกำลังจะเดินออกจากร้าน เยี่ยซิวพลันส่งเสียงขึ้นมาอีกครั้ง เด็กหนุ่มรีบหันกลับไป ดวงตาเป็นประกายคล้ายรอคอย
“คุณลืมจ่ายเงินน่ะ”
“…”
รอจนโจวเจ๋อข่ายเดินใจลอยกลับมาถึงบ้าน ถึงตระหนักได้ว่าตนลืมอะไรบางอย่าง
…เขาลืมของที่แม่ฝากซื้อไปเสียสนิท
———–
[02 : น่ารัก]
รุ่งขึ้นโจวเจ๋อข่ายก็โผล่หน้ามาที่ร้านกาแฟซิงซิน เยี่ยซิวกล่าวต้อนรับทั้งๆ ที่ก้มหน้าพร้อมคาบบุหรี่ไว้ในปาก เสียงที่เปล่งออกมาจึงฟังแปร่งหู เมื่อวานเขาไม่ทันได้สังเกต วันนี้จึงได้เห็นพนักงานหญิงสองคนนอกเหนือจากเยี่ยซิว รวมทั้งผู้คนที่บางตาลง อาจจะเพราะยังเป็นเวลาเช้าอยู่
โจวเจ๋อข่ายตรงไปหน้าเคาท์เตอร์ที่มีชายหนุ่มร่างโปร่งยืนอยู่ด้านหลัง อ้าปากจะพูดบางอย่างแต่ก็เปลี่ยนใจยืนมองเงียบๆ รอจนเยี่ยซิวเป็นคนสังเกตเอง ชายหนุ่มสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อเงยหน้าขึ้นมาเจอเขาแต่แล้วก็ส่งยิ้มการค้าให้
“รับอะไรดีครับ”
“เมื่อวาน…”
เยี่ยซิวเงียบรอฟัง แต่จบแค่นั้น ไม่มีต่อแล้ว
บาริสต้าหนุ่มเลิกคิ้วขึ้น เลือกที่จะถามเพื่อความแน่ใจ “เอ่อ เอาแบบเมื่อวาน?”
“อื้อ”
เยี่ยซิวท่อง ลูกค้าคือพระเจ้า สามจบในใจก็ยิ้มบางให้ไอ้หนูที่ยืนหน้ามึนๆ อยู่ตรงข้ามพลางบอกให้ไปนั่งรอที่โต๊ะก่อน
โจวเจ๋อข่ายเดินไปนั่งอย่างไม่อิดออด เด็กหนุ่มเลือกมุมที่เห็นอีกฝ่ายชัดเจนที่สุด ครู่เดียวเยี่ยซิวก็นำกาแฟร้อนมาเสิร์ฟให้ที่โต๊ะ แม้จะมีพนักงานอีกสองคน แต่เยี่ยซิวก็เลือกนำมาเสิร์ฟให้เด็กหนุ่มด้วยตนเอง
โจวเจ๋อข่ายลอบมองคนที่กำลังก้มตัวลง เยี่ยซิวอยู่ในเชิ้ตสีขาวหลวมๆ สวมกางเกงขายาวสีดำทำให้รูปร่างดูสูงโปร่ง สะโพกสอบถูกปิดบังภายใต้ผ้ากันเปื้อน มือขาวดั่งหยกค่อยๆ บรรจงวางแก้วเซรามิกลงเบื้องหน้าเขา
“นี่…” โจวเจ๋อข่ายชี้ขนมปังที่เขาไม่ได้สั่งอย่างงุนงง การกระทำนั้นเรียกเสียงหัวเราะจากคนอายุมากกว่าเบาๆ
“เด็กกินเยอะๆ จะได้โตไวๆ”
ความใกล้ชิดที่เกิดขึ้นโดยบังเอิญทำให้โจวเจ๋อข่ายได้กลิ่นขมเฝื่อนเจือจางผสานกับกลิ่นหอมของกาแฟโชยออกมาจากเรือนร่างของเยี่ยซิว เด็กหนุ่มเผลอสูดหายใจเข้าลึก ความหอมฟุ้งกระจายเต็มปอด เมื่อร่างของอีกคนผละจาก โจวเจ๋อข่ายถึงกับบังเกิดความรู้สึกเสียดายเล็กๆ ขึ้นมา
เด็กหนุ่มยกมือลูบแผ่นอกที่สั่นไหวเมื่อครู่อย่างไม่ใคร่เข้าใจนัก
หลังจากวันนั้นโจวเจ๋อข่ายก็มาเยือนที่ซิงซินทุกวัน
ลูกค้าทยอยเข้ามาอย่างไม่ขาดสาย ช่วงเที่ยงถึงบ่ายเป็นเวลาที่ลูกค้าหนาแน่นที่สุด เยี่ยซิวยุ่งจนมือเป็นระวิง ต้องอยู่ประจำที่หลังเคาท์เตอร์ตลอด ถึงบาริสต้าหนุ่มจะทำช้าแต่ก็มีลูกค้าหลายคนยินดีรอ โจวเจ๋อข่ายคิดว่าร้านเปิดใหม่คงมีคนไม่เยอะ แต่พอนึกถึงรสชาติที่เขาได้ดื่มลงไปก็เข้าใจ
ความหอมหวานนุ่มละมุนอย่างลงตัว รับรู้ถึงรสชาติขมเฝื่อนที่ปลายลิ้น ชวนให้อยากลิ้มลองซ้ำแล้วซ้ำอีก
เมื่อผ่านช่วงวุ่นวายไปแล้วเยี่ยซิวก็ใช้แขนเสื้อเช็ดเหงื่อลวกๆ เห็นไอ้หนูคนเมื่อเช้าที่นั่งจุ้มปุ๊กอยู่กับที่ตั้งแต่เช้าจรดเย็นเสมือนมีใครเอากาวมาทาไว้ทุกวันๆ เอาแต่มองเขาเหมือนมีอะไรติดอยู่บนหน้า
“หิวหรือ?” น้ำเสียงมีความหยอกล้อปนอยู่สามส่วน เด็กหนุ่มชะงัก
“…อือ”
โจวเจ๋อข่ายจับจ้องริมฝีปากสีเรื่อ นึกสงสัยว่ารสชาติจะเป็นเช่นไรกันนะ…
“อ้อ…” ชายหนุ่มลากเสียงยาว ดวงตาดำขลับพราวระยับขึ้น “กินไหม”
โจวเจ๋อข่ายพยักหน้าอย่างไม่ต้องคิด ได้ยินเสียงหัวเราะแผ่วจางเสมือนรู้ทันของอีกฝ่ายก็รู้สึกร้อนที่ใบหน้า เยี่ยซิวหมุนตัวหยิบเค้กนมสดออกมาจากตู้ชิ้นหนึ่งยื่นให้เขา โจวเจ๋อข่ายยื่นมือออกไปรับโดยอัตโนมัติ
“หิวก็กินสิ เอาแต่มองหน้าเกออยู่นั่น เกอกินไม่ได้หรอกนะ” เยี่ยซิวยืนเอนตัวพิงเคาท์เตอร์ด้วยท่วงท่าสบายๆ มือขาวสะอาดตาควักบุหรี่ขึ้นมาสูบ ปกติเขามักจะไม่สูบเวลาทำงานเท่าไหร่ ยกเว้นช่วงเช้าที่ลูกค้าน้อย และหลังจากช่วงเย็นที่ลูกค้าทยอยกลับเกือบหมดแล้วเพราะต้องการผ่อนคลาย
“..น่ากิน”
“แค่กๆๆ” เยี่ยซิวสำลักควันบุหรี่ จากนั้นก็ทำหน้ากระอักกระอ่วน “…หมายถึงเค้ก?”
