QZGS

[Fic QZGS] – Sweetaholic II (ซุนเยี่ย)

Fic 全职高手 – Sweetaholic II (ซุนเสียง x เยี่ยซิว)
#ซุนเยี่ย
note : โหยหาาาาาาา ความรักความเมตตาาาาาาาา
note2 : เค้กเวิร์สจริงๆ นะ…

 

 

 

ครั้งแรกที่จูบ ต่างฝ่ายต่างเงอะงะจนน่าขัน

 

แต่พอมีครั้งแรก ครั้งที่สอง ที่สามก็ตามมา จนไม่รู้แล้วว่านี่เป็นครั้งที่เท่าไหร่

 

พอผละออกห่าง ซุนเสียงมักจะได้ยินเยี่ยชิวงึมงำว่ารสนม จากนั้นก็ยื่นหน้าเข้ามาจูบอีกครั้ง

 

ตามจริงตัวเขาที่เป็นเค้กควรจะไม่ได้รับรสชาติใดๆ จากฟอร์ค แต่ยามที่แนบชิด ยามที่พัวพัน ซุนเสียงมักจะรู้สึกว่าเยี่ยชิวหวานมาก

 

และใช่ เขากำลังติดของหวาน

 

ของหวานที่มีชื่อว่าเยี่ยชิว

 

 

 

ซุนเสียงกำลังนั่งจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์ของตนอยู่

 

โดยปกติแล้ว เยี่ยชิวจะส่ง QQ มาหาเขาอาทิตย์ละครั้ง แต่ไม่แน่นอนว่าจะเป็นวันไหน

 

เยี่ยชิวไม่เคยส่งข้อความมาหาเขาในศุกร์หรือวันหยุด วันที่เจ้าตัวส่งมาบ่อยๆ คือวันจันทร์หรืออังคารที่ลูกค้าค่อนข้างน้อย

 

ใกล้จะได้เวลาแล้ว…

 

สมาธิทั้งหมดของซุนเสียงอยู่ที่ตัวเลขดิจิตอลตรงมุมขวาล่างของหน้าจอ เมื่อเลขเก้าเปลี่ยนเป็นเลขศูนย์ ทันใดนั้นหน้าต่างโปรแกรม QQ ก็ปรากฏข้อความของผู้ที่เขารอคอยมาทั้งอาทิตย์

 

จวินม่อเซี่ยว : เกอหิวแล้ว

 

ซุนเสียงรัวความเร็วมือพิมพ์ตอบกลับอย่างรวดเร็ว แต่พอจะกดส่งก็ชะงัก ปลายนิ้วนิ่งค้างอยู่บนแป้น

 

ถ้าเกิดตอบกลับไปทันที เยี่ยชิวก็รู้น่ะสิว่าเขาเฝ้าหน้าจออยู่ตลอด

 

ชายหนุ่มตัดสินใจรอ จวบจนเห็นว่าสมควรแก่เวลา จึงกดส่งข้อความที่พิมพ์เสร็จตั้งแต่ห้านาทีก่อนกลับไปให้เยี่ยชิว

 

อี๋เยี่ยจือชิว : ผมยังมีเทคนิคที่อยากเรียนจากคุณอีกนิดหน่อย ให้ผมไปหาเลยไหม?

 

ซุนเสียงถามแบบนี้เพราะทุกครั้งเขาจะเป็นฝ่ายไปรับเยี่ยชิวจากร้านเน็ตด้วยตัวเอง แม้เยี่ยชิวจะบอกปัดตลอด แต่พอเขายืนกรานมากๆ เข้า อีกฝ่ายก็ยอมปล่อยไปตามน้ำ

 

หลังจากเวลาผ่านไปพักหนึ่งก็ยังไม่มีข้อความจากเยี่ยชิว ปกติเยี่ยชิวไม่เคยตอบเขาช้าขนาดนี้ โดยเฉพาะเป็นเรื่องปากท้องด้วยแล้ว ซุนเสียงเริ่มกระวนกระวาย ไพล่คิดไปต่างๆ นาๆ ว่าเยี่ยชิวอาจกำลังติดธุระ ไม่ว่างมาตอบเขา หรืออาจจะโกรธที่เขาตอบช้าจนไม่อยากจะคุยด้วย?

 

อนิจจา ซุนเสียงลืมไปว่าช้าของเขาก็แค่ห้านาทีเท่านั้น คนอย่างเยี่ยชิวไม่มีวันคิดเล็กคิดน้อยกับเรื่องแค่นี้ แต่ในหัวของชายหนุ่มเต็มไปด้วยความคิดที่ว่าเยี่ยชิวจะโกรธเขาจนร้อนใจไปหมด กระบวนการคิดวิเคราะห์เสมือนหยุดทำงานชั่วคราว ชายหนุ่มตัดสินใจหยิบผ้าพันคอกับแว่นกันแดดมาสวม แล้วเดินข้ามไปยังอีกฟากของถนน

 

ชายหนุ่มเปิดประตูเข้าไป กวาดสายตามองทั่วร้าน ด้านหน้าเคาท์เตอร์ว่างเปล่า ไร้เงาของหญิงสาวที่ซุนเสียงมักจะเห็นเธอประจำอยู่กะนี้

 

“เสี่ยวเสียง?” เสียงอันคุ้นเคยดังขึ้นมาจากด้านข้าง ซุนเสียงรีบหันไปตามต้นเสียง คนในห้วงคำนึงใช้ดวงตาเฉื่อยชาเหมือนคนง่วงนอนมองเขา ในนั้นมีความประหลาดใจเล็กๆ แฝงอยู่ แขนสองข้างหอบกระป๋องเครื่องดื่มอยู่เต็มไปหมด

 

“อา…” ซุนเสียงกระชับอุปกรณ์ปลอมตัวของตนเอง มองอีกฝ่ายอย่างไม่รู้จะพูดอะไรดี

“รอเกอแปบนึงนะ เดี๋ยวเอาไปส่งลูกค้าก่อน”

 

ว่าแล้วเยี่ยชิวก็หายตัวไปอีกด้าน ซุนเสียงยืนเก้ๆ กังๆ อยู่ที่เดิม สายตาจากรอบด้านทิ่มแทงจนรู้สึกอึดอัด ครู่หนึ่งเยี่ยชิวก็เดินกลับมา ซุนเสียงถอนหายใจเฮือก รู้สึกผ่อนคลายลงทันที

 

“วันนี้คงไปไม่ได้แล้วล่ะ คนที่ปกติเข้ากะนี้ไม่อยู่น่ะ เกอเลยต้องมาเข้าแทน” เยี่ยชิวเอนตัวพิงเคาท์เตอร์ด้วยท่าทางสบายๆ ซุนเสียงได้ยินก็หน้าร้อน รีบบอกปฏิเสธอย่างรวดเร็ว

“ใครบอกว่าผมมาหาคุณ!”

 

เยี่ยชิวเลิกคิ้ว ไถ่ถามโดยไร้คำพูด

 

“ผม…ผมจะมาเล่นเน็ตต่างหาก!” ถ้อยคำหลุดออกมาโดยไม่ผ่านสมอง ซุนเสียงรู้สึกว่าใบหน้าร้อนผ่าวกว่าเดิมเมื่อเผชิญกับสายตารู้ทันแต่ไม่ได้เปิดโปงออกมาของอีกฝ่าย เยี่ยชิวนั่งลงตรงที่ประจำ จากนั้นก็จัดการเปิดเครื่องตามความต้องการของซุนเสียง

 

“ขอบัตรประชาชนด้วย”

“…”

 

เมื่อจัดแจงสิ่งต่างๆ เรียบร้อย เยี่ยชิวก็ส่งบัตรประชาชนคืนให้เขา เดินนำเขาไปยังมุมมืดของร้านที่ไม่ค่อยมีผู้คน ตบลงบนคอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่งสองสามที

 

“เครื่องนี้แหละ ไม่ต้องห่วง ไม่มีใครเห็นหรอก เกอไปทำงานก่อนล่ะ”

“เห็นผมเป็นเด็กหรือไง!” ซุนเสียงถลึงตาใส่ แล้วก็ได้เสียงหัวเราะแผ่วกลับมาเบาๆ จากนั้นเยี่ยชิวก็เดินกลับไปยังเคาท์เตอร์เช่นเดิม

 

ซุนเสียงมองซ้ายมองขวา เห็นว่าไม่มีใครจริงดังว่าก็ถอดแว่นตากับผ้าพันคอออก จากมุมนี้ ไม่รู้จงใจหรือไม่ ซุนเสียงมองเห็นบริเวณที่เยี่ยชิวอยู่ได้อย่างชัดเจน

 

ดวงตาของเยี่ยชิวจับจ้องอยู่บนหน้าจอ มือยังคงพรมลงบนคีบอร์ดอย่างรวดเร็ว ริมฝีปากคาบบุหรี่ไว้อย่างหมิ่นเหม่ ซุนเสียงมองเหม่อ รู้ตัวอีกทีตอนเห็นผู้ชายคนหนึ่งเดินเข้ามาหน้าเคาท์เตอร์

 

ทั้งคู่พูดคุยอะไรกันอีกสองสามประโยค เยี่ยชิวก็หัวเราะ ซุนเสียงมองนิ่ง หว่างคิ้วกดลึกลงเมื่อเห็นใครคนนั้นฉวยโอกาสตอนเยี่ยชิวเผลอแอบลูบมือเรียวสวยไปหลายที

 

ไม่รู้ตัวเลยหรือไง!

 

ตลอดเวลาที่เยี่ยชิวเข้ากะ เหตุการณ์แบบนี้วนเวียนเกิดขึ้นอีกสองสามรอบ ยิ่งเวลาผ่านไปมากเท่าไหร่ สีหน้าซุนเสียงก็ยิ่งดูไม่ได้มากเท่านั้น

 

ที่จริงนี่ควรจะได้เวลานอนของนักกีฬาอาชีพแล้ว แต่หลังจากเห็นสิ่งที่เกิดขึ้น ซุนเสียงก็ยังคงนั่งอยู่ที่เดิมไม่ไปไหน

 

เยี่ยชิวนั่งอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งมีพนักงานในร้านอาสามาเปลี่ยนเวรแทน เจ้าตัวลุกบิดขี้เกียจทีหนึ่ง ดวงตาซึมกะทือหันมาสบเข้ากับซุนเสียงพอดี ชายหนุ่มสะดุ้ง ก่อนหันกลับไปทำทีเหมือนว่ากำลังเล่นคอมต่อ

 

ผ่านไปสักพักซุนเสียงก็แอบเหลือบมองไปที่เดิม คราวนี้เห็นเยี่ยชิวคุยกับหญิงสาวผมสั้นหน้าตาสะสวย ดูจากสีหน้าท่าทางคงสนิทสนมกันพอสมควร ซุนเสียงขมวดคิ้ว ความรู้สึกที่เหมือนก้อนเนื้อในอกถูกบีบช้าๆ จนปวดหนึบค่อยๆ ทวีความรุนแรงมากขึ้นทุกที

 

ดวงตาเรียวโศกบังเอิญหันมาสบตาเขาอีกครั้ง ไม่รู้ทำไมคราวนี้ซุนเสียงถึงไม่หลบ เขามองเยี่ยชิวเอ่ยลาสาวสวยคนนั้น แล้วสาวเท้าเนิบนาบมาทางเขา

 

“เหงาหรือ” เริ่มต้นด้วยประโยคกวนโมโห “อยากให้เกออยู่เป็นเพื่อนไหม”

 

ซุนเสียงไม่อยากรอให้ริมฝีปากบางเจื้อยแจ้วไปมากกว่านี้ เขากระชากคอเสื้ออีกฝ่ายลงมาใกล้ ดวงตาเยี่ยชิวเบิกกว้าง ก่อนจะใช้ความอุ่นนุ่มปิดกั้นไม่ให้มีสิ่งใดเล็ดลอดออกมา

 

ไม่หรอก ยังไม่พอ

 

เขาใช้ร่างตนเองและความมืดบดบังร่างเยี่ยชิวจากสายตาคนอื่นเอาไว้ ลิ้มรสความรู้สึกวาบหวามที่ก่อเกิดขึ้นมา มือสอดเข้าไปใต้เสื้อโค้ทของอีกฝ่าย สัมผัสได้ถึงอุณหภูมิของเยี่ยชิวผ่านเสื้อตัวในบางเบา ลูบไล้ตามแผ่นหลังและสีข้างอย่างเชื่องช้า ราวกับกำลังตั้งใจจดจำทั่วทุกตารางนิ้ว

 

ถึงกระนั้น

 

ก็ยังไม่พอ

 

เขาต้องการมากกว่านี้ เพียงแค่นี้ไม่อาจบรรเทาความรู้สึกอึดอัดไร้ที่มาที่ไปนี้ได้ ต้องสัมผัสมากกว่านี้ แนบชิดมากกว่านี้ ใกล้เสียจนลมหายใจหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน

 

 

“เยี่ยซิว!”

 

ร่างในอ้อมกอดเขาสะดุ้ง จากนั้นก็พยายามขืนตัวออกห่าง

 

แต่เขายังไม่อยากปล่อยมือ

 

“อื้อ…อื้อ” เยี่ยชิวส่งเสียงประท้วงในลำคอเมื่อถูกรุกรานอย่างจาบจ้วงอีกครั้ง ซุนเสียงมองสีหน้าเคลิบเคลิ้มของอีกฝ่าย

 

เขารู้ดี สิ่งที่เยี่ยชิวชอบไม่ใช่จูบของเขา แต่เป็นรสชาติของเขา

 

พอคิดถึงความจริงข้อนี้ ความอึดอัดที่เพิ่งคลายลงก็กลับมาบีบแน่นอีกครั้ง

 

“เยี่ยซิว หายไปไหนน่ะ!”

 

สิ้นเสียงตะโกน เยี่ยชิวก็ผลักเขาออกอย่างแรง ดวงตาของอีกฝ่ายหลุบลง ริมฝีปากบวมอิ่มเม้มเบาๆ ก่อนจะเอ่ยออกมา

 

“วันนี้เสี่ยวเสียงกลับไปก่อนเถอะ เกอมีธุระจะต้องทำ”

 

ซุนเสียงมองอีกฝ่ายเงียบๆ ค่อยๆ ปล่อยมือออกอย่างเชื่องช้า ใช้สายตาเจือแววตัดพ้อส่งไปให้อีกฝ่าย จากนั้นก็ลุกออกมาโดยปราศจากคำพูดใด

 

รู้ดีอยู่แล้ว เพราะเป็นอย่างนี้มาตลอด

 

 

ซุนเสียงมีความลับที่ไม่เคยบอกใคร

 

เขามีจูบแรกตอนอายุสิบแปด

 

 

ริมฝีปากสีเรื่อที่มักจะใช้คาบบุหรี่นุ่มและชุ่มชื้นเกินกว่าที่เคยคาดไว้

 

แพขนตายาวหนาระผิวแก้มขยับไหวเบาๆ เมื่อเขาส่งมอบสัมผัสหวานล้ำมากยิ่งขึ้น จมูกขนาดกำลังพอดี ใบหน้าเรียวได้รูป ซุนเสียงใช้ปลายนิ้วเกลี่ยเบาๆ ที่ข้างแก้มของอีกฝ่าย รู้สึกถึงความเนียนลื่นดุจกระเบื้องเคลือบชวนให้สัมผัสซ้ำแล้วซ้ำเล่า

 

ลูกแก้วสีดำขลับที่หลบซ่อนอยู่ใต้เปลือกตาค่อยๆ เผยออกมา ระยิบระยับแพรวพราวเหมือนมีน้ำเอ่อคลออยู่ด้านใน ชั่วขณะนั้น หัวสมองของชายหนุ่มพลันโล่งเปล่า

 

นับแต่นั้นมา ห้วงความคิดของชายหนุ่มที่ชื่อซุนเสียง ก็เต็มไปด้วยเรื่องของเยี่ยชิว

 

 

ซุนเสียงไม่ได้ติดต่อกับเยี่ยชิวอีก

 

ไม่สิ พูดให้ถูกคือยังติดต่อกันอยู่ แต่ซุนเสียงไม่ได้ออกไปพบเยี่ยชิวอีกแล้ว

 

ซุนเสียงมองข้อความเดิมๆ ที่ส่งมาจากคนเดิม ดั่งเช่นครั้งที่แล้วๆ มา แต่กลับให้ความรู้สึกขัดหูขัดตาอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

 

จวินม่อเซี่ยว : เสี่ยวเสียง เกอหิวจริงๆ นะ

 

รางกับสัมผัสได้ถึงน้ำเสียงออดอ้อนเล็กๆ ของอดีตมหาเทพแห่งกลอรี่ ซุนเสียงมีใบหน้าเรียบเฉย เคาะแป้นคีบอร์ดตอบกลับไปประโยคเดียว

 

อี๋เยี่ยจือชิว : ผมไม่ว่าง

 

จากนั้นซุนเสียงก็รีบปิดหน้าต่างโปรแกรมอย่างรวดเร็วเสมือนกลัวว่าถ้าเปิดไว้นานกว่านี้ คำตอบของเขาอาจจะเปลี่ยนไป

 

พอมาสำรวจดูดีๆ แล้ว ความรู้สึกของเขาที่มีต่อเยี่ยชิวมันมากขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน

 

รู้สึกดียามที่ถูกอีกฝ่ายสัมผัส รู้สึกดียามที่ถูกดวงตาคู่นั้นจ้องมองมา

 

เป็นความเปรมปรีย์ที่สลักลงไปถึงจิตใต้สำนึกโดยที่ซุนเสียงไม่รู้ตัว

 

ในเมื่อสัมผัสมากไปกว่านี้ไม่ได้ ซุนเสียงหักห้ามใจไม่ให้ตนออกไปเจอเยี่ยชิวอีก

 

ตอนแรกยังไม่รู้ก็ไม่เป็นไร แต่เมื่อรู้แล้ว เขาไม่คิดว่าตนจะปล่อยคนคนนั้นไปได้

 

เพราะถ้าหากได้แตะต้องคนคนนั้นอีกครั้ง ได้เติมเต็มความโหยหาจากคนคนนั้นอีกครั้ง

 

 

มันคงไม่จบที่จูบอย่างแน่นอน

 

 

 

 

 

 

 

TBC

เสี่ยวซุนงอนแล้วล่ะ

Q : ไหนบอกตอนนี้ตอนจบไง
A : ทางนี้ก็อยากจะถามเหมือนกันนั่นแหละ!