โจวเจ๋อข่ายจ้องหน้าอีกฝ่าย นิ่งไปสิบวินาทีก่อนจะตอบ “อืม”
เยี่ยซิวรู้สึกหัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้ ทำไมนับวันเขายิ่งไม่เข้าใจเด็กสมัยนี้มากขึ้นทุกที
———–
สามหน่อล้อมวงผู้ที่รูปหล่อที่สุดในกลุ่มหน้าเคร่ง เหมือนรอฟังคำตัดสินจากศาล เด็กหนุ่มที่อยู่ตรงกลางวงมีใบหน้าเรียบเฉย แต่ถ้ามองดีๆ จะเห็นแววเขินอายประหนึ่งหนุ่มน้อยหัดรัก
“เจอแล้ว”
“เจอ? ใคร?” ทุกคนต่างมึนงงกับคำพูดไม่มีหัวมีท้ายของโจวเจ๋อข่ายเป็นอย่างมาก
โจวเจ๋อข่ายเว้นจังหวะไปครู่หนึ่ง “มือสวย”
“อ๋อ! คนที่ช่วยเจ๋อข่าย แล้วเจ๋อข่ายบอกว่ามือสวยคนนั้นใช่ไหม” สมกับเป็นเครื่องแปลงภาษาประจำกลุ่ม เจียงปัวเทายังคงเป็นคนเดียวที่เข้าใจโจวเจ๋อข่ายเร็วที่สุด
“อ๋า คนที่พี่เจ๋อข่ายปิ๊งนี่เอง!” อวี๋เนี่ยนน้องเล็กเองก็นึกออกแล้ว
“แล้วเป็นไงบ้าง สวยไหมๆ” ทุกคนรุมล้อมรอบโจวเจ๋อข่ายอย่างตื่นเต้น
เด็กหนุ่มส่ายหน้า ได้ยินเสียงคนรอบข้างถอนใจอย่างเสียดาย โจวเจ๋อข่ายนิ่งคิดอีกนิด ก่อนกล่าวสริม “น่ารัก”
“น่ารัก?” เจียงปัวเทาเลิกคิ้ว
“อืม น่ารัก” ใบหน้าหล่อเหลาคมคายของเด็กหนุ่มมีรอยแดงพาดผ่านจางๆ
“เจอที่ไหนล่ะ” ตู้หมิงยื่นหน้าเข้ามาถาม โจวเจ๋อข่ายเอียงคอนิ่งคิดอีกครู ก่อนจะตอบ
“ร้านกาแฟ”
“ไม่มั้ง บังเอิญขนาดนั้นเลยเหรอ” เจียงปัวเทาผู้เข้าใจความหมายเพียงคนเดียวเอ่ยอย่างพิศวง จากนั้นก็ค่อยๆ แปลให้เพื่อนทั้งสองฟัง
“แบบนี้ต้องเป็นพรหมลิขิตแน่นอน!” ตู้หมิงกำหมัดแน่น “น้องชาย ถ้าต้องการความช่วยเหลือบอกพี่ได้เลยนะ!”
คนที่เหลือต่างมองตู้หมิงด้วยสายตาหยามเหยียด แค่ตัวเองยังเอาไม่รอด จะมีปัญญาไปช่วยคนอื่น?
ตู้หมิงเผชิญกับสายตาทิ่มแทงก็ร้อนตัว ตบไหล่โจวเจ๋อข่ายพร้อมโอ้อวดไปด้วย “อย่าดูถูกฉันไปสิ เรื่องจีบสาวทำนองนี้ฉันก็รู้บ้างล่ะน่า”
“งั้นต้องทำยังไง ไหนพี่ลองบอกสิ!” อวี๋เนี่ยนส่งเสียงขึ้นจมูก
“ฮึ่ม ฟังนะเจ๋อข่าย…”
และแล้วคืนนั้นห้องของโจวเจ๋อข่ายก็เปิดไฟสว่างจ้าพร้อมทั้งมีเสียงพูดคุยลอดออกมาเบาๆ ตลอดทั้งคืน
———–
[03 : ใจดี]
โจวเจ๋อข่ายมาเยือนร้านซิงซินอีกครั้งแต่เช้าตรู่ตามคำยุแยงของตู้หมิง แต่พอมาถึงกลับยืนคอตกอยู่หน้าร้าน
…ร้านยังไม่เปิด
วันนี้โจวเจ๋อข่ายคงรีบร้อนไปหน่อย มารอตั้งแต่หกโมงเช้า ถนนดูเงียบสงบ รถราก็ยังไม่วิ่งกันเสียเท่าไหร่ โจวเจ๋อข่ายยืนรอ แสงแดดอ่อนๆ เริ่มทวีความร้อนขึ้น แต่เขาก็ยังอดทนรอ เพียงเพราะอยากเจอ
…อยากเจอเยี่ยซิว…
เยี่ยซิวเปิดประตูออกมาจากคนเหงื่อท่วมอยู่หน้าร้านก็เบิกตากว้าง ไม่รู้เจ้าหนูนี่มายืนนานแค่ไหนแล้ว เยี่ยซิวแสนจะอ่อนใจ กวักมือเรียกเด็กหนุ่มที่ยืนใช้สายตาเศร้าซึมมองเขาให้เข้ามาด้านในเร็วๆ
เห็นเยี่ยซิวยุ่งกับการเตรียมของ โจวเจ๋อข่ายก็ไม่กล้ากวน ได้แต่นั่งรออย่างว่าง่าย
“เอ้า” ชายหนุ่มวางแก้วน้ำเปล่าลงบนโต๊ะ โจวเจ๋อข่ายรีบคว้ามาเพื่อดับกระหาย ดวงตาหลุบลง เอ่ยเบาๆ
“…ขอบคุณ”
“ไม่เป็นไร แค่น้ำเปล่าเกอไม่คิดเงินหรอก”
โจวเจ๋อข่ายส่ายหน้า แล้วบอกออกไป “ที่ช่วยวันนั้น”
“อ้อ ตอนนั้นเองหรือ…” ชายหนุ่มนิ่งนึก จะว่าไปก็เคยเหตุการณ์แบบนั้นขึ้นจริงๆ
“โจวเจ๋อข่าย” เด็กหนุ่มบอกชื่อของตน
“เยี่ยซิว” อีกฝ่ายตอบกลับมาด้วยเสียงเรียบเรื่อยน่าฟัง แม้โจวเจ๋อข่ายจะรู้อยู่แล้ว แต่ก็ไม่ได้รังเกียจรังงอนที่จะได้ยินจากปากอีกฝ่ายด้วยตัวเอง
“เยี่ยซิว” เขาทวนซ้ำอีกครั้ง ยื่นมาไปกุมมือเรียวสวยเปล่งประกาย “ชอบ”
“เอ่อ ขอบใจนะ” เยี่ยซิวหัวเราะแห้งแล้ง ดึงมือให้หลุดจากการเกาะกุมอย่างแนบเนียน “เกอไปทำงานก่อนล่ะ”
ช่วงบ่ายลูกค้ายังเยอะเช่นเคย โจวเจ๋อข่ายเห็นเยี่ยซิวยุ่งจนหัวหมุนก็ลุกไปหา ใช้สายตาใสๆ เหมือนลูกหมาอ้อนขออาหารมองเยี่ยซิว
เยี่ยซิวทนการโจมตีแบบนี้ไม่ได้จริงๆ จำต้องหันมาถาม “มีอะไรหรือ”
“อยากช่วย”
“หืม เอาสิ!” แล้วเยี่ยซิวก็จัดให้โจวเจ๋อข่ายได้ช่วยสมใจ
….
โจวเจ๋อข่ายเวลานี้ถูกหญิงสาววัยทำงานล้อมหน้าล้อมหลังกรี๊ดกร๊าด ประเดี๋ยวถูกเรียกไปทางนั้น ประเดี๋ยวกลับมารับออร์เดอร์ทางนี้ เยอะแยะจนเขาเริ่มตาลาย ได้แต่ส่งสายตาขอความช่วยเหลือไปให้คนด้านหลังเคาท์เตอร์ที่ยืนชงกาแฟไม่รู้ไม่ชี้
เฉินกั่วยืนมองเหตุการณ์ดังกล่าวอย่างเอือมระอา ขนาดหนุ่มน้อยไร้เดียงสาไอ้หมอนี่ยังไม่วายไปแกล้งเข้า น่าเหยียดหยามจริงๆ
ทีแรกที่เธอเปิดร้านกาแฟก็แค่ทำตามความฝันของบิดาเท่านั้น เริ่มต้นเธอก็ขายได้ไม่ดีเท่าไหร่ เฉินกั่วมีทุนพอจ้างพนักงานแค่สองคน หนึ่งในนั้นคือถังโหรวเพื่อนสนิทของเธอ จนวันหนึ่งเยี่ยซิวก็มาปรากฏตัวหน้าร้าน สภาพเหมือนคนหนีออกจากบ้าน มือหนึ่งหอบกระเป๋าเดินทางใบโต ท่าทางเอื่อยเฉื่อยบอกอย่างยียวนว่า ถ้าไม่อยากให้ร้านเจ๊งก็รับเขาไว้ซะ โอเค น้ำเสียงของหมอนั่นไม่ได้กวนอะไรหรอก แต่คำพูดคำจาฟังแล้วชวนมีน้ำโหมาก เฉินกั่วเกือบไล่ตะเพิดออกไปแล้ว ติดที่เสี่ยวถังบอกให้เขาลองดูก่อนไม่เสียหาย ตนถึงให้หมอนี่เข้ามา ตั้งใจว่าถ้ารสชาติห่วยแตกจะจับโยนออกไปนอกร้านซะ
แต่เธอก็ไม่ได้ทำ
ไม่ใช่เพราะเฉินกั่วเป็นคนดีมีเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์อะไรขนาดนั้น แต่เพราะหมอนี่ชงกาแฟอร่อยมาก
พอเยี่ยซิวลงมือชงกาแฟ รอบตัวก็ดูเงียบสงบชวนสบายใจ แถมยังสามารถดึงรสชาติเข้มข้นและกลิ่นหอมของกาแฟออกมาได้ดีเป็นอย่างมาก สุดท้ายเธอจึงตกลงใจจ้างเยี่ยซิวเอาไว้ ข้อตกลงมีเพียงที่อยู่อาศัยกับเงินจำนวนหนึ่งเท่านั้น เธอให้เยี่ยซิวพักอยู่ที่ชั้นสองของร้าน ส่วนเธอกับเสี่ยวถังพักอยู่ที่บ้านไม่ไกลจากร้านนัก พวกนี้นับว่าไม่มากเลยเมื่อเทียบกับความสามารถของอีกฝ่าย เฉินกั่วแอบสงสัยว่าบางทีเยี่ยซิวน่าจะไปสมัครงานร้านดีๆ กว่านี้ได้ แต่เลือกที่จะไม่ทำ
อะไรก็ช่างเถอะ เอาเป็นว่าเยี่ยซิวอยู่ที่ซิงซินแล้วดีมาก ปกติเฉินกั่วจะมีลูกค้าประจำคอยแวะเวียนมาบ้างก็จริง แต่ก็ไม่ได้เยอะจนล้นร้านแบบตอนนี้ เธอจึงทำใจให้ร่มๆ พยายามฟังหมอนั่นแบบหูซ้ายทะลุหูขวา
แถมเร็วๆ นี้ยังมีหนุ่มน้อยสุดหล่อมาติดบ่วงมารเข้าอีก
ทำไมเธอจะไม่รู้ ก็พ่อรูปหล่อนี่เล่นเทียวไปเทียวมา อยู่เช้าจรดเย็นได้ทุกวันไม่มีเบื่อ ขนาดเธอไม่ได้มาเฝ้าร้านทุกวันยังเจอทุกครั้งที่มาเลย ทีแรกเธอก็คิดว่าแอบมาปิ๊งพนักงานสาวคนไหนในร้านบ้างหรือเปล่า แต่ปรากฏว่าอีกฝ่ายดันมาปิ๊งบาริสต้าหนุ่มของเธอเข้าซะงั้น
เยี่ยซิวก็เหลือเกิน เธอรู้นะว่าหมอนี่น่ะรู้ตัวแต่ทำเมิน แต่เธอจะไปว่าอะไรได้ ขนาดเธอที่เป็นเจ้าของร้านหมอนี่ยังไม่เห็นหัวตนเท่าไหร่เลย!