 

QZGS

[Fic QZGS] – Sweetaholic I (ซุนเยี่ย)

Fic 全职高手 – Sweetaholic I (ซุนเสียง x เยี่ยซิว)
#ซุนเยี่ย หลังจากนอนตายมาหลายวันก็ได้ฤกษ์ฟื้นคืนชีพ….
note : cakeverse ค่ะ อ่านเพิ่มเติมได้ที่ goo.gl/kQBcD2

 

 

 

 

ลมหายใจอุ่นรดรินระผิวของกันและกัน

 

ในห้องปิดทึบ สองร่างใกลัชิดในท่วงท่าสนิทสนมเกินธรรมดาสามัญ ร่างที่สูงใหญ่กว่ามาตรฐานเด็กวัยรุ่นทั่วไปตวัดรัดร่างอีกคนจนแทบจะจมหายลงไปในอก

 

ลิ้นเปียกชื้นขยับเกี่ยวพัน เสียงเฉอะแฉะที่ไม่อาจแยกแยะได้ว่าเป็นของใคร เสียงหัวใจดังกึกก้องอยู่ในอกจนได้ยินอย่างชัดเจนนี้ก็เช่นกัน

 

ริมฝีปากถูกความอุ่นนุ่มค่อยๆ แทะเล็มไปทีละเล็กละน้อย เชื่องช้าอ้อยอิ่งราวกับกำลังลิ้มรสของหวานชั้นเลิศ กลิ่นบุหรี่เจือจางในอากาศ กลับยิ่งกระตุ้นสัมผัสทั่วร่างให้ตื่นตัว

 

เยี่ยซิวเอียงองศาใบหน้าเพิ่มอีกเล็กน้อย มือเรียวโอบรั้งต้นคอของอีกฝ่ายเข้ามาใกล้ ใช้ปลายลิ้นกวาดเอาความหอมหวานในโพรงปาก หลับตาพริ้มอย่างเผลอไผล รสชาตินุ่มละมุนลิ้น หวานกำลังดี ไม่มากไปหรือน้อยจนเกินไป แต่ชวนให้อยากลิ้มลองอีกจนหยุดไม่ได้

 

อุณหภูมิร่างกายพุ่งขึ้นสูง เหงื่อเย็นๆ หลั่งรินลงมาจากปลายเส้นผม เยี่ยซิวละออกมากจากสิ่งที่กำลังพัวพัน ย้ายริมฝีปากไล่จุมพิตตามสันกราม เรื่อยไปถึงขมับชื้นเหงื่อ แล้วจูบซับเบาๆ

 

ความหวานนุ่มแผ่ซ่านในโพรงปาก ยากที่จะอดใจไหว เยี่ยซิวแลบลิ้นเลียตามพวงแก้ม ได้ยินเสียงคำรามต่ำๆ ดังข้างหู ก่อนจะถูกดึงกลับไปบดจูบอีกครั้ง

 

ไม่รู้นานเท่าไหร่ริมฝีปากทั้งสองคนถึงแยกออกจากกัน เยี่ยซิวเงยหน้าสบตาอีกฝ่าย ดวงตาเรียวโศกแฝงแววยั่วเย้า เอ่ยผสานเสียงหัวเราะแผ่ว

 

“เสร็จแล้วหรือ เกอยังไม่อิ่มเลย”

“…หน้าไม่อาย!”

 

เยี่ยซิวมองเจ้าเด็กที่ถลึงตาจ้องเขาเขม็ง แต่ใบหูแดงก่ำ เขาผลักอกซุนเสียงออกเบาๆ แผ่นอกตึงแน่นกลับส่งแรงต่อต้านผ่านออกมา แน่นอนว่าคนแรงน้อยนิดอย่างเขาย่อมไม่อาจสู้ได้

 

“เสี่ยวเสียง?”

 

ซุนเสียงนิ่งขึงผิดปกติ เยี่ยซิวจึงลองออกแรงขืนอีกหน่อย ผลลัพธ์คือถูกคนที่ถูกปรามาสว่าเด็กในใจรวบตัวเอาไว้เช่นเดิม โครงหน้าหล่อเหลาขยับเข้ามาใกล้ แล้วอ้าปากขบเม้มบนต้นคอขาว เยี่ยซิวผินหน้าหนีด้วยความจักจี้ แต่กลับกลายเป็นว่ายิ่งเปิดทางให้คนทำสะดวกยิ่งขึ้น

 

“เอาอีกแล้ว เกอไม่ใช่เค้กสักหน่อย”

 

ซุนเสียงไม่สนใจคำพูดนั้น ยังคงพรมจูบไปทั่วลำคอระหง ก่อนวนกลับมาบรรจบที่ริมฝีปากชุ่มฉ่ำอีกครั้ง ฝ่ามือสอดใต้เรือนผม ประคองดวงหน้าหมดจดขึ้นมามอบสัมผัสลึกล้ำ รับรู้ดีว่าสิ่งที่ดำเนินอยู่นี้ไม่ใช่ความรัก

 

 

ซุนเสียงไม่เคยเจอฟอร์ค และไม่คิดว่าเงาสะท้อนที่มองตอบกลับมาทุกวันจะกลายเป็นเค้ก

 

ที่เขารู้ก็เพราะว่ามีฟอร์คผอมแห้งแรงน้อยคนหนึ่งที่เจอกันแค่ครั้งแรกก็มาขอชิม

 

 

“นายเป็นเค้ก แล้วบังเอิญเกอก็เป็นฟอร์ค ดังนั้นขอชิมหน่อยสิ!”

 

เนิ่นนานกว่าซุนเสียงจะหาเสียงตนเองเจอ “…หา”

 

“เกอบอกว่านายเป็นเค้ก เกอเป็นฟอร์ค ขอชิมหน่อย!”

คราวนี้สติของซุนเสียงกลับมาครบถ้วน เขาตอบกลับไปด้วยเสียงอันดัง “จะบ้าหรือไง! มีที่ไหนมาขอกินกันง่ายๆ แบบนี้!”

 

เขาหวังอีกฝ่ายให้ล้มเลิกความคิดบ้าบอนี่ไปซะ แต่เยี่ยชิวดันนิ่งเงียบเหมือนขบคิดเรื่องราวอย่างจริงจัง พอเจ้าตัวคิดตกแล้ว จึงเงยหน้าขึ้นมาบอกเขา

 

“ถ้างั้น…แลกกับการที่เกอช่วยสอนเทคนิคของนักเวทสงครามเป็นไง?”

“ไม่เอา!”

 

เห็นซุนเสียงปฏิเสธกลับมาอย่างรวดเร็วโดยแทบไม่คิดเยี่ยซิวก็เหมือนจะผิดหวังเล็กน้อย จึงพยายามหว่านล้อมอีกสองสามรอบ แล้วก็ยอมล้มเลิก

 

ซุนเสียงไม่คิดจะยอมให้ใครกินทั้งนั้น โดยเฉพาะเยี่ยชิว

 

แต่แล้ว โลกของซุนเสียงก็เหมือนถูกเขย่าทั้งใบจนกระจัดกระจาย

 

เยี่ยชิวจะ…วางมือ?

 

ออกจากลีค? ออกจากกลอรี่?

 

อารมณ์หลายอย่างประเดประดังเข้ามา ตีกันจนมั่วซั่วไปหมด แต่ที่มีมากที่สุดคือความผิดหวัง

 

จะไม่ได้เจอเยี่ยชิวอีกแล้ว?

 

ซุนเสียงเม้มปาก มองใบหน้าด้านข้างที่นิ่งสนิทจนเดาอารมณ์ไม่ถูกของเยี่ยชิวแล้วพลันรู้สึกเคว้งขึ้นมา

 

เยี่ยชิวเดินออกจากสโมสรไปอย่างเด็ดเดี่ยว แผ่นหลังยืดตรง หยิ่งทระนงอย่างที่เคยเป็นมาเสมอ

 

เขาไม่เข้าใจว่าตนจะตามเยี่ยชิวออกมาทำไม

 

พอเห็นเยี่ยซิวกำลังจะหายไป ร่างกายของซุนเสียงก็ตอบสนองโดยอัตโนมัติ

 

“เยี่ย…เกอ!” ซุนเสียงลืมตัวตะโกนเรียก ใบหน้ายังมีอารมณ์สับสนปนเป แต่พอเยี่ยชิวหันกลับมา สบเข้ากับดวงตาที่ไม่รู้ว่าคิดสิ่งใดอยู่ ความลังเลก็หายวับ เหลือเพียงแต่ความแน่วแน่ “ที่พี่บอก ผมตกลง!”

 

 

ความสัมพันธ์คลุมเครือระหว่างหนึ่งเค้กกับหนึ่งฟอร์คเริ่มต้นเช่นนี้เอง

 

 

 

เยี่ยซิวเป็นฟอร์ค

 

เรื่องพวกนี้เขารู้ตั้งแต่จำความได้

 

และเพราะเป็นฟอร์ค จึงไม่สามารถรับรู้รสชาติของอาหารได้ เยี่ยซิวจึงไม่มีความอยากอาหารเสียเท่าไหร่ กินน้อยเสียยิ่งกว่าแมวดม โชคยังดีที่เขาไม่ได้ใช้พลังงานในการขยับตัวเยอะ วันๆ นั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์อย่างเดียว นั่นทำให้เยี่ยซิวผอมแห้งแรงน้อยยิ่งกว่าฟอร์คทั่วไปหลายเท่า

 

เยี่ยซิวเคยคิดเล่นๆ ว่า จะได้ลิ้มลองรสชาติเค้กหรือไม่ก็ไม่เห็นเป็นอะไร

 

แต่เมื่อเจอเค้กที่ถูกใจจริงๆ ดันต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง

 

ครั้งแรกที่เดินสวนกัน เยี่ยซิวก็ได้กลิ่นหอมลอยออกมาจากร่างของซุนเสียง รับรู้ได้ทันที่ว่าคนคนนี้เป็น ‘เค้ก’

 

เยี่ยซิวไม่ชอบเค้กที่หวานเกินไป หรือขมเกินไป ว่ากันตามจริงเขาก็เคยเจอเค้กอยู่หลายครั้ง ล้วนที่มีกลิ่นหวานจนเลี่ยน ดังนั้นเมื่อพบซุนเสียงจึงแปลกใจมากๆ

 

เพราะว่าเจ้าเด็กซุนเสียงดันมีกลิ่นของเค้กนมสดที่แตกต่างกันสุดกู่กับเปลือกนอกที่ฉูดฉาดของเจ้าตัว ทำให้อดที่จะสนใจไม่ได้

 

 

เยี่ยซิวคิดว่าตนกำลังติดของหวาน

 

แผ่นหลังแนบเข้ากับผนังเย็นเฉียบ ความหวานล้ำถูกส่งผ่านประสาทรับรส สองร่างขยับแนบชิดจนไม่มีแม้แต่แสงสว่างลอดผ่าน

 

อ่อนหวาน อบอุ่น รุ่มร้อน

 

เขาไม่เคยได้รับรสชาตินี้จากใครนอกจากซุนเสียง

 

สองมือเกาะเกี่ยวบ่ากว้างของอีกฝ่ายเอาไว้ ริมฝีปากยังคงถูกรุกรานผู้อ่อนวัยกว่า อีกฝ่ายผละออกชั่วครู่เพื่อเว้นจังหวะให้เขาหายใจ จากนั้นก็ประกบจูบลงมาอีกรอบ

 

บางครั้งซุนเสียงก็ดึงดันแบบแปลกๆ

 

จูบครั้งนี้เนิ่นนานกว่าครั้งแรกมากนัก เพื่ออาหารในวันนี้และวันข้างหน้าของตน เยี่ยซิวจึงปล่อยให้ซุนเสียงจูบจนพอใจ ว่ากันตรงๆ เพราะเขาเป็นฝ่ายได้ประโยชน์มากกว่าเสียอีก

 

เหมือนมัวเมาอยู่ในรสชาติอ่อนหวานอันเป็นเอกลักษณ์ เยี่ยซิวไม่เคยคิดว่าความสัมพันธ์ของพวกเขาจะดำเนินมาถึงขนาดนี้ไปได้

 

เยี่ยซิวใช้มือเรียวลากไล้บนแผ่นอกของอีกฝ่าย ความยืดหยุ่นที่สัมผัสได้ทำให้เพลินเพลินจนไม่อยากหยุด มือของเยี่ยซิววนรอบหน้าท้องอีกฝ่าย ใช้ปลายเล็บสะกิดตรงสะดือเบาๆ ร่างของซุนเสียงก็แข็งเกร็งขึ้นมาทันควัน

 

“หืม?”

 

เยี่ยซิวหลุดอุทานเมื่อรู้สึกบางสิ่งที่แข็งขืนดุดดันเขาอยู่เบื้องล่าง เมื่อเห็นใบหน้าแดงๆ ของซุนเสียงก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะหยอกเย้า

 

“เด็กๆ ก็แบบนี้แหละน่า”

“ไม่ใช่เด็กสักหน่อย!”

 

การกระทำดังกล่าวเรียกเสียงหัวเราะจากเยี่ยซิวอีกระรอก เยี่ยซิวยังไม่อยากแหย่เด็กน้อยจนเปลี่ยนจากอายมาเป็นโกรธเสียก่อน จึงค่อยๆ คุกเข่าลงบนพื้น ใช้มือดึงรั้งขอบกางเกงของอีกคนลงมา ปลดปล่อยความตื่นตัวของซุนเสียงให้ออกมาภายนอก

 

เห็นกี่ครั้งก็ยังพิศวง เด็กสมัยนี้โตไวจริงๆ

 

เขายื่นหน้าไปใกล้ ใช้ลิ้นเลียส่วนหัวเบาๆ ก่อนกลืนกินตัวตนของอีกฝ่ายจนคับแน่นโพรงปาก เยี่ยซิวใช้ลิ้นห่อหุ้มความร้อนที่ขยับขยายเอาไว้ พร้อมกับใช้มือรูดรั้งไปพร้อมกัน

 

“อึก”

 

ได้ยินเสียงหายใจติดขัดดังขึ้นมาจากด้านบน แต่เยี่ยซิวไม่สนใจ ใช้ลิ้นอ่อนนุ่มไล้เลียตั้งแต่ส่วนโคนจรดปลาย ไม่นาน ความปราถนาของซุนเสียงก็ระเบิดออกออกมาเต็มล้นจนเยี่ยซิวแทบจะกลืนกินไปไม่หมด

 

เยี่ยซิวใช้นิ้วโป้งปาดเอาของเหลวสีขุ่นที่เลอะตรงมุมปากออก แล้วแลบลิ้นเลียอย่างเชื่องช้า รสชาติของมันทั้งอ่อนนุ่มทั้งหวาน ราวกับครีมสดไม่มีผิด

 

ลำแขนถูกอีกฝ่ายฉุดรั้งขึ้นมา ริมฝีปากทาบทับลงไปอย่างไม่นึกรังเกียจ เยี่ยซิวอ้าปากออกเพื่อรับสัมผัสจากอีกคน ตอนแรกเขาเป็นคนเริ่มก่อนก็จริง แต่ผู้ที่เรียกร้องมากขึ้นเรื่อยๆ กลับเป็นซุนเสียง

 

ฝ่ามือร้อนระอุเลื่อนลงมายังขอบกางเกง ขณะที่จะลงต่ำไปกว่านั้นเยี่ยซิวก็เป็นฝ่ายถอยห่างออกมาเสียก่อน ซุนเสียงยืนนิ่ง กำมือที่ไร้ไออุ่นของใครอีกคนแล้วขมวดคิ้วถาม

 

“ทำไม?”

 

เยี่ยซิวเหลือบมองนาฬิกา ใช้มือจัดแต่งเสื้อผ้าให้เรียบร้อย ก่อนจะตอบกลับด้วยน้ำเสียงสบายๆ

 

“บอกแล้วไงว่าไม่ต้องสนใจเกอก็ได้ เกอไม่ใช่เค้กสักหน่อย มีรสชาติอะไรเสียที่ไหน”

 

พอพูดออกไปแล้วซุนเสียงกลับหน้านิ่วคิ้วขมวดกว่าเดิม

 

ทุกครั้งที่ทำแบบนี้ จะมีแค่เยี่ยชิวที่แตะต้องเขาอยู่ฝ่ายเดียวเสมอ ในขณะที่อีกฝ่ายไม่ยอมให้เขาได้สัมผัสเลยแม้สักครั้ง

 

ดูเหมือนเป็นการแลกเปลี่ยนที่ยุติธรรม เขาได้ปลดปล่อย ส่วนเยี่ยชิวได้กินเค้ก แต่ซุนเสียงก็รู้สึกไม่ชอบใจอยู่ดี

 

ไม่รู้ว่าเพราะจ้องนานเกินไปหรืออะไร เยี่ยชิวถึงได้เริ่มทำหน้าแปลกๆ ซุนเสียงถอนหายใจ มองมองเวลาก็พบว่าใกล้จะได้เวลางานของอีกฝ่ายจึงหยิบเสื้อโค้ทมาคลุมหัวเยี่ยชิว จากนั้นก็จับข้อมือบางเอาไว้

 

“ผมไปส่ง”

 

ได้ยินเสียงอืมดังลอดออกมาใต้เสื้อคลุมแล้ว ซุนเสียงก็จูงอีกฝ่ายออกมาจากห้องพักของตน ระหว่างทางพบเจอผู้คนประปราย แต่ก็ไม่มีใครทักถึงบุคคลปริศนาที่กัปตันของพวกตนพามาเลยสักคนเดียว

 

เริ่มแรกที่กัปตันพาคนแปลกหน้าเข้ามาบรรดาสมาชิกเจียซื่อต่างตื่นตกใจกันใหญ่ แต่นานวันเข้าก็เริ่มชิน เพราะฝ่ายนั้นมาแค่อาทิตย์ละครั้ง แถมกัปตันเขาก็ดูสดชื่นผ่องใสดี ทุกคนจึงพากันหลับตาข้างหนึ่ง

 

เมื่อเลยหน้าเจียซื่อเพียงแค่ครู่เดียวเยี่ยซิวก็มองซ้ายมองขวา เห็นว่าไม่มีใครก็ถอดเสื้อโค้ทส่งคืนให้ซุนเสียง มือเรียวที่หยิบเอาบุหรี่ขึ้นมาคาบไว้ โบกมือหยอยๆ ให้ผู้อายุน้อยกว่า

 

“ส่งเกอแค่นี้พอ ไปร้านเน็ตเดี๋ยวโม่งก็แตกหรอก!”

 

มองคนที่ปิดหน้าตามิดชิดก็นึกขัน ยังไม่ทันได้หันหลังเสื้อโค้ทที่พึ่งส่งคืนก็ถูกสะบัดคลุมรอบหัวเขาอีกครั้ง บุหรี่ถูกดึงออกจากปาก แทนที่ด้วยความนุ่มหยุ่นที่นาบลงมาเพียงครู่เดียวก็หายไป

 

ได้ยินเสียงพึมพำว่าเหม็นบุหรี่ จากนั้นเยี่ยซิวทำหน้าเหลอหลาเมื่อแท่งในมือของซุนเสียงถูกขยี้จนดับไป สุดท้ายก็ได้แต่หัวเราะเหอๆ หยิบมวนใหม่ขึ้นมาสูบแทนท่ามกลางสายตาขุ่นเคืองของชายหนุ่มรุ่นน้อง

 

ซุนเสียงยืนรอจนกว่าร่างของอีกฝ่ายจะหายเข้าไปในซิงซิน แล้วจึงหมุนตัวกลับมา หัวใจวูบโหวงเมื่อฝ่ามือว่างเปล่ายังรู้สึกได้ถึงอุณหภูมิร่างกายของอีกฝ่าย

 

 

 

ระหว่างพวกเขามีถนนเส้นหนึ่งกั้นอยู่

 

 

ทั้งที่ใกล้กันเพียงหนึ่งถนน

 

 

แต่กลับไกลแสนไกลจนสุดเอื้อมคว้า

 

 

 

 

 

 

TBC

 


 

ที่จริงเป็นวันช็อต แต่ว่ามันยาวเกินเลยขออนุญาตหั่นเป็นสองตอน ต่อเมื่อกาวมาค่ะ แงงง

ปล.อยากอ่านซุนเยี่ยจังเลย เสี่ยวซึนตัวน้อยของพี่ o<-<

 

QZGS

[Fic QZGS] – A present (หวังเยี่ย)

Fic 全职高手 – A present (หวังเจี๋ยซี x เยี่ยซิว)
#หวังเยี่ย #HBDToWangjiexi #หวังHBD

note : เรื่องของคู่รักที่ไม่ค่อยพูดคำหวานกันสักเท่าไหร่

 

 

—–

 

 

 

“เจี๋ยซี นี่เอาจริง?”

 

เมื่ออีกฝ่ายพยักหน้าอย่างสุขุมเยือกเย็น เยี่ยซิวก็ได้แต่มองของในมือพลางทำหน้าจนใจ

 

เรื่องมันกลายเป็นแบบนี้ได้ยังไงกันนะ…

 

 

 

ย้อนกลับไปราวห้าชั่วโมงก่อน

 

หวังเจี๋ยซีจ้องมองหน้าจอคอมพิวเตอร์ของตัวเอง กวาดสายตาบนหน้าต่างโปรแกรม QQ ที่เปิดอยู่ หน้าจอโล่งๆ ที่มีแค่ข้อความจากเขาส่งไปฝ่ายเดียว ไม่มีข้อความตอบกลับจากอีกฝ่ายมาสามวันแล้ว…

 

เมื่อเช้ามีกล่องปริศนาจ่าหน้าถึงกัปตันแห่งเวยเฉ่า หวังเจี๋ยซีไม่สะทกสะท้านกับสายตาอยากรู้อยากเห็นของเพื่อนร่วมทีม เปิดกล่องด้วยสีหน้าเรียบเฉย

 

เมื่อเห็นของภายในกล่อง หวังเจี๋ยซีก็เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย หยิบกระดาษโน้ตที่วางเด่นหราอยู่ตรงกลางขึ้นมาอ่าน

 

‘ถึง : ท่านเทพหวัง นี่เป็นของขวัญให้คุณ คิดว่ามันต้องเหมาะกับแฟนคุณแน่ๆ เลย! จาก : แฟนคลับผู้หวังดี’

 

หวังเจี๋ยซีปิดกล่อง ใช้ร่างกายตนเองบังสายตาลูกทีม เอ่ยด้วยเสียงราบเรียบ “ไม่มีซ้อมกัน?”

 

เหล่าลูกทีมเวยเฉ่าตัวน้อยๆ ต่างพากันก้มหน้าก้มตาหลบกัปตัน แยกย้ายไปซ้อมกันเงียบๆ พื้นที่แออัดเมื่อครู่ดูโล่งขึ้นทันตา

 

 

หวังเจี๋ยซีเหลือบมองปฏิทินตั้งโต๊ะที่เป็นสีประจำสโมสรครู่หนึ่ง ตัดสินใจลุกขึ้นปิดคอมพิวเตอร์ แล้วเดินไปหาผู้จัดการที่ห้อง จากนั้นก็ซื้อตั๋วเครื่องบินมุ่งหน้าไปสู่หังโจว

 

 

สองชั่วโมงต่อมา ภายในร้านเน็ตก็มีโม่งโผล่มาคนหนึ่ง

 

ถังโหรวไม่แปลกใจ เพราะบุคคลที่อยู่ในร้านนั้นเป็นตัวเรียกโม่ง–แฮ่ม เรียกมหาเทพชั้นดี พอได้ฟังเสียงสุภาพตรงหน้าเคาท์เตอร์แล้ว ถังโหรวก็จัดให้โม่งคนใหม่อยู่ในหมวดคนคุ้นเคยทันที

 

“เยี่ยซิวอยู่ด้านนั้น เดี๋ยวฉันไปตามให้นะคะ”

 

สาวสวยหายไปครู่หนึ่ง ก็มีชายหนุ่มท่าทางโทรมๆ แต่งตัวมอซอออกมาแทน เยี่ยซิวคาบบุหรี่อย่างเอื่อยๆ ดูซึมกะทือเหมือนอดหลับอดนอนมาหลายวัน

 

“ไฮ”

 

เยี่ยซิวคีบบุหรี่ออกจากปาก มือเรียวบอบบางยกขึ้นทักทายโม่งหน้าร้าน โม่งคนนั้นไม่ได้ทักทายกลับ แต่เอ่ยปากถาม

 

“วันนี้คุณว่างไหม”

“หา? เอ่อ อันที่จริงก็ไม่ว่างหรอก…แต่จะให้ว่างก็ได้นะ เดี๋ยวเกอไปลาเจ้านายก่อน นายรอเดี๋ยว” เยี่ยซิวพูดถึงกลางประโยคก็ต้องกลับคำทันทีที่สัมผัสถึงไอบางอย่างลอยคุกรุ่น เมื่อบอกกล่าวเจ้านายเรียบร้อยเขาก็เดินออกมาหาโม่งที่ยืนรอนิ่งไม่ขยับไปไหน “เอ้า ไปกันเถอะ”

 

ผู้ที่ปิดหน้าปิดตามองมือเขาที่ยื่นมาให้ จากนั้นก็ค่อยๆ เลื่อนมาจับช้าๆ

 

 

ชายหนุ่มสองคนเดินเคียงข้างกันไปในยามราตรี ทั้งคู่ไม่ได้พูดคุยอะไรกันจนกระทั่งเยี่ยซิวเห็นคู่รักคู่หนึ่งกระหนุงกระหนิงกันอยู่ในสวนสาธารณะ เขาหันไปมองหวังเจี๋ยซี แล้วเอ่ยกระเซ้าอีกฝ่าย

 

“เฮ้อ คนรักเกอนี่ใจดำชะมัดเลย บางทีเกอก็อยากสวีทเหมือนคู่อื่นเขาบ้างนะ”

 

หวังเจี๋ยซีไม่ตอบ แต่กระชับมือบางแน่นขึ้น เยี่ยซิวก็ไม่ได้พูดอะไรอีกจนถูกอีกฝ่ายพามาถึงย่านโรงแรม

 

“เฮ้ เจี๋ยซี ไม่คิดจะพูดอะไรหน่อยรึ เอะอะก็พาเข้าโรงแรม คนหนุ่มสมัยนี้นี่ใช้ไม่ได้จริงๆ” เยี่ยซิวบ่นงึมงำพลางถอดรองเท้าและเสื้อคลุมพาดไว้บนเก้าอี้ หากแต่น้ำเสียงนั้นไม่ได้มีร่องรอยต่อว่า คล้ายกับเป็นการพูดลอยๆ เพื่อยั่วโมโหอีกฝ่ายเล่นเสียมากกว่า

 

หวังเจี๋ยซีไม่ได้ไปโต้ตอบถ้อยคำพวกนั้น เขาถอดแว่นตาและผ้าพันคอที่ใช้พรางตัวออก แล้วกอดอกยืนมองเยี่ยซิวเงียบๆ

 

“อย่ามัวแต่อ้ำอึ้งสิ มีอะไรก็พูดมา”

 

เยี่ยซิวนั่งลงบนเตียงหนานุ่มพลางเอ่ยด้วยเสียงเรียบเรื่อย หวังเจี๋ยซีถอนหายใจ ก่อนจะทิ้งตัวลงตาม

 

“คุณไม่ตอบผมมาสามวัน”

“…ช่วงนี้เกองานยุ่ง!”

“ยุ่งจนลืมใช่ไหมว่าวันนี้วันอะไร”

 

เยี่ยซิวตาโตเมื่อได้ยินคนรักของตนกล่าวด้วยน้ำเสียงเจือความตัดพ้อ ดวงตาขนาดไม่เท่ากันเสหลบไปอีกทาง บางทีหวังเจี๋ยซีก็รู้สึกว่าตนเองงี่เง่ามากที่คิดเล็กคิดน้อยอย่างกับผู้หญิง ทั้งเขาและเยี่ยซิวต่างก็ยุ่งกันทั้งนั้น แต่เขาก็อยากให้…เยี่ยซิวใส่ใจตนมากกว่านี้อีกสักนิด

 

“เอ่อ เจี๋ยซี…” เห็นเยี่ยซิวเอียงคอเล็กน้อยเหมือนไม่แน่ใจ หวังเจี๋ยซีก็ถอนหายใจเฮือก ก่อนจะเฉลยด้วยเสียงราบเรียบ

“วันนี้วันเกิดผม”

“…”

“ผมรอคุณตั้งแต่เที่ยงคืน แต่คุณก็ไม่ยอมทักมา”

“เจี๋ยซี…”

“ผมรู้ว่ามันดูงี่เง่า ผมแค่…อยากคุยกับคุณเท่านั้น”

 

หวังเจี๋ยซีกล่าวจบก็เงียบไปอีกครู่ใหญ่ เยี่ยซิวยกมือเกาแก้ม หัวเราะเสียงแห้งๆ

 

“ถ้างั้นนายอยากจะไปที่ไหนไหม หรืออยากกินอะไร เกอจะเลี้ยงเอง!”

แต่หวังเจี๋ยซีกลับส่ายหน้า “ที่จริงผมไม่ได้อยากจะไปที่ไหน ผมอยากอยู่ในที่ที่มีคุณ”

 

ถูกคนอายุน้อยกว่าบอกมาแบบนั้น ฝ่ายเยี่ยซิวเองก็หน้าร้อนไปถึงไปหู วันนี้คนรักของเขาดูจะแปลกๆ อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

 

แต่ถึงอย่างนั้น…

 

 

“มันก็ไม่เกี่ยวกับนี่ตรงไหนเลย”

 

ใบหน้าของเยี่ยซิวปรากฏร่องรอยของความลำบากใจ เมื่อเห็นสิ่งที่หวังเจี๋ยซียื่นมาให้เขา

 

“วันนี้วันเกิดผม ตามใจผมสักหน่อยเถอะ” หวังเจี๋ยซีเอ่ยด้วยน้ำเสียงขอร้องแกมบังคับ นำของที่ติดตัวมาด้วยส่งให้เยี่ยซิว

 

“เจี๋ยซี นี่เอาจริง?”

 

เมื่ออีกฝ่ายพยักหน้าอย่างสุขุมเยือกเย็น เยี่ยซิวก็ได้แต่มองของในมือพลางทำหน้าจนใจ แล้วก็เดินเข้าห้องน้ำไปเงียบๆ

 

 

“เจี๋ยซี คือ…ต้องใส่หมดเลยหรือ?” สักพักเสียงเยี่ยซิวก็ดังออกมาจากห้องน้ำ ชายหนุ่มเว้นจังหวะไปครู่หนึ่ง ก่อนตอบกลับไปว่า “ครับ”

“…เฮ้อ ก็ได้ ก็ได้”

 

หวังเจี๋ยซีได้ยินเสียงกุกกักๆ แล้วก็เงียบหายไป ชายหนุ่มมองนาฬิกาข้อมือตนเอง ผ่านมายี่สิบนาทีแล้วแต่เยี่ยซิวกลับยังไม่ออกมา

 

“เสร็จหรือยังครับ” หวังเจี๋ยซีอดเร่งเล็กน้อยไม่ได้

“…เสร็จแล้วๆ” ได้ยินเสียงเอื่อยๆ ตอบกลับมาเสมือนกำลังปลงกับชีวิต ประตูห้องน้ำพลันเปิดออก จากนั้น…หวังเจี๋ยซีก็นิ่งค้าง

 

กี่เพ้าสีแดงสดตัดกับผิวขาวซีด ทำให้ร่างกายของเยี่ยซิวดูมีน้ำมีนวลเปล่งปลั่งขึ้นทันตา ดวงตาปรือปรอยใต้แพขนตาหนานั้น วันนี้ดูมีสเน่ห์ยั่วยวนมากเป็นพิเศษ เยี่ยซิวเป็นผู้ชายที่มีโครงร่างค่อนข้างเล็กอยู่แล้ว ดังนั้นเมื่อสวมชุดกี่เพ้าจึงดูราวกับมีแรงดึงดูดบางอย่างออกมา เนื้อผ้ามันลื่นแนบกับผิวกายเผยเอวคอดเล็กได้รูป ขาเรียวยาวโผล่พ้นรอยผ่าสูงด้านข้างค่อยๆ เยื้องย่างมาทางเขาช้าๆ พวกแก้มใสแต่งแต้มด้วยสีระเรื่อน่ามอง

 

เป็นภาพที่หวังเจี๋ยซีสาบานว่าจะไม่มีวันลืม

 

“…ดูพอหรือยัง”

 

เสียงเบาหวิวดังลอดออกมาผ่านริมฝีปากบาง ถ้าตาไม่ฝาด หวังเจี๋ยซีเห็นว่าแก้มของเยี่ยซิวมีสีแดงเข้มขึ้นอีกเฉดหนึ่ง ชายหนุ่มฉุดข้อมืออีกคนเข้ามาจนเยี่ยซิวเสียหลักล้มลงบนตัวของคนด้านล่าง

 

หวังเจี๋ยซีใช้ปลายนิ้วไล้ไปตามขาขาวๆ ที่อยู่ข้างตัว สัมผัสบางเบาค่อยๆ เลื่อนสูงขึ้น หวังเจี๋ยซีลูบผิวเนื้อนิ่มตรงขาอ่อน บรรจงมองจูบเนิบช้าปรนเปรอให้แก่เยี่ยซิว

 

“อือ…”

 