“เหนื่อยหน่อยนะ!”
ตอนเลิกงานเยี่ยซิวเดินมาตบบ่าโจวเจ๋อข่ายแล้วพูดเช่นนี้ คนอื่นกลับกันหมดแล้ว เหลือแค่เยี่ยซิวที่อาศัยที่นี่อยู่แล้ว กับหมาตัวโตที่ตามติดไม่ห่าง เยี่ยซิวเดินไปอุ่นนมร้อน แล้วยื่นให้เด็กหนุ่มพร้อมรอยยิ้มที่เฉินกั่วมาเห็นจะต้องกรีดร้องว่าหน้าไม่อาย!
โจวเจ๋อข่ายส่ายหน้า เยี่ยซิวเลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจ “ไม่เหนื่อยหรือ”
โจวเจ๋อข่ายส่ายหน้าเป็นคำตอบอีกครั้ง
“ทำไมล่ะ” เยี่ยซิวแปลกใจจนต่อซักไซ้ต่อ
“เพราะคุณ”
คำพูดสั้นๆ แต่มีอนุภาพร้ายแรงทำเอาเยี่ยซิวรู้สึกเหมือนเลือดลมไหลมากองรวมกันที่ใบหน้า เขากระแอมเล็กน้อย กระนั้นก็ยังพูดจาสัพยอกเด็กหนุ่มได้
“เสี่ยวโจวปากหวานจริงๆ มิน่าสาวๆ ถึงติดตรึม”
“เปล่า” โจวเจ๋อข่ายปฏิเสธ ดวงตาเป็นประกายล้อมรอบด้วยแพขนตายาวสบเข้ากับดวงตาเฉยฉาของอีกฝ่าย แต่เขามองเห็นแววสั่นไหวลึกๆ ในนั้น “พูดจริงๆ”
“…เกอว่านายไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเถอะ นี่ก็เย็นแล้ว เดี๋ยวทีบ้านจะเป็นห่วงนะ” เยี่ยซิวหันกลับไปเพื่อที่จะเก็บของ แต่ก็ถูกดึงรั้งเอาไว้ด้วยแรงที่ไม่เบาจนเซถลา โจวเจ๋อข่ายใช้มือโอบประคองร่างโปร่งบางเอาไว้
แล้วประทับลงไปบนกลีบปากอ่อนนุ่มของเยี่ยซิว
โจวเจ๋อข่ายไม่ได้รุกล้ำไปมากกว่านั้น จูบถูกแตะลงบนริมฝีปากอย่างผิวเผิน แผ่วเบาเหมือนปีกแมลงปอแตะกระทบลงบนผิวน้ำ ระลอกคลื่นเล็กพลันกระเพื่อมไหว
….จูบที่พาให้หัวใจสั่นไปทั้งดวง….
———–
[04 : มีเสน่ห์]
เยี่ยซิวคิดว่าตนเองตาฝาดไป
เบื้องหน้าของเขามีเด็กหนุ่มนั่งอยู่ ใบหน้าหล่อเหลามีเสน่ห์เสียจนเยี่ยซิวเผลอคิดไปวูบหนึ่งว่านั่นไม่ใช่มนุษย์
โครงหน้าสมบูรณ์แบบราวรูปปั้นกรีก เป็นใบหน้าที่พระเจ้าตั้งใจสรรค์สร้างอย่างไม่ต้องสงสัย
ดูเหมือนกำลังอ่อนเพลีย…เยี่ยซิวคิดพลางหันหลังกลับไปในร้านสะดวกซื้ออีกครั้ง หยิบน้ำอัดลมและผ้าเย็นติดมือกลับมาด้วย
“ไหวหรือเปล่า” เขาเข้าไปถามเด็กหนุ่มคนนั้น แต่ไม่มีเสียงตอบรับกลับมาจึงตัดสินใจลองสะกิดดูอีกที อีกฝ่ายขยับตัวยุกยิก ดวงตาภายใต้กรอบขนตายาวดูเลื่อนลอย
“เฮ้” เยี่ยซิวนำกระป๋องน้ำไปแนบที่ข้างแก้ม ได้ผล อีกฝ่ายดูมีสติขึ้นมา รับน้ำอัดลมจากมือเขาไป เมื่อแน่ใจว่าไม่เป็นไรแล้ว เยี่ยซิวจึงจากไปอย่างหมดห่วง
ไม่นึกว่าการพานพบครานั้นจะกลายเป็นโชคชะตา ชักนำให้คนทั้งคู่มาเจอกันอีกครั้งอย่างคาดไม่ถึง
โจวเจ๋อข่ายได้แต่นั่งหงอยเหงามองแผ่นหลังของเยี่ยซิว วันนี้เยี่ยซิวยังไม่ยอมพูดคุยกับเขาแม้แต่ครึ่งคำ ท่าทางนั้นเรียกสายตาเห็นใจจากสองสาวเป็นอย่างมาก
“นายไปรังแกอะไรเขาล่ะ” เป็นเฉินกั่วที่ถามขึ้นมาก่อน
“ฉันน่ะหรือ รังแกเขา” เยี่ยซิวตอบเสียงเอื่อยเฉื่อย ถ้อยคำนั้นเรียกสายตาไม่เชื่อถือจากสองสาว แต่ก็ไม่มีใครไปซักไซ้อะไรอีก
“ปิดร้านดีๆ ล่ะ” เฉินกั่วกำชับ
“คร้าบๆ เจ้านาย”
เยี่ยซิวเช็ดโต๊ะที่มีรอยหยดน้ำเปียกเลอะเทอะ พลันรู้สึกถึงแรงดึงจากด้านหลัง
“…”
โจวเจ๋อข่ายอึกอัก “เยี่ยซิว โกรธ?”