โพรงปากอ่อนนุ่มถูกอีกคนสำรวจอย่างเชื่องช้า ราวกับกำลังจดจำทุกพื้นที่ในนั้น ความอ่อนหวานรุ่มร้อนโอบรอบทั้งคู่ไว้ด้วยกัน มือของหวังเจี๋ยซีสอดเข้าไปตามรอยแยกของเสื้อผ้า เมื่อสัมผัสถูกอะไรบางอย่างก็หยุดชะงัก เยี่ยซิวปรือตามองคนที่ผละออกไปอย่างไม่ใคร่เข้าใจนัก

 

“คุณ…คุณเปลี่ยนข้างในด้วยหรือ” ใบหน้าของหวังเจี๋ยซีมีร่องรอยของความไม่แน่ใจ

 

เยี่ยซิวอ้าปากค้าง นึกถึงสิ่งที่ตนสวมแล้วใบหน้าก็แดงยิ่งกว่าเดิม เข้มจนแทบจะสูสีกับชุดได้อยู่แล้ว

 

การที่เยี่ยซิวไม่ตอบก็ถือเป็นคำตอบให้เขาแล้ว หวังเจี๋ยซีมองคนรักของตนอีกครั้ง นี่หมายความว่าที่เยี่ยซิวถามเขาก่อนหน้าคือเรื่องนี้…

 

“จะว่าไป นายก็ไม่ค่อยบอกรักเกอเลยนะ เกอน้อยใจรู้หรือเปล่า”

 

เยี่ยซิวทำทีเปลี่ยนเรื่อง หยิบเอาเรื่องคู่รักที่พวกเขาเจอเมื่อเย็นมาพูดแทน หวังเจี๋ยซีหรี่ตาลงอย่างรู้ทัน แต่ก็ยินยอมให้ความร่วมมือ

 

“คุณเองก็ด้วย”

เยี่ยซิวยิ้มเผล่ “งั้นก็ถือว่าเจ๊ากัน ดีไหม”

 

หวังเจี๋ยซีส่ายหน้า เอื้อมมือไปด้านหลังของเยี่ยซิวเพื่อที่จะรูดซิบชุดลง แต่กลับโดนมือบอบบางตีเข้าหนึ่งที

 

“ทำอะไรน่ะ”

ดวงตาของหวังเจี๋ยซีส่อแววอันตราย “หรือคุณอยากทำทั้งชุดนี้ ผมไม่เกี่ยงหรอกนะ”

 

สุดท้ายเยี่ยซิวจึงต้องยอมให้หวังเจี๋ยซีค่อยๆ รูดซิบลงแต่โดยดี อาภรณ์สีแดงเลื่อนหลุดออกจากร่าง เผยหัวไหล่มนกลมกลึง จมูกของหวังเจี๋ยซีไล่ไปตามผิวเนื้อเนียนละเอียด ผ่านกระดูกไหปลาร้า ลูกกระเดือก จบที่ริมฝีปากอุ่นนุ่มคลอเคลียไม่ห่าง

 

มือเลื่อนไปยังเบื้องล่าง สัมผัสบางเบาและขรุขระจากเนื้อผ้าซีทรูลายลูกไม้สีดำส่งผ่านปลายนิ้วมือ เยี่ยซิวบิดตัวเร่า เมื่อความปราถนาใต้ร่มผ้าถูกแตะต้องอย่างแนบชิดกว่าที่ควรจะเป็น หวังเจี๋ยซีลูบมันอย่างเชื่องช้าประหนึ่งกำลังให้ความเอ็นดูอย่างที่สุด

 

หวังเจี๋ยซีเกาะเกี่ยวมันลงมา ความเป็นชายของเยี่ยซิวขยายขึ้นเมื่อถูกปลดปล่อย หวังเจี๋ยซีพรมจูบรอบสะดือ ถอยลงไปตรงท้องน้อย ก่อนจะกลับมาครอบครองยอดตุ่มไต่เสมือนกำลังหยอกล้อ

 

“อ๊ะ…อืม”

 

เยี่ยซิวอ้าปากหายใจเบาๆ เผลอเกร็งขึ้นมาฉับพลันที่ถูกบางสิ่งสอดใส่เข้ามาในตัว หวังเจี๋ยซีตระเตรียมโพรงอุ่นแคบอย่างไม่เร่งร้อน รอจนเยี่ยซิวผ่อนคลายลงแล้วจึงค่อยๆ พาตนเองเข้าไปในร่างของอีกฝ่าย

 

เสียงหอบหายใจดังคละเคล้าในห้อง เตียงส่งเสียงลั่นประท้วงเมื่อถูกแรงจากด้านบนโหมกระหน่ำมาไม่หยุด ขาเรียวเหยียดออกตวัดรอบเอวของผู้ที่อยู่ด้านบนเพื่อรองรับแรงอารมณ์ของอีกฝ่าย

 

หวังเจี๋ยซีผ่อนจังหวะให้ช้าลง จูบบนเรือนผมดำขลับเปียกชื้นเบาๆ

 

“ผมคิดถึงคุณ”

 

เยี่ยซิวที่บัดนี้ถูกย้อมไปด้วยแรงราคะมองคนรักอย่างไม่เข้าใจ หวังเจี๋ยซีหยุดขยับ โน้มตัวลงจูบที่เปลือกตาของเยี่ยซิว

 

“ผมหลงใหลคุณ”

 

สมองเยี่ยซิวเริ่มกลับมากระจ่างใสช้าๆ หวังเจี๋ยซีไม่ได้หยุดแค่นั้น ริมฝีปากอุ่นๆ เลื่อนมาที่ลำคอ

 

“ผมต้องการคุณ”

 

หวังเจี๋ยซีประทับจูบลงบนหน้าอกที่กระเพื่อมเบาๆ ลมหายใจอุ่นร้อนรดลงบนผิวเนื้อ ถ้อยคำกระซิบหวานถูกส่งออกมา

 

“คุณเป็นของผม”

 

ดวงตาเยี่ยซิวเบิกกว้างมากขึ้น พร้อมๆ กับความร้อนในร่างกายที่เพิ่มขึ้นตามไปด้วย นี่คงไม่ใช่…

 

ข้อมือบอบบางถูกยกขึ้นมาจรดลงบนริมฝีปาก หวังเจี๋ยซีเหลือบตาขึ้นมองขณะเอ่ยคำพูดชวนให้เขินจนแทบบ้า

 

“ผมปราถนาในตัวคุณ”

 

“เจี๋ย–” เสียงถูกกลืนหายไปในลำคอ กลีบปากถูกกลืนกลิ่นอย่างนิ่มนวล หวังเจี๋ยซีละจากความอุ่นนุ่มอย่างอ้อยอิ่ง ดวงตาสองของอาบย้อมไปด้วยความหมายลึกซึ้ง

 

“ผมรักคุณ”

 

“…”

 

ต้องบอกว่าเป็นอะไรที่…เยี่ยซิวคาดไม่ถึงมาก่อน

 

ตัวเขาเป็นถึงเจ้ากลยุทธ์ การอ่านเกมหรืออ่านนิสัยคนล้วนทำจนชำนาญ ดังนั้นย่อมรู้จักนิสัยของหวังเจี๋ยซีดี การที่เด็กนี่มีมุมโรแมนติกถึงขนาดบอกรักด้วยการจูบ…เป็นอะไรที่เยี่ยซิวไม่เคยคิดว่าหวังเจี๋ยซีจะกระทำ

 

“…เยี่ยซิว?”

 

หวังเจี๋ยซีร้องเรียกเบาๆ เมื่อคนรักของตนก้มหน้านิ่งเงียบไป หวังเจี๋ยซีเม้มปาก รู้สึกใจเสียเล็กน้อย

 

เยี่ยซิวเงยหน้าขึ้นมา พวงแก้มสุกปลั่ง แดงไปถึงใบหูมน นัยน์ตาสีเข้มอ่อนเชื่อมกำลังมองตรงมาที่เขา

 

เยี่ยซิวยืดตัวขึ้น ใช้ลำแขนโอบรอบคอหวังเจี๋ยซีให้โน้มลงมา จากนั้นก็จูบที่สันจมูก

 

หวังเจี๋ยซีกระพริบตาเชื่องช้า จูบที่สันจมูกคือ…การให้ความสำคัญ

 

จากนั้นริมฝีปากก็ย้ายไปตามส่วนต่างๆ ของร่างกายเขา ตั้งแต่เรือนผม เปลือกตา ลำคอ แผ่นอก ข้อมือ ตามลำดับที่หวังเจี๋ยซีทำไม่มีผิดเพี้ยน จบท้ายด้วยการทาบทับริมฝีปากเบาๆ

 

“ฉันก็รักนาย”

 

ใบหน้าหล่อเหลาของกัปตันหนุ่มขึ้นสีเลือดทันที เยี่ยซิวชอบทำอะไรที่เขาคาดไม่ถึงอยู่เสมอ เยี่ยซิวเอียงคอ หัวเราะเบาๆ เงยหน้าจูบที่ใบหูอีกฝ่าย

 

“รออะไรอยู่หรือ”

 

จูบที่ใบหูหมายถึงการเชื้อเชิญ

 

นัยน์ตาของหวังเจี๋ยซีวาววับ เขาโอบกอดอีกฝ่ายเอาไว้ ความปราถนาขยับชักนำคนรักให้ตกอยู่ในห้วงอารมณ์อีกครั้ง ค่อยๆ ละเลียดชิมเนื้อกระต่ายนุ่มนิ่มจนเหลือเพียงเสียงครางดังสะท้อนก้องทั้งคืน

 

 

 

หวังเจี๋ยซีเดินมาส่งเยี่ยซิวที่หน้าซิงซินในตอนเช้า เขาถูกรั้งไว้ด้วยข้อมือขาว บางสิ่งถูกยัดใส่มาในมือของเขา มันคือถุงกระดาษที่เยี่ยซิวซ่อนเอาไว้ในเสื้อโค้ทตั้งแต่เมื่อวาน

 

เยี่ยซิวกระซิบที่ข้างหูของเขา น้ำเสียงเจือแววชั่วร้ายนิดๆ “เกอไม่ได้ลืมหรอก แต่ช่วงนี้ถังแตกนิดหน่อย ถือเป็นของสมนาคุณแล้วกัน”

 

หวังเจี๋ยซีเหม่อมองคนที่เดินหายเข้าไปในร้าน ก่อนจะแกะถุงกระดาษออกมาดู

 

 

 

หลังจากวันนั้น กุญแจห้องนอนของกัปตันแห่งเวยเฉ่าก็มีพวงกุญแจเพนกวิ้นหน้าตาประหลาดสวมเสื้อคลุมพ่อมดสีเขียวเพิ่มมาอีกหนึ่งอัน

 

 

 

 

 

END

 

พี่หวังคนคูล จะบอกรักแบบธรรมดามิได้ ต้องบอกด้วยการจูบแบบคูลๆ/ผิด

ที่จริงคือวันนี้วันจูบค่ะ //_\\ ก็อยากให้ต้าเหยี่ยนได้จูบพี่เยี่ยเยอะๆ พี่หวังเป็นพวกปากแข็ง ส่วนพี่เยี่ยเป็นพวกไม่ค่อยชอบพูด แต่งคู่นี้แล้วสนุกดีค่ะ

สุขสันต์วันเกิดนะคะพี่หวัง! น้องใช้หยาดเหงื่อและแรงกายเขียนฟิคเพื่อพี่เลยนะคะ! อันนี้แต่งเร็วมาก เทียบกับความเชื่องช้าในยามปกติ แอบสะพรึงตัวเองมาก นี่ต้องเป็นคำสาปของพี่หวังแน่ๆ/ไม่ใช่

/จากนี้ขอนอนอืดสามวัน

QZGS

[Fic QZGS] – Key of heart 1 (หวงเยี่ย)

Fic 全职高手 – Key of heart 1 (หวงเส้าเทียน x เยี่ยซิว)
#auweekly idol ย้อนหลัง #หวงเยี่ย

note : ไหใบใหม่ ตั้งใจจะเขียนให้มันเป็นฟิคฮาค่ะ แต่ว่า…
note2 : สาบานว่าเป็นวีคลี่ไอดอลจริงๆ นะคะ แงง
ฉีกอารมณ์เดิมมาก ขอโทษด้วยค่ะ ฮือ/กราบรอบทิศ

 

 

 

——-

 

 

…ลึกสู่ใต้นาวา…
…เหล่าฝูงปลาพาแหวกว่าย…
…ปลายครีบจักกรีดกราย…
…ขับขานไปทั่วธารา…
…ตำนานจึงก่อเกิด…
…ถือกำเนิดเจ้าคีตา…
…สดับมนต์นำพา…
…คือลำนำแห่งวารี…

 

 

 

:: Key of heart ::

– 00 –

 

 

 

 

“ตกลงนายจะว่ายังไง”

 

ชายสองคนนั่งประจันหน้าเข้าหากัน บรรยากาศเคร่งเครียดปกคลุมไปทั่วห้อง บอสใหญ่แห่งบริษัทเจียซื่อทำหน้าเครียดขึง เมื่อต้องเป็นคนมาเจรจาเกลี้ยกล่อมเยี่ยซิวด้วยตนเอง

 

เยี่ยซิว หรือที่รู้จักกันในนาม เยี่ยชิว นักร้องชื่อดังระดับประเทศ คร่ำหวอดอยู่ในวงการนานกว่าสิบปี เรียกได้ว่าตั้งแต่เด็กห้าขวบถึงผู้ใหญ่อายุห้าสิบไม่มีใครไม่รู้จัก

 

เยี่ยซิวมีน้ำเสียงที่ไพเราะสะกดใจ ยามเปล่งเสียงร้องมีพลังเปี่ยมด้วยสเน่ห์เหลือล้น ข้อเสียเพียงอย่างเดียวของเยี่ยซิว คือการที่เขาไม่เปิดเผยใบหน้าของตน เรียกได้ว่าเป็นพวกขายเสียงไม่ขายหน้าตานั่นเอง

 

“เยี่ยซิว นายต้องเข้าใจนะว่ายุคนี้ไอดอลที่ขายแต่เสียงร้องใช่ว่าจะยืนหยัดได้หมดทุกคน”

 

บอสแห่งเจียซื่อหยิบยกเอาข้อเท็จจริงขึ้นมาพูด ถึงเยี่ยซิวจะทนฝ่าฟันมาได้ถึงสิบปี แต่ในปัจจุบันมีไอดอลหนุ่มสาวเลือดยุคใหม่มากมาย การที่เยี่ยซิวไม่เปิดเผยหน้าตานับว่าเป็นอุปสรรคในการทำงานอย่างมาก ไม่รับงานโฆษณา ไม่มีสปอนเซอร์ เพราะนั่นหมายถึงตัวเยี่ยซิวไม่มีมูลค่าใดๆ เชิงพาณิชย์เลย

 

นับตั้งแต่ปล่อยอัลบั้มแรก อี๋เยี่ยจือชิว ออกมา เยี่ยซิวก็ดังเป็นพลุแตก แฟนคลับต่างกระเหี้ยนกระหือรืออยากจะเห็นหน้ามหาเทพเยี่ยชิวดูสักครั้ง เพราะทั้งเนื้อร้องและทำนอง เยี่ยซิวเป็นคนแต่งเองทั้งหมด แต่เจ้าตัวก็เก็บตัวเงียบ ไม่ออกสื่อใดๆ ทั้งสิ้น ถึงขั้นมีปาปารัซซี่มาดักรอที่หน้าตึกบริษัท เพียงเพราะอยากได้รูปของเยี่ยชิว

 

การที่เยี่ยซิวยังมีแฟนเพลงเหนียวแน่นจนถึงทุกวันนี้ คงกล่าวได้เพียงว่าความลึกลับเป็นสเน่ห์อย่างหนึ่ง เพียงเปล่งเสียงออกมา ก็ทำให้ผู้คนเคลิบเคลิ้มเหมือนตกอยู่ในภวังค์ จินตนาการถึงภาพไซเรนในตำนานแห่งท้องทะเลที่เร้นกายอยู่ใต้เมฆหมอก ใช้เสียงล่อลวงเหล่านักเดินเรือให้หลงใหลอยู่ในมนต์สะกด ดังนั้นเพลงของเยี่ยซิวจึงถูกผู้คนเรียกขานกันว่าเป็น บทเพลงของไซเรน

 

เพลงของเยี่ยซิวได้รับการยอมรับอย่างมาก เรียกได้ว่าไม่มีใครกังขาในความสามารถของเขา แต่ความสามารถก็เรื่องหนึ่ง เรื่องธุรกิจก็อีกเรื่องหนึ่ง ความมีมูลค่าในตัวของเยี่ยซิวนั้น เทียบไอดอลสาวซูมู่เฉิงในสังกัดเดียวกันไม่ได้เลย ซูมู่เฉิงแม้จะเสียงไม่ดีเท่าเยี่ยซิว แต่ก็เป็นคนรูปร่างหน้าตาดี เมื่อขยันทำงานออกสื่อจึงทำให้โด่งดังไม่แพ้เยี่ยซิวเลยแม้แต่น้อย

 

ขณะนี้ประธานใหญ่ของบริษัทเจียซื่อจึงจำเป็นต้องยื่นข้อเสนอบางอย่างให้แก่เยี่ยซิว เพื่อที่จะสามารถอยู่รอดต่อไปได้

 

“คิดดูดีๆ สิ ช่วงนี้นายเก็บตัวอยู่ไม่ใช่หรือ น่าจะมีเวลาว่างเหลือเฟือ?”

 

เยี่ยซิวในตอนนี้เก็บตัวมิดชิดยิ่งกว่าเดิม เหตุผลคือเขากำลังหาแรงบันดาลใจในการแต่งเพลงของอัลบั้มครบรอบสิบปีเพื่อเป็นการขอบคุณแฟนๆ ที่คอยสนับสนุน

 

เยี่ยซิวถอนหายใจเฮือกใหญ่ หันไปมองซูมู่เฉิงที่ยื่นให้กำลังใจอยู่ด้านข้าง ซูมู่เฉิงเป็นห่วงอนาคตในวงการเพลงของเขามาตลอด แต่เธอเลือกที่จะไม่พูดเท่านั้น

 

“เงื่อนไขคืออะไร?”

 

บอสใหญ่ดีใจจนแทบเนื้อเต้นเมื่อในที่สุดคนเอื่อยเฉื่อยอย่างเยี่ยซิวเริ่มให้ความสนใจ เขากระแอมไอ เริ่มเอ่ยชักจูงอย่างเป็นการเป็นงาน

 

“แค่สามเดือนเท่านั้น ประธานหวงยื่นเงื่อนไขมาเท่านี้ หากนายตกลง โปรเจคหน้าเขาจะกลายเป็นผู้ร่วมลงทุนหลักทันที แถมค่าตอบแทนก็ดีด้วย”

 

สามเดือน…บางทีอาจเขาอาจจะได้แรงบันดาลใจเพิ่มเติมก็ได้ อีกอย่างค่าตอบแทนก็ไม่น้อย…จิตใจเยี่ยซิวเริ่มหวั่นไหว แต่ก็ยังไม่ยอมตกลง

 

เวลาไหลผ่านไปเรื่อยๆ ประธานใหญ่รอแล้วรอเล่า จนทนไม่ไหวแล้วจริงๆ ตัดสินใจตบโต๊ะดังปัง! ยื่นคำขาด ทำให้เยี่ยซิวทำหน้าช็อคประหนึ่งฟ้าถล่ม

 

“ถ้านายไม่ไปฉันจะสั่งถอดสายเน็ตโต๊ะคอมนายออก!”

 

 

และเย็นวันนั้นเยี่ยซิวก็หอบกระเป๋าออกจากเจียซื่อด้วยท่าทางเหมือนหญิงสาวถูกสามีรังแกจนต้องออกจากบ้าน…

 

 

 

– 01 –

 

“หา?”

 

หวงเส้าเทียนทำช้อนร่วงลงไปในชามโจ๊ก ปากอ้าค้างเผยฟันเขี้ยวเล็กๆ ด้านหน้าสองซี่

 

“หาอะไรของแก” ชายสูงวัยที่นั่งอยู่หัวโต๊ะทำหน้าเหม็นเบื่อ เมื่อลูกชายหัวแก้วหัวแหวนอ้าปากกว้างจนแมลงวันบินเข้าไปตายได้

“อ้าว ก็พ่อบอกว่าจะให้คนมาสอนผมร้องเพลงไม่ใช่เหรอ พ่อคิดว่า–”

“ก็ใช่ไง! แกปิดเทอมอยู่ว่างๆ ไม่ใช่เรอะ” ผู้เป็นบิดารีบเอ่ยแทรกก่อน เพราะรู้ว่าเจ้าลูกชายคนนี้มีนิสัยพูดเยิ่นเย้อ สามวันก็คุยไม่จบ

“ก็นั่นแหละ พ่อคิดอะไรของพ่อ! นี่พ่อจะ–”

“เอาล่ะๆ ก็ฉันเห็นแกชอบนักไม่ใช่หรือไง ชื่ออะไรนะ อ้อ มหาเทพเยี่ยชิว!”

 

หวงเส้าเทียนหน้าแดงก่ำขึ้นมาทันทีเมื่อถูกล้อเรื่องรสนิยม ว่าง่ายๆ คือเขาเป็นแฟนคลับที่แสนเหนียวแน่นของเยี่ยชิวคนนั้นนั่นเอง! เยี่ยชิวคนที่เอาแต่ร้องเพลงไม่ยอมเปิดโม่งให้เห็นหน้าค่าตา แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็สะสมทุกอัลบั้ม ทั้งสินค้าออฟฟิเชียลของเยี่ยชิวที่ทำเป็นรูปกระต่ายมีหางเงือก เขาก็ตามเก็บทุกอย่าง

 

เพ้ย แต่ว่าเรื่องนั้นกับเรื่องนี้มันเกี่ยวกันซะที่ไหน! เขาชอบเพลงของเยี่ยชิว ใช่ชอบการร้องเพลงเสียเมื่อไหร่

 

“ผมไม่ได้อยากเรียนร้องเพลงสักหน่อย!!”

“เพ้ย ไอ้ลูกคนนี้ เรียนๆ ไปเถอะน่า แล้วแกจะต้องขอบคุณฉัน!”

 

ท่านประธานหวงเอ่ยอย่างมั่นใจ ก่อนจากไปยังยักคิ้วให้ผู้เป็นลูกชายหนึ่งที ทิ้งแผ่นหลังสุดเท่ไว้ในหวงเส้าเทียนได้ยล

 

 

“เฮอะ ไม่ว่าจะเอาใครมาผมก็ไม่อยากเรียนหรอกน่า!” หวงเส้าเทียนยังบ่นงำงัมไม่เลิกรา “จริงสิ ถ้ามาแล้วเราไม่ต้องไปเรียนซะก็สิ้นเรื่อง เดี๋ยว ถ้าอย่างนั้นต้องโดนตาแก่บ่นหูชาแน่ ถ้างั้นก็ทำให้ลาออกไปเองเลยเป็นไง! วะฮ่าฮ่า อัจฉริยะจริงๆ เลยตัวฉัน”

 

หวงเส้าเทียนเอามือเท้าเอวหัวเราะลั่น ไม่ได้สังเกตถึงคนรับใช้ที่มองด้วยสายตาว่างเปล่าประหนึ่งชินชา

 

 


 

 

เยี่ยซิวมาถึงคฤหาสถ์ทรงยุโรปใหญ่โตราวกับปราสาทขนาดย่อมๆ ก็ราวๆ ช่วงสาย คนรับใช้ที่ยืนเรียงรายสองข้างทางเพื่อต้อนรับเขาทำให้เยี่ยซิวรู้สึกกระอักกระอ่วนนิดหน่อย เขาส่งกระเป๋าให้คนที่รอรับอยู่ ก่อนเดินไปตามพ่อบ้านที่ถูกส่งมานำทาง

 

“เชิญตามสบายนะครับ อีกสักครู่คุณชายถึงจะมาครับ”

 

เยี่ยซิวโบกไม้โบกมืออย่างไม่เรื่องมาก นั่งรอในห้องอย่างว่าง่าย จะว่าไปห้องดนตรีของที่นี่ก็กว้างดีจริงๆ เครื่องดนตรีก็มีครบครัน

 

ผ่านไปนานเท่าไหร่ไม่รู้ แต่เยี่ยซิวรอจนเมื่อยแล้ว คนที่ถูกบอกว่าเป็น ‘คุณชาย’ ก็ยังไม่ออกมา

 

ตกเย็น เยี่ยซิวที่รอจนท้องไส้ปั่นป่วนไปหมดถึงได้รับการบอกจากพ่อบ้านคนเดิมว่าสามารถกลับไปพักที่ห้องได้

 

เมื่อเยี่ยซิวไปถึงห้องพักที่ถูกเตรียมไว้ อาหารก็ถูกยกเข้ามาพอดี เมดสาวเอ่ยด้วยท่าทางลำบากใจว่าเขาไม่ได้รับอนุญาตไปให้ร่วมโต๊ะอาหาร

 

เยี่ยซิวหัวเราะ บอกว่าไม่เป็นไร ซึ่งเขาก็ไม่ใส่ใจจริงๆ เพราะเยี่ยซิวเองก็ขี้เกียจไปนั่งปั้นหน้ามีมารยาทผู้ดีเหมือนกัน

 

เยี่ยซิวทานเสร็จในเวลารวดเร็ว ปกติเขาเป็นคนทานน้อยอยู่แล้ว แถมทานเนื้อไม่ค่อยได้ เนื้อหนังจึงติดจะผอมแห้ง กล้ามเนื้อก็ไม่ค่อยจะมี

 

เขาถอดเสื้อผ้าออกเพื่อที่จะไปอาบน้ำชำระร่างกาย พอเปิดประตูห้องน้ำออกเยี่ยซิวก็ต้องเผลออุทานเบาๆ เมื่อเห็นห้องน้ำกว้างขวางและมีอ่างจากุชชี่ขนาดใหญ่ตั้งอยู่ตรงใจกลาง

 

เยี่ยซิวสูดหายใจลึก ความรู้สึกรุนแรงที่ปะทุอยู่ภายในทำให้เขาค่อยๆ หย่อนขาลงไปในน้ำทีละข้างช้าๆ จากนั้นก็ลงไปแช่ทั้งตัว

 

เยี่ยซิวหลับตา ซึมซับความรู้สึกสดชื่นโล่งสบายที่ส่งผ่านสายน้ำมายังร่างกายของเขา เยี่ยซิวใช้เวลาอยู่ในห้องน้ำนานถึงสองชั่วโมงก่อนจะออกมา

 

 

วันรุ่งขึ้น และอีกหลายวันต่อมาก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ราวกับเปิดม้วนหนังกรอกลับไปกลับมา ฝ่ายเยี่ยซิวก็ไม่ได้เดือดเนื้อร้อนใจอะไร ดีเสียอีก เหมือนได้มาพักร้อนแทนที่จะมาทำงานเสียอย่างนั้น

 

 

วันนี้เยี่ยซิวรอจนเวลาผ่านไปอีกราวสองชั่วโมง ในที่สุดเขาจึงเลิกคิดที่จะนั่งรอเปล่าๆ เดินไปเปิดฝาครอบแกรนด์เปียโนสีขาวออก จรดปลายนิ้วบรรเลงบทเพลงชื่อดังเป็นจังหวะนุ่มนวล

 

เยี่ยซิวร้องคลอตามเบาๆ ทำให้บรรดาคนรับใช้ที่อยู่แถวนี้เป็นต้องเดินแวะเข้ามาดูเสียหน่อย และเมื่อได้ยินบทเพลงอันไพเราะทั้งทำนองทั้งเสียงร้องก็อดที่จะหยุดยืนฟังไม่ได้

 

 


 

 

ครั้งแรกที่หวงเส้าเทียนได้ยินว่าครูสอนร้องเพลงมาที่บ้านเขาแล้ว เขาก็รู้สึกตื่นเต้นและเฝ้ารอนิดหน่อย นิดหน่อยจริงๆ นะ! เพราะเขาได้ยินว่าจะเป็นคนจากในวงการมาเพื่อสอนเขาโดยเฉพาะ

 

แต่พอมาพบตัวจริงเข้าหวงเส้าเทียนก็รู้สึกผิดหวังสุดๆ

 

ผู้ชายรูปร่างหน้าตาธรรมดานั่นมันอะไรกัน หน้าตาก็ไม่เคยเห็น จะให้คุณชายน้อยอย่างเขามาเรียนกับนักร้องโนเนมนี่จริงเรอะ

 

หวงเส้าเทียนที่ยืนแอบมองครูคนใหม่อยู่ห่างๆ คิดเช่นนี้ ดังนั้น วันแรกเขาจึงแกล้งปล่อยให้หมอนั่นรอเสียหน่อย เผื่อว่าหมอนั่นจะอารมณ์เสีย แล้วโวยวายว่าไม่อยากสอนเขา

 

ทว่าสิ่งที่หวงเส้าเทียนหวังไม่เคยเป็นจริง

 

วันแล้ววันเล่า หมอนั่นนั่งอยู่เฉยๆ สายตาเฉื่อยชาชอบเหม่อมองออกไปไกล และมักจะหยุดอยู่ตรงที่สระว่ายน้ำนานเป็นพิเศษ

 

ฝ่ายนั้นไม่เดือดร้อน แต่ฝ่ายเขาสิเดือดร้อน!

 

หวงเส้าเทียนทำการกลั่นแกล้งเล็กๆ น้อยๆ สารพัด ทั้งเรื่องไม่ให้กินข้าวตรงเวลา ลดปริมาณอาหาร แต่กลับพบว่าหมอนั่นกินน้อยกว่าที่เขาเตรียมไว้ให้อีก! บ้าเอ๊ย ผอมจนจะเหลือแค่หนังหุ้มกระดูกแล้ว อยากตายเรอะ!

 

หลังจากนั้นหวงเส้าเทียนเลยแอบบอกป้าแม่ครัวให้ใส่ของชอบเขาไปอีกสองสามอย่าง แล้วก็ถูกหมอนั่นเมินอย่างไม่ไยดี…

 

จนเขามารู้ว่าหมอนั่นไม่ค่อยชอบกินเนื้อนั่นแหละ เขาเลยเปลี่ยนเป็นผักผลไม้ให้ หมอนั่นก็กินเยอะขึ้นจริงๆ ด้วย

 

สรุปแล้วแบบนี้หมอนั่นจะเอาโปรตีนที่ไหนไปสร้างกล้ามเนื้อกันเล่า

 

หวงเส้าเทียนยิ่งคิดยิ่งหัวเสีย ตัดสินใจจับตาดูไปก่อนเพื่อหาจุดอ่อนของหมอนั่น

 

แต่วันนี้มีบางสิ่งที่เปลี่ยนไป เยี่ยซิวเลิกนั่งรออยู่เฉยๆ หันมาเล่นเปียโนแทน หวงเส้าเทียนเห็นแล้วกลุ้มใจกว่าเดิม เพราะหมายความว่าชายคนนั้นไม่คิดที่จะล้มเลิกความคิดแล้วจากไปง่ายๆ

 

สุดท้ายเขาจึงตัดสินใจที่จะไปคุยกันให้รู้เรื่อง บางทีอาจจะตกลงให้ฝ่ายนั้นออกจากบ้านเขาไปได้ด้วยดี

 

 

 

หวงเส้าเทียนหยุดลงที่หน้าห้องดนตรี ได้ยินเสียงเปียโนแว่วหวาน เสียงร้องแผ่วเบาดังเข้ามาในโสตประสาท ทำให้ตกอยู่ในห้วงของบทเพลงราวกับร่ายมนต์

 

เมื่อผู้ที่เล่นเปียโนสังเกตเห็นเขา นิ้วเรียวยาวที่หวงเส้าเทียนพึ่งได้เห็นว่ามันสวยงามมากขนาดไหนก็หยุดลง ริมฝีปากของอีกคนแย้มยิ้มเบาบาง

 

“ในที่สุดก็มาจนได้นะ ‘คุณชาย'”

 

 

 

เพียงประโยคเดียวที่เปล่งออกมา ก็ทำให้ความคิดที่จะไล่ตะเพิดอีกฝ่ายออกจากบ้านของหวงเส้าเทียนมลายหายไปโดยพลัน…

 

 

 

 

 

 

 

TBC

 

ต่อจากนี้จะพึงสังวรว่าตัวเองไม่ใช่สายฮาค่ะ/หัวเราะแห้ง พล็อตอันนี้ สารภาพว่าโผล่มาตอนบรรยายเสียงพี่ จากนั้นเลยต้องปรับโครงเรื่องใหม่ทั้งหมด o<-< ขอค้างไว้ก่อนนะคะ ต้องไปปั่นฟิควันเกิดพี่หวังก่อน ฮือ

Key of heart 1
QZGS

[Fic QZGS] – The rainy day, when I met a cat 1 (ส่านซิว)

[AU Fic 全职高手] – The rainy day, when I met a cat (ส่านซิว)
ชื่อไทย : อย่าปล่อยบอสไว้กับแมว (พรืดดดดด) ใคร ใครโหวตมารับผิดชอบด้วย ฮือ555 #ส่านซิว #CEOทาสแมว

note : กรุณาอย่าถามเหตุผลจากเรื่องนี้ และมีสปอยตัวละครที่ยังไม่ออกในเล่มไทยค่ะ น่าจะออกมาในเล่ม 9 ถ้าไม่อยากเจอกรุณาหลบให้ดี
note2 : เป็นเรื่องยาวแนวเรื่อยๆ ค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป ว่าด้วยชีวิตประจำวันของบอสและแมวของเขา(….)