“เปล่า ไม่ได้โกรธ” เยี่ยซิวถอนหายใจ
ถ้อยคำนั้นเรียกรอยยิ้มแต่งแต้มลงบนใบหน้าหล่อเหลา โจวเจ๋อข่ายตาเป็นประกายดีใจ “อื้อ”
“เสี่ยวโจว ชอบฉันหรือ” เยี่ยซิวเลิกอ้อมค้อม ถามตรงๆ โจวเจ๋อข่ายนิ่งไปเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้า
ตอนที่พบกับเยี่ยซิว เหมือนโลกสว่างไสวขึ้นมาทันตา สีสันต่างๆ พลันเปลี่ยนแปร
โจวเจ๋อข่ายไม่รู้ว่าความรู้สึกรักชอบเป็นอย่างไร แต่ถ้าเป็นอย่างที่เขาเป็นอยู่
…เช่นนั้นเขาคงตกหลุมรักเยี่ยซิว…
“ชอบ”
ความจริงใจตรงไปตรงมาของโจวเจ๋อข่ายทำให้สีเลือดฝาดแต่งแต้มลงบนใบหน้าของเยี่ยซิว งดงามพาให้หัวใจเต้นรัว โจวเจ๋อข่ายเหมือนถูกสะกด ค่อยๆ เลื่อนใบหน้าเข้าใกล้เยี่ยซิว ความอุ่นนุ่มทาบทับลงไปอีกครั้ง
ใช้วงแขนวาดโอบเอวบางของอีกคนเอาไว้ บรรจงประทับจูบอย่างลึกล้ำ กลิ่นขมๆ ของควันบุหรี่ปะปนกับกลิ่นกาแฟที่ปลายลิ้น เด็กหนุ่มรุกไล่คนอายุมากกว่าอย่างเก้ๆ กังๆ มือสอดเข้าไปในเส้นไหมสีดำลื่น ประคองศีรษะของอีกฝ่ายให้แหงนหน้ารับจูบของเขา ไร้เทคนิคหรือชั้นเชิงใดๆ มีเพียงความรู้สึกเปี่ยมล้นที่ถูกส่งผ่านไปยังอีกฝ่ายเท่านั้น ส่งมามากเสียจนเยี่ยซิวหายใจไม่ออก
“พอ..พอแล้ว” เยี่ยซิวใช้จังหวะที่ริมฝีปากผละออกจากกันใช้มือปิดปากอีกฝ่ายเพื่อหยุดการกระทำ โจวเจ๋อข่ายบรรจงจุมพิตบนมือเรียวสวยแผ่วเบา มองสบคนตรงหน้าอย่างลึกซึ้ง
“ชอบ”
“รู้แล้ว รู้แล้ว” เยี่ยซิวเบือนหน้าหนีอีกฝ่ายอย่างไม่เป็นธรรมชาติ “เด็กสมัยนี่โตไวกันจริง” เยี่ยซิวบ่นงึมงำ
“เยี่ยซิว?”
“เสี่ยวโจวอายุเท่าไหร่แล้ว”
โจวเจ๋อข่ายเอียงคอ แม้ไม่เข้าใจว่าเยี่ยซิวถามทำไมแต่ก็ตอบไปตามตรง “สิบเจ็ด”
“สิบเจ็ดหรือ เด็กจริงๆ นั่นแหละ” เยี่ยซิวควักบุหรี่ขึ้นมาสูบ สายตาทอดยาวออกไปไกล ครู่หนึ่งถึงหันกลับมาสบตาเขาด้วยท่าทีจริงจัง “รู้ใช่ไหมว่าเกอเป็นผู้ชาย”
“รู้”
“แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังชอบ?”
“อืม”
“ทำไมถึงชอบเกอล่ะ” เรื่องนี้เยี่ยซิวขบคิดเท่าไหร่ก็ไม่เข้าใจจริงๆ
โจวเจ๋อข่ายนิ่งคิดไปครู่หนึ่ง “ใจดี”
“ใครใจดีกับนาย นายก็ชอบเขาหมดเลยหรือไง” เยี่ยซิวรู้สึกปวดขมับ
“ไม่ แค่กับเยี่ยซิว”
อยู่ใกล้เยี่ยซิวแล้วทำให้รู้สึกสบายใจ ในอกอบอุ่นเหมือนแสงอาทิตย์ยามเช้า เขาชอบ ชอบทั้งหมดที่เป็นเยี่ยซิว กลิ่นบุหรี่เขาก็ชอบ กลิ่นกาแฟเขาก็ชอบ ไม่โกนหนวดเขาก็ชอบ ไม่อาบน้ำเขาก็ยังชอบ
เยี่ยซิวที่เป็นแบบไหนก็น่ารักทั้งนั้น เยี่ยซิวที่เป็นแบบไหนเขาก็ชอบทั้งนั้น
…ความรู้สึกที่เต็มล้นนี้เช่นนี้ เขาจะสื่อออกไปอย่างไรดี..
โจวเจ๋อข่ายไม่สันทัดการปฏิสัมพันธ์กับผู้คน แต่กับเยี่ยซิว เขาอยากลองพยายามดูสักครั้ง
“เยี่ย…”
“พอ ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว ความรู้สึกของนายเกอรับรู้มามากพอแล้ว” เยี่ยซิวเอ่ยขัดขึ้นก่อนที่อีกคนจะพูดจบ โจวเจ๋อข่ายหน้าเสีย ดูเหมือนหมาตัวโตๆ กำลังหงอยไม่มีผิด
เยี่ยซิวเก็บของเสร็จแล้ว โจวเจ๋อข่ายยังคงยืนไม่พูดไม่จาอยู่ข้างหลัง แต่ส่งสายตาน่าสงสารมาให้รัวๆ
“เกอจะปิดร้านแล้ว กลับไปสิ”
โจวเจ๋อข่ายพยักหน้าเดินออกไปอย่างเชื่องช้า ใบหน้าหล่อเหลาเศร้าซึมไปถนัดตา
“เยี่ยซิว…” ร้องเรียกอีกที เผื่อว่าชายหนุ่มตรงหน้าจะใจอ่อน
“เฮ้อ” เยี่ยซิวถอนหายใจ จากนั้นจึงพูดรัวแบบไม่เว้นจังหวะหายใจ “เอาไว้สิบแปดก่อนค่อยว่ากัน ดึกแล้ว กลับไปได้แล้ว”
เยี่ยซิวทิ้งไว้แค่ประโยคนี้ จากนั้นก็ปิดประตูดังปัง ทิ้งให้โจวเจ๋อข่ายยืนอึ้งอยู่ด้านนอกเพียงลำพัง
….
เยี่ยซิวรีบปิดประตูเข้ามาด้านใน ใช้มือลูบหน้าของตน ร่องรอยสีแดงพาดผ่านอยู่บนใบหู ร่างกายเอนไถลกับประตูจนลงมานั่งที่พื้น
“เจ้าเด็กโง่” เยี่ยซิวบ่นงึมงำอีกยก ชอบเขางั้นหรือ? แม้แต่เหตุผลยังไม่มีเลย
ไพล่นึกไปถึงถ้อยคำอันซื่อตรง สัมผัสร้อนรุ่มยามแตะต้องกัน สายตาที่มองมาอย่างมีความหมาย ราวกับกำลังเปิดเปลือยทุกสิ่งให้เขาได้รับรู้
เยี่ยซิวถอนหายใจ เลื่อนมือไปสัมผัสหน้าอกของตนเองที่เต้นเป็นจังหวะรัวเร็วไม่สร่างแม้จะไม่ได้เห็นหน้าใครอีกคน
…ช่างเถอะ แต่ไหนแต่ไรมา ความรักก็หาคำอธิบายไม่ได้อยู่แล้วไม่ใช่หรือ…
———–
[05 : คุณสมบัติของคนรัก]
โจวเจ๋อข่ายมักจะมาก่อนร้านเปิด เยี่ยซิวเปิดประตูออกมาเห็นเขาก็ไม่ได้พูดอะไร แต่เบี่ยงตัวหลบให้เขาเข้ามาด้านใน
โจวเจ๋อข่ายนั่งมองเงียบๆ เยี่ยซิวก็ตระเตรียมของเงียบๆ ระหว่างพวกเขาปราศจากคำพูดคำจา แต่โจวเจ๋อข่ายก็ไม่ได้รู้สึกว่าน่าอัดอึดเหมือนคราวก่อน
เฉินกั่วมาถึง รับรู้ได้ถึงบรรยากาศคลุมเครือชวนหัวใจตึกตักอย่างแปลกๆ ปกคลุมอยู่ทั่วร้าน บ่อยครั้งเข้าก็เริ่มชินชา สำเร็จวิชาเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ขั้นสุดยอด
เธอไม่เห็นอะไรทั้งนั้น ไม่เห็นหนุ่มน้อยคนนั้นแอบจับมือเยี่ยซิว โอ๊ะ โดนสะบัดออกแล้ว แต่อีกฝ่ายไม่ยอม จะจับให้ได้ สุดท้ายเยี่ยซิวก็พ่ายแพ้ จำต้องยอมยืนนิ่งให้จับ อืม เธอไม่เห็นอะไรจริงๆ
“เป็นไงเสี่ยวโจว วิธีที่บอกไปได้สวยไหม คนที่นายชอบเป็นยังไงบ้าง” อยู่ๆ ขณะที่รวมกลุ่มกันตู้หมิงก็ถามเช่นนี้
โจวเจ๋อข่ายเอียงคอคิดๆ “สวย”
นึกถึงมือเรียวขาวเนียนสวยของเยี่ยซิว ยามหยิบจับสิ่งของต่างๆ สะกดสายตาชวนให้ลุ่มหลง
“หือ มีอะไรอีกไหม” ถึงจะตอบไม่ตรงคำถาม แต่ทุกคนก็ใคร่รู้ว่าคนที่หนุ่มหล่ออันดับหนึ่งของโรงเรียนชอบเป็นอย่างไร
คิดๆ อีก “น่ารัก”
นึกถึงใบหน้าที่แต่งแต้มสีแดงเจือจาง และรอยยิ้มบางเบาที่ถูกจุดขึ้นบนริมฝีปากของเยี่ยซิว โจวเจ๋อข่ายรู้สึกว่าน่ารักมากจริงๆ
“ว้าว อะไรอีกๆ” อวี๋เนี่ยนตื่นเต้น ชะโงกหน้าเข้ามาร่วมวงบ้าง
นึกอยู่ครู่หนึ่ง “ใจดี”
นึกถึงตอนที่อีกฝ่ายหยิบยื่นน้ำใจมาให้เขา ไหนจะเป็นห่วงเขากลัวว่าเขาจะหิว
“อื้อๆ มีอีกไหม”
เงียบไปอีกครู่หนึ่ง “มีเสน่ห์”
นึกถึงคำพูดหยอกเย้าของอีกฝ่าย น้ำเสียงเรียบเรื่อยชวนฟัง มีเสน่ห์อย่างมาก
“เสี่ยวโจว! คนที่นายชอบดีสุดๆ ไปเลย” ตู้หมิงโพล่งออกมาอย่างตื่นเต้น
“นั่นสิ สวย น่ารัก ใจดี มีเสน่ห์นี่มันรวมคุณสมบัติของคนรักที่ดีหมดเลยนี่!”