 

 

 

 

00
– ระหว่างทางกลับบ้าน –

 

 

 

ท้องฟ้าปกคลุมด้วยเมฆหม่นครึ้ม หยาดฝนโปรยปรายไม่ขาดสาย ผู้คนสัญจรขวักไขว่อย่างรีบเร่ง มองจากด้านบนดูคล้ายกับลูกวงกลมหลากสีสันสวนกันไปมา เมื่อเดินผ่านตึกสูงใหญ่ที่ตั้งตระหง่านในย่านใจกลางเมืองแล้ว ไม่ว่าใครก็ที่จะอดเหลียวมองไม่ได้

 

ในยุคที่โลกขับเคลื่อนไปด้วยเศรษฐกิจนี้ ธุรกิจเล็กใหญ่ต่างเติบโตขึ้นมาราวกับดอกเห็ด แต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะสามารถอยู่รอดได้ ในปีหนึ่งๆ ไม่ทราบว่ามีกี่รายที่ต้องปิดตัวลง

 

ทว่ามีอยู่บริษัทหนึ่งที่ล้วนแต่ถูกผู้คนจับตามอง

 

ไม่มีใครไม่รู้จักบริษัทใหญ่เริ่มผงาดขึ้นมาในช่วงหลายปีให้หลังมานี้ และมีแนวโน้มว่าจะเติบโตขึ้นเรื่อยๆ อย่างบริษัทเจียซื่อ และประธานบริษัทหนุ่มรุ่นใหม่ไฟแรงอย่างซูมู่ชิว ที่ถือว่าเป็นซีอีโออายุยังน้อยแถมมากความสามารถ

 

ขณะนี้เหล่ามนุษย์เงินเดือนทั้งหลายต่างเลิกงานกลับบ้านกันไปหมดแล้ว แต่เวลานี้ผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นซีอีโออายุน้อยที่สุดที่ทุกคนต่างพูดถึงกลับพึ่งเดินออกมาจากบริษัท

 

ชายหนุ่มในชุดสูทสีเทาอ่อนก้าวขายาวๆ ครู่เดียวก็มาถึงหน้าประตู ซูมู่ชิวติดนิสัยทำอะไรต้องรวดเร็วฉับไว เขาพยักหน้าเล็กน้อยให้กับเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยสองคนด้านหน้า มองสายฝนเทกระหน่ำอยู่ด้านนอกอยู่ชั่วครู่ ก็กางร่มสีใสเดินไปยังที่จอดรถ

 

เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาก็เห็นข้อความจากน้องสาวที่ทำให้เขาพอจะอารมณ์ดีขึ้นมาได้บ้าง หลังจากการประชุมเมื่อช่วงบ่ายที่เขาเฉ่งลูกน้องไปเสียหลายคน จากนั้นก็อยู่เคลียร์งานที่ค้างไว้ รู้ตัวอีกทีก็เป็นเวลาหนึ่งทุ่มแล้ว เขามองสภาพอากาศวันนี้แล้วก็ถอนหายใจ ป่านนี้รถคงติดเป็นแถวยาวเหมือนเคย

 

แต่ขณะจะเดินไปที่รถ ซูมู่ชิวก็สังเกตเห็นอะไรบางอย่าง

 

ภายใต้กล่องลังยุ่ยๆ ที่ถูกทิ้งกองรวมกันไว้ มีก้อนสีดำกำลังขยับไหว เมื่อพิจารณาดีๆ ก็พบว่ามันคือสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่งที่ถูกเรียกว่าแมวนั่นเอง

 

เจ้าแมวสีดำหลบฝนอยู่ใต้ลังกระดาษ เนื้อตัวสั่นระริกดูบอบบางน่าสงสาร แต่ดวงตาสีอำพันคู่นั้นดูเย่อหยิ่งไม่ยอมจำนน ไม่เหมือนกับแมวจรจัดที่ถูกทิ้งไว้เลยสักนิด

 

ซูมู่ชิวเริ่มรู้สึกสนใจขึ้นมา พาร่างตัวเองเดินเข้าไปใกล้ เหมือนว่าเจ้าแมวตัวนั้นจะรู้สึกว่าตัวมันไม่โดนฝนอีกต่อไป จึงเงยหน้าขึ้นมามองชายหนุ่มถือยืนกางร่มให้มันอยู่

 

ซูมู่ชิวพิศมองแมว มันเอียงคอมองเขาเหมือนสงสัยใคร่รู้มากกว่าจะตื่นคน ข้างๆ เจ้าแมวดำมีของบางอย่างตกอยู่ ประกายแสงสีเงินสะท้อนเข้ายังนัยน์ตาของเขา ซูมู่ชิวหยิบมันขึ้นมา สิ่งนั้นคล้ายกับเป็นสร้อยหนังห้อยจี้วงกลมสลักว่า 修

 

ซูมู่ชิวคิดว่าคงเป็นชื่อของแมวตัวนี้ เขายื่นมือไปลูบหัวมัน เจ้าแมวดำขยับหูยุกยิกหลบเล็กน้อยแต่ไม่ได้ต่อต้านอะไร ชายหนุ่มหัวเราะ ไม่รู้ว่าเพราะความสงสารหรือเพราะความเงียบสงัดในยามค่ำคืนจึงทำให้ซูมู่ชิวเอ่ยขึ้น

 

“มาอยู่กับฉันไหม อาซิว”

 

เหมือนมันจะฟังภาษามนุษย์รู้เรื่อง เจ้าแมวดำที่ถูกเรียกว่า ‘อาซิว’ ร้องม้าวหนึ่งที ก่อนมาเดินวนรอบตัวเขารอบหนึ่ง ในที่สุดก็เอนตัวถูไถเข้ากับกางเกงของซูมู่ชิว เขายิ้ม อุ้มแมวดำตัวนั้นขึ้นมา

 

“กลับบ้านกันเถอะ”

 

 

ซูมู่ชิวมือหนึ่งกางร่ม อีกมือหนึ่งอุ้มแมวตัวผอมๆ ไปยังรถยนต์ของตนเอง รถยนต์เงางามราคาหลักล้านจอดอยู่เบื้องหน้า เขาหยิบกุญแจขึ้นมาปลดล็อค จากนั้นก็ย้ายร่างตนเองพ่วงด้วยแมวเหมียวขึ้นไปบนนั้น

 

ชายหนุ่มวางแมวลงบนเบาะที่นั่งคนขับ ตั้งแต่ที่เขาอุ้มมันขึ้นมา เจ้าแมวยังไม่มีท่าทางขัดขืนหรือพยายามหนีเลยแม้แต่นิดเดียว เรียกได้ว่าเป็นแมวที่รู้ความมาก อาซิวนอนนิ่งๆ ไม่หือไม่อือ นี่ถ้ามันไม่ได้กำลังกระพริบตาอยู่ เขาคงนึกว่าหยิบตุ๊กตาแมวกลับมาแล้ว

 

เขาหยิบผ้าขนหนูหลังรถขึ้นมาเช็ดตัวให้อาซิว ซึ่งก็ยอมให้เขาทำตามใจแต่โดยดี เช็ดจนขนเริ่มแห้งเขาก็จับอาซิวมาวางไว้ที่เดิม เขาคิดว่าอาซิวคงเป็นแมวที่มีหรืออาจจะเคยมีเจ้าของมาก่อน ไม่รู้ว่าถูกนำมาทิ้งหรือพลัดหลงออกมากันแน่ ตอนที่อุ้มมาตัวอาซิวเบามาก ท่าทางขนฟูๆ นั่นคงหลอกตาเขา เขาจึงตัดสินใจพาอาซิวไปหาสัตวแพทย์ก่อน

 

เมื่อได้ข้อสรุปในใจซูมู่ชิวก็หักพวงมาลัยออกไปทันที ถ้าตาไม่ฝาด เขาเหมือนเห็นอาซิวทำหน้าพิลึกตอนที่ขับมาถึงโรงพยาบาลสัตว์

 

อืม…คงคิดมากไปเองมั้ง

 

หลังจากตรวจเรียบร้อยก็พบว่าอาซิวไม่มีเห็บหมัดติดตัวมาหรือเป็นโรคร้ายแรงอะไร หมอบอกว่าอาซิวแค่ขาดสารอาหารนิดหน่อยเท่านั้น หลังจากกำชับวิธีดูแลอีกนิดหน่อย ซูมู่ชิวก็รับคำ และพาสัตว์เลี้ยงตัวใหม่กลับบ้านเสียที

 

ซูมู่ชิวซื้อห้องชุดไว้ในคอนโดสุดหรูแห่งหนึ่ง เพราะราคาแสนแพงระบบรักษาความปลอดภัยจึงดีเยี่ยมไปด้วย และนั่นคือสิ่งที่เขาต้องการ

 

เพราะซูมู่ชิวอาศัยอยู่กับน้องสาวเพียงแค่สองคน ซูมู่เฉิงเป็นสาวสวย ดังนั้น อะไรที่ป้องกันได้ เขาก็จะป้องกันไว้ก่อน พวกเขาสองพี่น้องเป็นเด็กกำพร้า ต้องอยู่อย่างยากลำบากในห้องที่เล็กเท่ารูหนูมาตั้งแต่เด็กๆ โดยเฉพาะซูมู่ชิว ต้องปากกัดตีนถีบทำงานหาเงินเพื่อที่จะเลี้ยงดูน้องสาว…ครอบครัวที่เหลืออยู่เพียงคนเดียวของเขา

 

นับว่ายังดีที่ทั้งซูมู่ชิวและซูมู่เฉิงต่างมีหัวคิดสร้างสรรค์ ยิ่งตัวซูมู่ชิวแทบเรียกได้ว่าเป็นอัจฉริยะ เขาสามารถคิดค้นสิ่งใหม่ๆ และทำกำไรได้มหาศาลอยู่เสมอ

 

แต่ว่าก่อนที่จะกลายเป็นบุคคลที่ประสบความสำเร็จได้ถึงขนาดนี้ ซูมู่ชิวต้องผ่านอะไรมาบ้าง ก็มีเพียงสวรรค์ที่ล่วงรู้

 

ช่วงที่บริษัทเจียซื่อเร่ขายหุ้นทอดตลาดในราคาถูกจนน่าใจหายซูมู่ชิงค่อยๆ ใช้กำลังเงินที่ตนมีกว้านซื้อไว้ทีละนิด หลังจากที่ธุรกิจของตนเริ่มทำกำไรมากพอสมควร ซูมู่ชิวจึงสามารถถือครองหุ้นส่วนใหญ่ของเจียซื่อได้สำเร็จ และขึ้นแท่นบริหารจนนำพาเจียซื่อรอดพ้นจากวิกฤต ทำให้เจียซื่อที่เคยเป็นบริษัทขนาดกลางมุ่งสู่บริษัทชั้นนำระดับประเทศ

 

แม้ตนจะมีเงินมากมาย แต่เพราะเคยยากจนมาก่อน ซูมู่ชิวจึงเป็นคนที่เรียกได้ว่า…ค่อนข้างเห็นคุณค่าของเงิน เขาไม่ใช้เงินฟุ่มเฟือยมากเกินความจำเป็นเสียเท่าไหร่

 

ใจจริงเขาก็อยากซื้อบ้านสักหลัง แต่ทั้งเขาและมู่เฉิงเคยชินที่จะอาศัยอยู่ในห้องชุดที่นี่แล้ว อีกอย่างการมีบ้านมันออกจะใหญ่เกินไปสำหรับครอบครัวที่อยู่กันแค่สองคน

 

 

ซูมู่ซิววางแมวดำไว้บนโซฟา อาซิวนอนนิ่งไม่ดื้อไม่ซน ถ้าไม่ใช่เขาพาอาซิวไปหาหมอมาแล้ว เขาต้องคิดว่ามันป่วยแน่ๆ แต่นี่ดูเหมือน…แค่เป็นแมวขี้เกียจเฉยๆ

 

พอมองแมวหน้าปลาตายนี่แล้ว ซูมู่ชิวก็นึกถึงปัญหาใหญ่ขึ้นมาได้

 

นั่นคือการอาบน้ำ

 

ซูมู่ซิวไม่พูดพร่ำทำเพลง ถือคติลงมือก่อนได้เปรียบ จับเจ้าแมวดำเข้าห้องน้ำทันที!

 

“ง๊าว!”

 

อาซิวที่ทำตัวสงบเสงี่ยมมาตลอดดิ้นพล่านทันทีที่ถึงห้องน้ำ อุ้งเท้าน้อยๆ ตะเกียกตะกายในอากาศ เมื่อเห็นว่าดิ้นไม่หลุดอุ้งเท้านั้นก็เปลี่ยนมาตบที่มือเขารัวๆ

 

เขาทั้งพูดปลอบทั้งขู่อาซิว แต่เจ้าแมวก็ยังไม่หยุดดิ้น ซูมู่ชิวได้ยินว่าอาบน้ำแมวต้องใช้ไม้อ่อน จึงเปลี่ยนวิธี

 

ซูมู่ชิวกระแอมหนึ่งที ค่อยๆ เอ่ยล่อลวง–แฮ่ม หลอกล่อแมวด้วยเสียงนุ่มนวลที่หากลูกน้องในบริษัทมาได้ยินเข้าต้องขนลุกเกรียว

 

“อาซิว พวกเรามาอาบน้ำกันดีกว่านะ เนื้อตัวจะได้สะอาดๆ ไง”

 

อาซิวแมวแสนฉลาดราวกับฟังไม่เข้าใจ จะดิ้นหลุดให้ได้ หลังจากปลุกปล้ำกันอยู่หลายนาที ซูมู่ชิวก็เอาแมวไปหย่อนไว้ในอ่างอาบน้ำสำเร็จในที่สุด

 

ไม่ใช่ว่าเขาบังคับอะไรอาซิวได้หรอก แต่ยื้อกันไปมาอยู่ดีๆ อาซิวก็เหมือนกับแมวถ่านหมด แววตาฉายประกายชัดเจนว่าเหนื่อยและขี้เกียจออกแรง ยอมปล่อยให้เขาหิ้วเข้าไปในห้องน้ำง่ายๆ

 

ซูมู่ชิวมองแมวแกล้งตายในอ่างน้ำด้วยความขำขัน บรรจงอาบน้ำให้อย่างเบามือที่สุด อาซิวพอถูกน้ำก็ไม่ได้มีท่าทางต่อต้านเช่นตอนแรก ยอมให้เขาถูเนื้อตัวประหนึ่งเขาเป็นข้าทาส

 

 

เมื่อเขาอาบน้ำแต่งตัวเสร็จก็ใช้ผ้าขนหนูสะอาดห่อตัวอาซิวเอาไว้ไปที่ห้องนั่งเล่น เขาค่อยๆ ใช้ผ้าขนหนูซับน้ำบนเส้นขนของอาซิวออก เมื่อมองระยะใกล้ จะเห็นดวงตาสีอำพันงดงามส่องประกายวาววามลึกลับ ตัดกับเส้นขนสีดำยาวนุ่มสลวยดูสุขภาพดี เขาใช้มือเกาที่หลังหูอาซิวเบาๆ แมวดำเอียงคอหลับตาพริ้มอย่างเคลิบเคลิ้ม

 

น่า…น่ารัก

 

ในใจของซูมู่ชิวผุดคำนี้ขึ้นมาฉับพลัน

 

เขาหยิบสร้อยหนังที่ดูเหมือนจะเป็นปลอกคอของอาซิวขึ้นมา จะสวมกลับเข้าไปให้ แต่ปลอกคอดันเส้นเล็กเกินกว่าจะสวมเข้าทางหัว

 

“อ้าว?”

 

เขามองแมวสลับกับปลอกคอในมือ หรือปลอกคออันนี้จะไม่ใช่ของอาซิว?

 

เขาทดลองเรียกชื่ออื่นสองสามชื่อ และตบท้ายด้วยการเรียก “อาซิว” เจ้าแมวดำก็ร้องม้าว หูกระดิก หันมามองเขาราวกับกำลังถามว่าเรียกทำไม

 

ไม่คิดแล้ว เอาเป็นว่าถ้าเขาเรียกอาซิวแล้วเจ้าแมวตัวนี้หัน งั้นก็ชื่ออาซิวแล้วกัน

 

ท้องของซูมู่ชิวส่งเสียงร้องประท้วง เขาจึงรู้สึกตัวว่ายังไม่ได้กินอะไรมาตั้งแต่เย็น เขาลุกขึ้น เรียกอาซิวมาในครัวด้วยกัน อาซิวเหลือบมองเขาหนึ่งที ก่อนจะยอมเดินตามมาแบบเอื่อยๆ

 

ซูมู่ชิวรู้สึกทั้งฉุนทั้งขำ สรุประหว่างพวกเขาใครเป็นเจ้านาย ใครเป็นสัตว์เลี้ยงกันแน่

 

ซูมู่ชิวกวาดสายตามองขอในตู้เย็น เลือกทำกับข้าวง่ายๆ สองอย่าง จากนั้นก็เทอาหารแมวที่พึ่งไปซื้อมาไว้ในจานของอาซิวที่พึ่งซื้อมาใหม่เช่นกัน

 

อาซิวเอาจมูกมาดมๆ เขี่ยๆ อาหารแมวในจานสองสามที จากนั้นก็ไม่สนใจไยดีอีกเลย

 

“…” เขาพูดไม่ออก พูดไม่ออกจริงๆ เป็นแมวแล้วยังเลือกกินด้วยรึ?