โจวเจ๋อข่ายพยักหน้ารับอย่างกระตือรือร้น เยี่ยซิวดีสุดๆ สำหรับเขาจริงๆ นั่นแหละ
เจียงปัวเทารู้สึกเหมือนมีตรงไหนไม่ถูกสักแห่ง พยายามยกมือจะแย้ง แต่ทุกคนตื่นเต้นกันเกินไปจึงไม่มีใครสนใจ พูดคุยอีกสักครู่ทุกคนก็ตกลงใจจะไปยลโฉมหน้าสาวสวยที่โจวเจ๋อข่ายชอบสักครั้ง
โจวเจ๋อข่ายคิดๆ ดูก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร เยี่ยซิวคงชอบใจที่มีลูกค้าเยอะขนาดนี้
เมื่อไปถึงซิงซิน ทั้งสี่ยืนเรียงแถวหน้ากระดานสลอน สอดส่ายสายตาหาคนที่พอเข้าตา
“คนไหนรึ อ๊ะ หรือจะเป็นสาวน้อยผมสั้นคนนั้น ว้าว ตาถึงไม่เบานี่” ตู้หมิงชี้ไปที่หญิงสาวคนแรก โจวเจ๋อข่ายมองตามแล้วส่ายหน้า
“หรือจะเป็นคนผมยาวอีกคน คนนั้นก็สวยนะ แต่อายุเยอะไปหน่อยหรือเปล่า” อวี๋เนี่ยนชี้ไปที่หญิงสาวท่าทางทะมัดทะแมงอีกคน โจวเจ๋อข่ายส่ายหน้าอีกครั้ง
“อ้าว แล้วคนไหน หรือยังไม่มา”
“มาแล้ว” โจวเจ๋อข่ายเห็นเงาร่างบางคนขยับอยู่หลังเคาท์เตอร์ รีบปรี่ไปหาเหมือนสุนัขเจอเจ้าของ
“นี่มัน…” ตู้หมิงจนคำพูด
“คนที่ชอบนี่หรือว่า…” อวี๋เนี่ยนเองก็เช่นกัน
เห็นโจวเจ๋อข่ายเข้าไปคลอเคลียชายหนุ่มคนนั้นแล้ว ทุกคนยิ่งรู้สึกเหมือนฟ้าผ่ากลางวันแสกๆ เจียงปัวเทาที่เอะใจแต่แรกแล้วไม่แปลกใจเท่าไหร่ เดินนำสองคนที่ยังไม่หายช็อกเข้าไปด้านใน
“สวัสดีครับ ผมเป็นพี่ของเสี่ยวโจว” เจียงปัวเทาแนะนำตัวอย่างมีมารยาท ขณะเดียวกันก็ลอบสำรวจชายหนุ่มไปด้วย
“สวัสดี” เยี่ยซิวเอ่ยตอบสบายๆ คุยกันพักหนึ่ง เจียงปัวเทาก็ได้กาแฟมอคค่ามาแก้วหนึ่งอย่างงงๆ รอจนสองคนนั้นรู้สึกตัวเข้ามาด้านใน ก็ได้กาแฟไปคนละแก้วอย่างงงๆ เช่นกัน ทั้งที่ก่อนจะมาไม่มีคิดคิดจะดื่มกาแฟแท้ๆ โจวเจ๋อข่ายยิ่งแล้วใหญ่ มีทั้งกาแฟที่แต่ก่อนเจ้าตัวไม่คิดจะดื่ม ทั้งขนมเต็มไม้เต็มมือกลับมา
“ร้ายกาจอย่างนี้เอง ถึงล่อลวงเจ๋อข่ายของเราได้” ตู้หมิงดูดกาแฟไปอึกหนึ่งพลางสังเกตการณ์ อืม หอมอร่อยดี
“พวกนายอย่าเพ้อเจ้อ ใครล่อลวงใคร ดูดีๆ สิ” เจียงปัวเทาเหล่ตู้หมิงไปหนึ่งที ก่อนหันไปชมเหตุการ์ต่ออย่างสบายอารมณ์
ตู้หมิงกับอวี๋เนี่ยนได้ยินเช่นนั้นก็ตั้งใจเบิกตาดูไม่กระพริบ เป็นดังเช่นที่เพื่อนสนิทว่า เยี่ยซิวแค่ชงกาแฟของเขาไป มีแต่น้องชายสุดหล่อของเขานี่แหละที่ไปยืนเป็นรูปปั้นประดับอยู่ข้างๆ บาริสต้าหนุ่มขยับไปทางนั้นทางนี้ โจวเจ๋อข่ายก็ขยับตามเหมือนเงาตามตัว พอโดนดุก็ทำหน้าหมาหงอย ทำเอาชายหนุ่มคนนั้นเหนื่อยใจอย่างมาก
“อะแฮ่ม ไม่นึกเลยว่าเจ๋อข่ายของเราจะร้ายกาจขนาดนี้” ตู้หมิงกลับคำเป็นคนแรก ผลคือโดนเจียงปัวเทาเหล่เข้าอีกครั้ง
“อ๊ะ มีคู่แข่งด้วย” อวี๋เนี่ยนร้องบอกเมื่อเห็นชายท่าทางดูดีอีกคนเดินเข้ามา ทั้งคู่พูดคุยกันโดยมีโจวเจ๋อข่ายมองอยู่ข้างๆ โจวเจ๋อข่ายไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่แตะเอวของอีกคนเบาๆ สายตามองจ้องไปที่ผู้มาใหม่นิ่งๆ
เอิ่ม โจวเจ๋อข่ายของพวกเขาร้ายกาจจริงๆ นั่นแหละ แค่ใช้สายตาก็ขับไล่คู่แข่งไปได้
โจวเจ๋อข่ายเดินตามหลังเยี่ยซิวต้อยๆ เหมือนลูกหมา เยี่ยซิวเห็นแล้วแสนจะหน่ายใจ ดูสิ เพื่อนๆ กลับกันไปหมดแล้ว ทำไมไอ้หนูนี่มันไม่กลับบ้านช่องสักที
ระหว่างที่คิด เยี่ยซิวก็ล้วงบุหรี่ขึ้นมาสูบโดยอัตโนมัติ “มาตามตื๊อเกอทุกวันอย่างนี้ ไม่เบื่อหรือ”
“ไม่” โจวเจ๋อข่ายจับจ้องริมฝีปากอิ่มที่คาบบุหรี่เอาไว้อย่างหมิ่นเหม่เขม็ง “อย่าสูบ”
“หือ ทำไมล่ะ” เยี่ยซิวใช้ปลายนิ้วคีบบุหรี่ออกจากปาก ยกยิ้มอย่างยั่วเย้า
“ไม่ดี” โจวเจ๋อข่ายตอบ แต่สายตายังไม่ละออกจากริมฝีปากของอีกคน
“หืม…ถ้าไม่สูบ เกอจะเหงาปากน่ะสิ เสี่ยวโจวจะแก้ยังไงล่—“ ยังไม่ทันจะพูดจบ ริมฝีปากก็ถูกบดเบียดลงมาอย่างแผ่วเบาโดยคนอายุน้อยกว่า เรียวลิ้นถูกดึงไปพัวพันอย่างเชื่องช้า ความหวานละมุนแผ่ซ่านในโพรงปาก อ่อนหวานเหมือนนมสด ทิ้งรสขมไว้ที่ปลายลิ้นเหมือนกาแฟ ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ที่เยี่ยซิวเผลอปล่อยบุหรี่ให้ร่วงลงไปบนพื้น ถูกรุกไล่จนแผ่นหลังชนกับผนัง โจวเจ๋อข่ายประคองใบหน้าของอีกคน เอียงองศาใบหน้าให้จูบได้อย่างถนัดถนี่
ในหัวมีเพียงความคิดอยู่อย่างเดียวที่วนเวียน นั่นคือเยี่ยซิวไม่ได้รังเกียจเขา ที่พูดคราวนั้นหมายถึงเปิดโอกาสให้เขาใช่ไหม โจวเจ๋อข่ายไม่กล้าถามตรงๆ แต่เขาก็ได้ใจจนลืมตัวจูบเยี่ยซิวไปอีกครั้ง
ได้ยินเสียงครางในลำคอแผ่วเบาของอีกฝ่าย กระตุ้นบางสิ่งในตัวเขาให้ตื่นขึ้นมา บางสิ่งที่โจวเจ๋อข่ายไม่รู้จักมันมาก่อน และไม่รู้จะจัดการอย่างไร
“อือ เสี่ยวโจว หยุดก่อน”
โจวเจ๋อข่ายผละออก ใช้ร่างกายที่สูงกว่าโอบร่างอีกคนเอาไว้แน่น กลิ่นกาแฟหอมเจือขมวนเวียนอยู่ตรงจมูก
“ชอบ” เขากระซิบข้างหูของเยี่ยซิว
เยี่ยซิวลูบหลังปลอบเขาเบาๆ เหมือนพยายามทำให้เขาสงบลง โจวเจ๋อข่ายสูดหายใจเข้าลึกๆ ได้ยินเสียงจังหวะหัวใจของทั้งคู่ประสานเป็นหนึ่งเดียว ร่างที่เขาโอบกอดไว้กล่าวขึ้นผสานเสียงหัวเราะแผ่วเบา “เสี่ยวโจวนี่ชอบฉันจริงๆ เลยนะ”
“อือ” เขากระชับอ้อมกอด “ชอบมาก”
นึกถึงเมื่อตอนกลางวันที่มีคนมีวุ่นวายกับเยี่ยซิวยิ่งรู้สึกไม่ชอบใจ ในอกเหมือนมีไฟบางอย่างสุมอยู่ ไม่รู้ว่าต้องจัดการอย่างไร
“ชอบ คบกันได้ไหม” โจวเจ๋อข่ายรู้เพียงวิธีนี้เท่านั้น รู้เพียงถ้าเยี่ยซิวเป็นของเขา มันคงพอบรรเทาความอึดอัดนี้ลง
“เอาสิ”
โจวเจ๋อข่ายผละออกมามองเยี่ยซิวตาโต เห็นได้ชัดว่าไม่ได้คาดคิดถึงคำตอบนี้ เขาเตรียมใจแล้วด้วยซ้ำว่าจะถูกปฏิเสธ หรือบอกให้รอก่อน
“ทำหน้าอะไรอย่างนั้น” เยี่ยซิวหัวเราะ “เกอเองก็อายุมากกว่า ให้เด็กมาบอกปาวๆ อยู่ฝ่ายเดียวมันก็ดูน่าขายหน้าไปหน่อยนะ”
เยี่ยซิวใช้เวลาทบทวนตัวเองไม่นานก็รู้คำตอบ ตัวเขาเองก็ไม่ได้รังเกียจเจ้าหนูนี่ ความรู้สึกอบอุ่นในหัวใจที่ไม่ได้สัมผัสมานานพาให้หัวใจเต้นแรงอีกครั้ง ดังนั้น ถ้าให้คบเป็นคนรักกันก็ไม่น่าจะมีปัญหาล่ะมั้ง แถมยัง…
โจวเจ๋อข่ายตาเป็นประกาย โถมร่างกอดเยี่ยซิวแน่นจนตัวเซ จมูกโด่งคลอเคลียอยู่บนลำคอขาว
…เป็นซะแบบนี้ จะไม่ให้เขาใจอ่อนได้ยังไง
“เดี๋ยวๆ ใจเย็นๆ ก่อนเสี่ยวโจว” เยี่ยซิวผลักอกอีกคนออก “เรื่องอื่นรอไว้สิบแปดก่อนค่อยว่ากัน”
โจวเจ๋อข่ายหูตก เยี่ยซิวรู้สึกเหมือนได้ยินเสียงครางหงิงๆ จากหมาตัวโต โจวเจ๋อข่ายเสียดายเล็กๆ แต่ว่าระหว่างพวกเขายังมีเวลาอีกมากไม่ใช่หรือ
โจวเจ๋อข่ายกระชับมือของเยี่ยซิว จุมพิตลงไปบนฝ่ามือเนียนสวย ช้อนตามองด้วยแววลึกซึ้ง “จะดูแลอย่างดี”
“อืม ฝากด้วยล่ะ เจ๋อข่าย” เยี่ยซิวอมยิ้ม น่ารักเสียจนโจวเจ๋อข่ายอยากจับมาฟัดแรงๆ สักที
เรื่องระหว่างพวกเขาไม่จำเป็นต้องรีบร้อน
…ค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไปก็พอ…
พวกเขาดำเนินชีวิตอย่างปกติในทุกๆ วัน แค่ยังเกาะกุมมือกันอยู่ แสงแดดยามเช้าก็อุ่นไปถึงหัวใจ
END
____________________________________________________________________________________
ขอบคุณที่อ่านจนจบค่ะ ไม่รู้ว่าเจ้าของรีเควสจะชอบไหม ยอมรับว่าเป็นโจทย์ยากสำหรับเราเลยค่ะ ฮา พยายามให้อบอุ่นมุ้งมิ้งแล้ว ถ้ามันไม่ใช่ยังไงก็ขอโทษด้วยนะคะ u///u ที่จริงมันตอนหลังสมควรจะยาวกว่านี้ แง ขอโทษด้วยนะคะ แต่ตั้งใจเขียนมากๆ เลยค่ะ และต้องขออภัยกับความรั่วของตู้หมิงแอนด์เดอะแก๊งด้วย ooc หนักมาก ฮา
ปล.ระหว่างแต่งอยากกินลาเต้ร้อนสักแก้วจัง…