 

ซูมู่ชิวคีบแบ่งทั้งกับทั้งข้าวไปแยกไว้อีกถ้วยหนึ่ง แล้วเลื่อนไปหน้าอาซิวเงียบๆ แมวดำร้องม้าว ก่อนก้มลงกินช้าๆ น้ำเสียงนั่นซูมู่ชิวฟังแล้วรู้สึกน่าหมันไส้อย่างไรบอกไม่ถูก

 

เขายังกินไม่ถึงครึ่งถ้วย อาซิวกลับกินอิ่มแล้ว แมวดำแลบลิ้นเลียปาก หางส่ายมาเบาๆ ระหว่างนั่งรอเขากินเสร็จ

 

ซูมู่ชิวขมวดคิ้ว มองดูอาหารที่พร่องไปไม่ถึงสามส่วนในถ้วยของอาซิว เจ้าแมวตัวนี้กินน้อยเหลือเกิน มิน่าถึงขาดสารอาหารได้

 

เขาเองก็ไม่รู้ว่าควรทำยังไงให้สัตว์เลี้ยงตัวใหม่กินข้าวมากกว่านี้ดี จึงเดินไปรินนมใส่แก้วเตี้ยๆ ใบหนึ่ง แล้วไปวางหน้าอาซิวอีกครั้ง

 

หนึ่งเจ้านายหนึ่งสัตว์เลี้ยงนั่งจ้องหน้ากันครู่หนึ่ง สุดท้ายเป็นเจ้าแมวที่พ้ายแพ้ก่อน ยอมก้มหน้ากินนมแต่โดยดี ทำให้ซูมู่ชิวรู้สึกภูมิใจเล็กๆ ราวกับได้ชัยชนะอย่างบอกไม่ถูก

 

เมื่อสองนายบ่าวกินอิ่มกันเรียบร้อย ซูมู่ชิวก็เก็บจานไปล้าง วันนี้น้องสาวของเขาคงกลับดึกหน่อย แม้ซูมู่เฉิงใกล้จะเรียนจบแล้ว แต่น้องสาวของเขารับงานถ่ายแบบเล็กๆ น้อยๆ ด้วย ซูมู่ชิวย่อมเป็นห่วง แต่เขาส่งคนที่ไว้ใจได้ไปดูแลแล้ว จึงวางใจได้ส่วนหนึ่ง

 

ชายหนุ่มรวบตัวสัตว์เลี้ยงไว้ในอ้อมแขน เข้าไปในห้องนอนขนาดใหญ่ เตียงขนาดคิงไซส์ตั้งอยู่ใจกลางห้อง ภายในมีของตกแต่งง่ายๆ ไม่กี่ชิ้น และโต๊ะทำงานที่เต็มไปด้วยเอกสาร กับโน้ตบุ้คเครื่องหนึ่งวางอยู่

 

ขณะที่กำลังคิดว่าจะให้อาซิวนอนที่ไหนดีเพราะเขาลืมซื้อที่นอนสำหรับแมวมา เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น ทำให้ซูมู่ชิววางอาซิวลงบนพื้น เดินไปหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแทน

 

 

“ได้ ถ้าแบบนั้นก็เอาตามนี้”

 

ซีอีโอหนุ่มกดวางสาย กำลังคิดว่าจะไปเอาผ้านวมมาทำเป็นผ้าปูที่นอน แต่ความคิดทั้งหมดก็ต้องหยุดลง เมื่อเห็นแมวดำของตนกำลังนอนขดเป็นวงกลมอยู่บนเตียงของเขา ท่าทางกำลังหลับสบายอย่างน่าหมันเขี้ยว

 

ซูมู่ชิวล้มตัวลงข้างๆ สัตว์เลี้ยงตัวใหม่ ใช้ปลายนิ้วเขี่ยจมูกอาซิวเบาๆ แล้วหัวเราะเมื่อจมูกเล็กๆ ขยับขยุกขยิกหนีเหมือนกับรำคาญ

 

 

 

รู้ตัวอีกที ในโทรศัพท์รุ่นใหม่ล่าสุดของเขา ก็เต็มไปด้วยรูปแมวดำในมุมมองต่างๆ ด้วยกันถึงหลายสิบรูปเสียแล้ว…

 

 

 

 

 

 

-แนะนำตัวละคร-

ชื่อ : ซูมู่ชิว
อาชีพ : ประธานบริษัท
งานอดิเรก : ทำงานข้ามวัน
สิ่งสำคัญที่สุดในชีวิต : มู่เฉิง

ชื่อ : อาซิว(?)
อาชีพ : แมว(?)
งานอดิเรก : นอน
สิ่งสำคัญที่สุดในชีวิต : ???

อาซิวแผ่ออร่าลูกพี่ใหญ่ตั้งแต่ตอนแรก….แค่กๆ

 

QZGS

[Fic QZGS] – my pretty boy 1 (อวี้เยี่ย)

Fic 全职高手 – my pretty boy 1 (อวี้เหวินโจว x เยี่ยซิว)

ย้อนหลัง #auweekly อนุบาล #อวี้เยี่ย

note : ooc และสั้นมาก

 

 

(1)

“คุณครูคะ ขอฝากเด็กคนนี้ด้วยนะคะ แกค่อนข้างขี้อายน่ะค่ะ”

เยี่ยซิวมองเด็กน้อยที่หลบอยู่หลังหญิงสาว เส้นไหมสีน้ำเงินเข้มทิ้งตัวลงราวกับม่านน้ำตกเมื่อเธอก้มลงดันหลังบุตรชายให้มาอยู่เบื้องหน้า เด็กชายตัวน้อยส่ายศีรษะ เกาะขามารดาตนแน่น

“ไม่ต้องเป็นห่วงครับ” ชายหนุ่มยิ้มบาง เขาเอ่ยด้วยเสียงอ่อนโยนที่สุด ด้วยรู้ว่าเด็กอายุเท่านี้ย่อมมีความกลัวที่จะต้องแยกจากผู้ปกครองเป็นธรรมดา “มาสิ ชื่ออะไรหรือ”

เด็กชายยอมเงยหน้าขึ้นมามอง พวกแก้มแดงเรื่อ ดูน่ารักจิ้มลิ้มเหมือนเทวดาตัวน้อย “อวี้เหวินโจว…”

แม้จะเบาหวิวแต่ก็ออกเสียงชัดเจน เยี่ยซิวพยักหน้ารับ เอื้อมมือไปลูบหัวเล็กๆ “ครูชื่อเยี่ยซิว เอาล่ะ เราเข้าไปข้างในกันเถอะ มีเพื่อนๆ รอเสี่ยวอวี้อยู่เยอะแยะเลยนะ”

หลังจากอิดออดอยู่พักหนึ่ง อวี้เหวินโจวก็ยอมจับมือเยี่ยซิวเข้าไปด้านในด้วยกัน เยี่ยซิวรู้สึกโล่งใจเล็กน้อย เพราะดูเหมือนอวี้เหวินโจวจะเป็นเด็กว่านอนสอนง่าย

 

“ทุกคน วันนี้ครูมีเพื่อนใหม่มาแนะนำ”

เด็กทุกคนหยุดความวุ่นวายโดยพลัน เด็กคนหน้าสุดวิ่งทั่กๆ เข้ามาอย่างร่าเริง อ้าปากอวดสองเขี้ยวเล็กๆ

“เด็กใหม่ล่ะ เด็กใหม่ล่ะ ชื่ออะไรน่ะ ฉันชื่อเส้าเทียน! จะบอกให้ว่าฉันน่ะเป็นอริยดาบสุดเท่เชียวนะ เป็นผู้พิทักษ์คุณธรรมปราบเหล่ามารร้า–”
“เอาล่ะๆ ใจเย็นๆ ก่อนนะเส้าเทียน” เยี่ยซิวเอ่ยขัดก่อนที่เด็กน้อยผมสีน้ำตาลจะพล่ามน้ำไหลไฟดับไปมากกว่านี้ เขาลูบผมสีเข้มเบาๆ เป็นเชิงปลอบเมื่ออวี้เหวินโจวดูตกใจกำมือเขาแน่น “แนะนำตัวกับเพื่อนๆ สิ”

อวี้เหวินโจวเงยหน้ามองเยี่ยซิว เมื่อเห็นผู้เป็นคุณครูคนใหม่ยิ้มให้กำลังใจก็ลังเลเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบา “อวี้เหวินโจว”

“งั้นเหรอๆ เรากำลังเล่นอยู่พอดี มาเล่นด้วยกันสิ นายเป็นกัปตันนะๆ” หวงเส้าเทียนมัดมือชกลากอวี้เหวินโจวไปร่วมเล่นด้วยเสร็จสรรพ อวี้เหวินโจวแม้จะถูกจับจูงไปร่วมวงก็ยังไม่วายหันกลับมามองเยี่ยซิวด้วยท่าทางเป็นกังวล

เยี่ยซิวแทบจะหลุดขำ เด็กคนนี้ทำไมคิดมากอย่างนี้นะ!

“ไปสิ”

เห็นอวี้เหวินโจวดูเข้ากับเพื่อนๆ ได้เขาก็สบายใจ ถึงแม้จะไปสนิทกับตัวน่าปวดหัวอย่างหวงเส้าเทียนก็ตาม

ตอนนั้นเยี่ยซิวไม่รู้เลยว่าในอนาคตอวี้เหวินโจวจะทำให้เขาปวดหัวมากกว่าหวงเส้าเทียนหลายเท่าตัว…

 

(2)

“คุณครูเยี่ยครับ แต่งงานกับผมได้ไหม”

เยี่ยซิวหันไปมอง คนพูดคือเด็กชายท่าทางเรียบร้อยน่ารักที่พึ่งย้ายเข้ามา อวี้เหวินโจวดึงชายเสื้อเขา แก้มแดงยุ้ยๆ ดูน่ารักน่าหยิกเป็นอย่างมาก

“เสี่ยวอวี้ เธอรู้หรือเปล่าว่าแต่งงานหมายความว่ายังไง” เยี่ยซิวยิ้ม ถามเสียงเรียบเรื่อย
“รู้สิครับ เมื่อวานแม่ผมบอกว่าแต่งงานคือการได้อยู่ด้วยกันตลอดไป”

ตั้งแต่ย้ายมา อวี้เหวินโจวก็ดูจะติดเขามากกว่าคนอื่นๆ ขนาดคุณครูสาวแสนสวยขวัญใจเด็กๆ อย่างซูมู่เฉิง เด็กน้อยก็ดูจะไม่สนใจเท่าไหร่

อวี้เหวินโจวเป็นเด็กฉลาดรู้ความกว่าเด็กวัยเดียวกันมากนัก ข้อนี้เยี่ยซิวสังเกตได้ตั้งแต่คราแรกแล้ว แต่บางครั้งความไร้เดียงสาของเด็กชายก็ทำให้เยี่ยซิวอมยิ้มได้เหมือนกัน

เยี่นซิวขยี้ผมของร่างเล็กด้วยความหมันเขี้ยวจนเรือนไหมสีเข้มฟูฟ่องเป็นรังนก “บางครั้งการอยู่ด้วยกันตลอดไปก็ไม่ได้หมายความว่าต้องแต่งงานเสมอไปนะ”

เยี่ยซิวยื่นมือไปตรงหน้าอวี้เหวินโจว เด็กชายมองมืองดงามแล้วเอื้อมมือไปจับช้าๆ

เพราะมือยังเล็กอยู่จึงไม่สามารถจับได้รอบมือของเยี่ยซิว ดังนั้นอวี้เหวินโจวจึงชอบเกาะกุมนิ้วก้อยของผู้เป็นคุณครูเสมือนเป็นของรักของหวงของตนเอง

เยี่ยซิวพาอวี้เหวินโจวไปรวมกลุ่มกับเพื่อนในห้อง ส่วนตนเองก็ย้ายไปนั่งบนเก้าอี้เตี้ยๆ และเริ่มเล่นคีบอร์ดเพลงง่ายๆ ให้เด็กๆ ฟัง

ตอนบ่ายเยี่ยซิวจะนั่งเล่นคีบอร์ดไฟฟ้า และสอนเด็กๆ ร้องเพลง เด็กทุกคนชอบมาก ขนาดเด็กป่วนอย่างหวงเส้าเทียนยังยอมนั่งนิ่งไม่ดื้อไม่ซน

“มือลูกพี่สวยจัง!” เด็กชายเปาจื่อผู้ใผ่ฝันอยากโตไปเป็นอันธพาลชมเปาะ
“บอกกี่ครั้งแล้วว่าให้เรียกคุณครู” เยี่ยซิวเอ่ยแก้
“เอ๋ แต่ลูกพี่ก็คือลูกพี่นี่นา!”

เปาจื่อขมวดคิ้วแน่น เหมือนกำลังขบคิดปัญหาที่แก้ไม่ตก แต่เยี่ยซิวรู้ เจ้าหนูนี่ไม่ได้คิดอะไรซับซ้อนขนาดนั้นหรอก

“เมื่อกี้ครูเล่นเพลงอะไรหรือครับ ผมเหมือนเคยได้ยินที่ไหนมาก่อนเลย” อวี้เหวินโจวเข้ามาเกาะขาเยี่ยซิว แทรกกลางระหว่างทั้งคู่อย่างแนบเนียน
“อ้อ Twinkle twinkle little star น่ะ เธอน่าจะเคยได้ยินนะ เพลงนี้มักชอบเล่นให้เด็กๆ ฟังบ่อยๆ”

อวี้เหวินโจวเงยหน้ามองเยี่ยซิวด้วยประกายสายตาระยิบระยับดุจมหาสมุทรยามต้องแสงอาทิตย์ ใบหน้าเล็กๆ ระบายยิ้มอวดฟันเรียงสวย

“คุณครูสอนผมได้ไหม”
“ได้สิ ทำไมจะไม่ได้ล่ะ”

ตลอดทั้งบ่ายวันนั้นเยี่ยซิวถูกขอร้องให้เล่นแต่เพลง Twinkle twinkle little star จนเด็กๆ ทุกคนจำเนื้อและสามารถร้องตามได้ ขากลับหวงเส้าเทียนเอาแต่ฮึมฮัมเพลงนี้จนผู้ปกครองสงสัย

“บ๊ายบายครับคุณครู”

อวี้เหวินโจวหันมาโบกมือลาเมื่อผู้ปกครองมารับ แต่ก่อนจะกลับเด็กชายมีท่าทางละล้าละหลังจนเยี่ยซิวสงสัย

“มีอะไรหรือเสี่ยวอวี้”

อวี้เหวินโจวทำท่าหนักใจ เด็กชายก้มหน้ามองพื้นท่าทางน่าสงสาร จนซูมู่เฉิงที่อยู่ข้างๆ ใจอ่อนยวบ

“มีอะไรหรือเปล่าจ๊ะ บอกพวกครูได้นะ”

อวี้เหวินโจวกำชายเสื้อเยี่ยซิวแน่น ช้อนตาขึ้นมองอย่างเว้าวอน “คุณครูเยี่ยหอมแก้มผมก่อนไปได้ไหมครับ”
“เอ่อ ทำไมล่ะ”
“ที่บ้านผมเวลาจะจากกันต้องหอมแก้มน่ะครับ ไม่ได้ทำแล้วผมรู้สึกแปลกๆ”

ภาพเด็กชายหน้าตาน่ารักตากลมโตที่กำลังอ้อนอยู่ตรงหน้าทำให้ซูมู่เฉิงเกือบจะเสนอตัวทำให้แทน แต่ก่อนที่จะได้ทำอย่างนั้นเด็กชายก็กระตุกชายเสื้อเยี่ยซิวเบาๆ ขอร้องอีกหน

“นะครับ”

เยี่ยซิวรู้สึกแปลกๆ ในใจแต่ก็ปัดทิ้งไปอย่างรวดเร็ว แค่เด็กอนุบาลขอให้หอมแก้มตนยังต้องใจแคบคิดเล็กคิดน้อยขนาดนี้เชียวหรือ

เยี่ยซิวย่อตัวลงให้อยู่ในระดับเดียวกันกับอวี้เหวินโจว จมูกฝังลงไปบนแก้มนิ่มช้าๆ ได้กลิ่นหอมจางๆ ของแป้งเด็กชวนให้ผ่อนคลาย เยี่ยซิวผละออกมา ยิ้มเตรียมจะบอกลาอวี้เหวินโจว

ฟอด

ข้างแก้มซ้ายของเขาถูกเด็กชายขโมยหอมฟอดใหญ่ อวี้เหวินโจวยิ้มตาหยี แล้วหอมเข้าอีกทีที่แก้มขวา เด็กน้อยชะโงกหน้ามากระซิบเบาๆ

“ตอนนี้เราจูบแทนใจกันแล้ว คุณครูเยี่ยต้องแต่งงานกับผมนะ!”

ทิ้งไว้เพียงประโยคนั้น เยี่ยซิวยิ้มค้าง มองเด็กชายที่วิ่งออกไปอย่างร่าเริง

 

 

ซูมู่เฉิงที่รู้เห็นทุกอย่างเอ่ยขึ้นลอยๆ เหมือนคุยกับดินฟ้าอากาศ

“สงสัยพี่จะมีว่าที่เจ้าบ่าวในอนาคตแล้วล่ะ”

“…เงียบน่า”

 

 

 

 

 

ง่วงแล้ว ไว้เดี๋ยวมาต่อค่ะ o<-<

QZGS

[Fic QZGS] – light and darkness 3 (หวังเยี่ยเฉียว)

Fic 全职高手 – light and darkness 3 (หวังเยี่ยเฉียว) (3P)
#หวังเยี่ย #เฉียวเยี่ย เราจะบาปไปด้วยกันใช่ไหม—

มีตัวละครที่ยังไม่ปรากฏอยู่ในเล่มไทยแต่ไม่ได้กล่าวถึงตรงๆ ค่ะ

 

NC18

 

 

 

 

:: 04 ::

 

แผ่นออกขาวซีดที่สะท้อนขึ้นลงบ่งบอกว่าอีกคนอยู่ในห้วงนิทรา

เฉียวอี้ฟานอุ้มอีกฝ่ายขึ้นมา ผ่านโถงทางเดินไร้ผู้คน ไปยังห้องนอนที่ถูกดูแลจัดเตรียมอย่างดีมาเป็นเวลาหลายเดือน ห้องของเยี่ยซิวไม่ได้อยู่ด้านตะวันออกซึ่งเป็นฝั่งห้องรับแขก แต่อยู่ด้านฝั่งตะวันตกเช่นเดียวกับห้องของเฉียวอี้ฟานและหวังเจี๋ยซี

เฉียวอี้ฟานวางร่างกายผอมบางอย่างทะนุถนอมราวกับสิ่งของล้ำค่า หายไปครู่หนึ่งก็กลับมาพร้อมกะละมังใบเล็กกับผ้าขนหนู

เฉียวอี้ฟานเช็ดทำความสะอาดตามเรือนร่างของเยี่ยซิวแผ่วเบา เมื่อเช็ดไปถึงร่องรอยสีกุหลาบที่ตนเองเป็นผู้กระทำก็อดที่จะแตะลงบนผิวเนียนลื่นอย่างเสียไม่ได้

ไม่ว่าเยี่ยซิวจะได้ยินที่เขาพูดหรือไม่

อย่างไรเสีย

“…ผมไม่มีวันยอม”

เสียงกระซิบบางเบาแต่หากแฝงความยึดตึดอย่างแรงกล้าลอยออกไปในอากาศ กลืนหายไปในความว่างเปล่า ไม่มีสุ้มเสียงใดๆ เอ่ยตอบรับกลับมา เฉียวอี้ฟานจุมพิตบนริมฝีปากหยัก เรื่อยไปถึงเปลือกตาหลับพริ้ม ก่อนยืนตัวขึ้นแล้วเดินออกจากห้องไป

เมื่อประตูบานใหญ่ถูดปิดสนิท ด้านในกลายเป็นอาณาเขตแห่งความมืดมิดที่ไม่มีแม้แต่ลำแสงเล็กๆ ลอดผ่าน

มีนัยน์ตาดำขลับที่กระจ่างใสราวกับลูกแก้วคู่หนึ่งลืมขึ้นมาอย่างเงียบงัน

 

 

เยี่ยซิวตื่นมารับอรุณพร้อมกับบิดขี้เกียจเล็กน้อย

ข้อมือบอบบางถูกยกขึ้นมาขยี้ตา ปลายแขนเสื้อที่ใหญ่กว่าตนเองราวสองไซส์ร่นลงมาอยู่ตรงข้อศอก เยี่ยซิวเอียงคอคิดครู่เดียวก็ทราบว่าเสื้อผ้าเหล่านี้จะเป็นของใครไปไม่ได้นอกจากผู้ที่อยู่กับเขาเป็นคนสุดท้ายเมื่อคืน

มุมปากปรากฏรอยยิ้มบางเบาที่อ่านไม่ออก เลือนหายไปดั่งภาพมายา เยี่ยซิวเดินเข้าไปในห้องอาบน้ำ ครู่หนึ่งจึงเดินออกมาพร้อมกับผ้าเช็ดตัวผืนเดียว

แผ่นอกและไหล่แคบมีร่องรอยบางอย่างประปราย เยี่ยซิวสวมเสื้อเชิ้ตแขนยาวเนื้อผ้าโปร่งสบาย ผิวหนังที่ถูกปกคลุมสัมผัสได้ถึงความนุ่มลื่น นิ้วมือที่มีลำข้อเล็กราวกับไม่ใช่มือของบุรุษค่อยๆ ติดกระดุมเสื้อทีละเม็ดอย่างไม่เร่งรีบ ขาเรียวยาวที่งดงามไม่แพ้กันสอดเข้าไปในกางเกงผ้าเนื้อหนา จากนั้นก็พาดทับเสื้อสีขาวสะอาดด้วยสายรั้งสีเดียวกับกางเกง ทุกขั้นตอนดำเนินไปอย่างไม่ช้าไม่เร็ว แต่เป็นอากัปกิริยาที่ใครมาเห็นเข้าก็อดหน้าแดงไม่ได้

เยี่ยซิวเดินไปยังโต๊ะเขียนหนังสือที่ทำจากไม้มะฮอกกานีข้างเตียง ด้านบนเต็มไปด้วยแผ่นจดโน้ตเพลงที่ถูกวางทิ้งอย่างลวกๆ เยี่ยซิวปัดกระดาษที่ทับถมไปกองรวมกันไว้ข้างๆ ด้านใต้ยังมีสมุดสีฟ้าเก่าๆ เล่มหนึ่งวางอยู่

ปลายนิ้วลูบไปตามสันขอบอย่างแผ่วเบา เยี่ยซิวเปิดสมุดออก รูปถ่ายที่เก่าจนเริ่มซีดร่วงหล่นลงมาจากหน้ากระดาษ มือเรียวสวยหยิบมันขึ้นมา เยี่ยซิวมองรูปถ่ายใบนั้นด้วยสีหน้าเรียบเฉย แต่ส่วนลึกในดวงตามีแววสั่นไหวเล็กน้อย ระยะเวลาแค่เพียงกระพริบตาก็กลับมาสงบนิ่งเช่นเดิม

เยี่ยซิวสอดรูปใบนั้นไว้ที่เดิมแล้วเดินออกมาจากห้อง มุ่งหน้าไปยังสถานที่ที่อยู่ไม่ไกลจากตนนัก

เยี่ยซิวมาถึงประตูบานใหญ่ก็เปิดพรวดเข้าไปโดยไม่ขออนุญาต ผู้ที่อยู่ด้านในเหลือบตามองแวบหนึ่ง จากนั้นก็วางเอกสารในมือลงราวกับเคยชินพฤติกรรมเช่นนี้ของเขาแล้ว

“ขยันจริงๆ เลยนะ เสี่ยวหวัง”

หวังเจี๋ยซีใช้ดวงตาขนาดไม่เท่ากันมองผู้ที่เดินนวยนาดเข้ามาในห้องเหมือนกับแมวตัวโต ถอนหายใจเล็กน้อย เอ่ยถามเสียงนิ่ง

“เมื่อไหร่จะเลิกเรียกผมว่าเสี่ยวหวังสักที”

เยี่ยซิวหัวเราะขลุกขลักในลำคอ ปลายนิ้วงดงามขาวกระจ่างราวเสมือนไม่ใช่มือของมนุษย์ยกขึ้นมาเบื้องหน้าเขาอย่างเชื่องช้า หวังเจี๋ยซีมองเหม่อไปชั่วครู่ ก่อนจะรู้สึกตัวเมื่ออีกฝ่ายแตะลงบนดวงตาเขาเบาๆ พลางผุดยิ้มหยอกเย้า

“หรือจะให้ฉันเรียกว่าหวัง…ต้าเหยี่ยนดีล่ะ”

ถ้ามีคนในคฤหาสน์มาได้ยินเข้าคงตกใจกับความกล้าสูงเทียมฟ้าของครูสอนเปียโนคนนี้ และคงเตรียมโทรเรียกรถพยาบาลแน่แท้ แต่น่าเสียดายที่เวลานี้ผู้ที่ได้ยินคือผู้ที่มีอำนาจมากที่สุดในตระกูล และดูจะไม่ถือสาหาความกับความไม่รู้ที่ต่ำที่สูงของเยี่ยซิวเลยสักนิด

หวังเจี๋ยซีกระตุกยิ้ม คว้าเอวคนเบื้องหน้าหมับจนเยี่ยซิวหลุดอุทานเสียงเบา หวังเจี๋ยซีอุ้มแมวดำไว้บนตัก ตีลงบนบั้นท้ายของอีกฝ่ายเบาๆ เอ่ยอย่างไม่จริงจังนัก

“ถ้าคุณกล้าเรียก ก็คงไม่กลัวโดนทำโทษใช่ไหม?”

คำตอบคือเสียงหัวเราะแผ่วเบาอีกระรอก หวังเจี๋ยซีมองลำคอขาว ไล่ลงมายังรอยแดงภายใต้เสื้อผ้าที่ดูเหมือนจะมีมากกว่าเดิม เยี่ยซิวยกมือโอบรอบคอของหวังเจี๋ยซี ดูไม่ยี่หระต่อดวงตาที่หรี่ลงเล็กน้อยของอีกฝ่าย

“คงไม่ได้หรอก เกอมีสอนเสี่ยวเฉียวอีกนะ”

หวังเจี๋ยซีเหลือบมองนาฬิกา จากนั้นก็กดร่างเพรียวบางลงกับโต๊ะ

“ไม่เป็นไร เหลือเวลานิดหน่อยพอดี…”

หลังจากนั้นหวังเจี๋ยซีก็จัดการปิดปากแมวตัวดีเพื่อไม่ให้มีแม้แต่เสียงอุธรณ์เล็ดลอดออกมา

 

 

เมื่อสิ้นเสียงโน้ตตัวสุดท้าย เยี่ยซิวก็หยุดการเคลื่อนไหว หันไปเอ่ยกับลูกศิษย์เพียงคนเดียวของตน

“ท่อนนี้เป็นแบบนี้ พอเข้าใจไหม”
เฉียวอี้ฟานพยักหน้า เผยรอยยิ้มอบอุ่นให้แก่ผู้เป็นอาจารย์ “ผมเข้าใจครับ”
“ดีมาก”

เยี่ยซิวยกมือลูบหัวของเฉียวอี้ฟานเบาๆ คนถูกกระทำยิ้มรับ พร้อมเอียงศีรษะซุกซบลงบนฝ่ามือของอีกฝ่าย

เพราะเขาเองก็มีน้องสาวบุญธรรมอยู่เหมือนกัน จึงรู้สึกเห็นใจและเอ็นดูเฉียวอี้ฟานมากกว่าคนอื่นอยู่นิดหน่อย

…แต่ก็แค่นิดหน่อยเท่านั้น

“เยี่ยซิวครับ”
“หืม”

เฉียวอี้ฟานเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยต่อ “เรื่องคืนนั้น…”
“คืนนั้น? มีอะไรหรือเปล่า”

เฉียวอี้ฟานหลุบตาลง ครู่หนึ่งก็ส่ายหน้าเบาๆ

“ถ้าไม่มีอะไรก็ซ้อมต่อเถอะ”
“…ครับ”

หลังจากนั้นเฉียวอี้ฟานก็ไม่ได้เอ่ยเรื่องเกี่ยวกับ ‘คืนนั้น’ หรืออะไรอีกเลย ผู้ที่เดินผ่านไปมามักจะได้ยินเสียงเปียโนดังแว่วออกมาจากห้องดนตรีอย่างต่อเนื่อง จากตอนเช้าล่วงเลยไปถึงช่วงบ่าย

เยี่ยซิวเห็นว่าสมควรแก่เวลาแล้วจึงบอกให้เฉียวอี้ฟานหยุดซ้อม

“เยี่ยซิว”
“อะไรหรือ เสี่ยวเฉียว”

ร่างโปร่งบางถูกกอดรัดจากด้านหลัง เยี่ยซิวยอมรับว่าประหลาดใจกับความเปลี่ยนแปลงของเฉียวอี้ฟานไม่น้อย หลังจาก ‘คืนนั้น’ เฉียวอี้ฟานก็ดูเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด ไม่ใช่บุคลิกลักษณะภายนอก แต่เหมือนมีบางสิ่งในจิตใจที่เปลี่ยนแปลงไป

เฉียวอี้ฟานซุกหน้าลงกับบ่าผอมบาง เอ่ยเสียงอู้อี้

“พรุ่งนี้ ถ้าผมทำได้ดี ผมขอรางวัลได้ไหม”

พรุ่งนี้ที่เอ่ยถึงคืองานวันเกิดของผู้อาวุโสภายในตระกูล เฉียวอี้ฟานถูกเลือกไปแสดงเปียโน เยี่ยซิวแอบระอาใจ ไม่ว่าจะตระกูลไหนๆ ก็มีการแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกันทั้งนั้น ที่เจาะจงให้เป็นเฉียวอี้ฟาน และเลือกให้แสดงเปียโน ก็เพราะต้องการนำชายหนุ่มไปเปรียบเทียบกับเกาอิงเจี๋ยกลายๆ เป็นอุบายตื้นๆ ของพวกตาแก่ที่ไม่มีอะไรทำ

“เอาสิ”

เรื่องแค่นี้เยี่ยซิวย่อมตกลง

ย่อมตกลงอย่างแน่นอน

เฉียวอี้ฟานใช้มือจับคางเรียวได้รูปให้หันมาด้านหลัง ลิ้นร้อนสัมผัสและดูดดึงกับความหอมหวานของร่างโปร่งบาง เยี่ยซิวครางอือในลำคอ ปล่อยให้ผู้ที่อายุน้อยกว่าเป็นฝ่ายชักนำ เฉียวอี้ฟานขยับเรียวลิ้นเพื่อกลืนกินความอุ่นนุ่มอย่างลึกล้ำ ต่างคนต่างพัวพันกันอย่างเร่าร้อน ครู่ใหญ่เฉียวอี้ฟานจึงผละออกมา เหลือเพียงเส้นใยสีใสที่เชื่อมโยงระหว่างทั้งสองเอาไว้

นี่ก็เป็นความเปลี่ยนแปลงอีกอย่างของเฉียวอี้ฟาน สัมผัสที่แฝงความปราถนาที่จะครอบครองอย่างรุนแรงและความยึดติดอยู่ลึกๆ เช่นนี้ เยี่ยซิวไม่เคยรับรู้ได้จากเฉียวอี้ฟานมาก่อน

เมื่อปรับลมหายใจกลับมาเป็นปกติ เยี่ยซิวจึงเอ่ยกระเซ้าอีกฝ่าย “นี่คือรางวัลที่อยากได้?”

เฉียวอี้ฟานจุมพิตบนลำคอยาวระหง จมูกคลอเคลียกับเส้นผมนุ่มลื่น เงยหน้าส่งยิ้มนุ่มนวลให้แก่เยี่ยซิว

“เปล่าครับ…นี่คือมัดจำต่างหาก”

เยี่ยซิวลูบหัวเฉียวอี้ฟานเบาๆ ไม่ได้เอ่ยอะไรอีก เมื่อเยี่ยซิวจากไป เฉียวอี้ฟานก็เดินไปตามทางเดินที่คุ้นเคย ความทรงจำสมัยเด็กผุดขึ้นมาเป็นระรอก เขาหยุดยืนอยู่หน้าประตูบานใหญ่

เสียงประเคาะประตูดังขึ้นสามครั้งก่อนเงียบไป

“เข้ามา”

ชายหนุ่มเดินเข้าไปด้านใน หวังเจี๋ยซีมองผู้มาเยือนขณะเอนกายพิงกับพนักเก้าอี้ ไม่มีท่าทางประหลาดใจราวกับรู้อยู่แล้วว่าใครอยู่ด้านนอก

“มีเรื่องอะไร”

เฉียวอี้ฟานไม่ตอบ แต่เลือกที่จะถามกลับ

“คุณคงรู้อยู่แล้วไม่ใช่หรือ ว่าผมมาที่นี่เพื่ออะไร”
หวังเจี๋ยซีขยับยิ้มราบเรียบ “ฉันมาก่อน”
ฝ่ายอายุน้อยกว่าหัวเราะเบาๆ แล้วส่ายหน้า “มาก่อนหลังแล้วเป็นอย่างไร ในเมื่อตอนนี้เยี่ยซิวยังไม่เลือกใคร ทุกคนก็มีสิทธิ์ไม่ใช่หรือครับ”
หวังเจี๋ยซีเกือบหลุดหัวเราะออกมา ดวงตาของผู้มีอำนาจที่สุดในตระกูลฉายแววประหลาด เลือกเอ่ยคำที่ทำให้แววตาอ่อนโยนของชายหนุ่มผู้อ่อนวัยกว่าเลือนหาย ความแข็งกร้าวเข้ามาแทรกแทนที่ แต่เพียงพริบตาก็เลือนหายไป
“เขาไม่มีวันเลือกนาย”
เฉียวอี้ฟานกำหมัดแน่น เมื่อถูกตอกย้ำด้วยท่าทางนิ่งเฉยราวกับว่าต้องเป็นเช่นนั้นอยู่แล้วของอีกฝ่าย “ถึงตอนนี้เยี่ยซิวจะยังเลือกไม่ได้ แต่ผมจะทำให้เขาเลือกผมแน่นอน”

หวังเจี๋ยซีเก็บรอยยิ้มมุมปาก สายตาราบเรียบที่มองตามแผ่นหลังหนึ่งในลูกบุญธรรมของตัวเองแฝงอะไรบางอย่างที่ลึกล้ำเกินจะคาดเดา

“ฉันจะรอดู”

 

 

 

:: 05 ::

 

เสียงดนตรีและแสงไฟระยิบระยับรายล้อมอยู่รอบกายไม่ได้ทำให้ผู้มีตำแหน่งเป็นครูสอนเปียโนประจำตัวทายาทตระกูลหวังให้ความสนใจเสียเท่าไหร่

เยี่ยซิวยืนอยู่อย่างโดดเดี่ยว รอบข้างปราศจากผู้คนรายล้อมเหมือนคนอื่นๆ แต่เขาก็ไม่ได้มีท่าทางขุ่นข้องหมองใจอะไร

ดีเสียอีก

ผู้คนที่เอาแต่สวมหน้ากากเข้าหากัน เขาสะอิดสะเอียนเต็มทน

เยี่ยซิวรับรู้ถึงแรงแตะตรงข้อศอกเบาๆ เฉียวอี้ฟานยืนยิ้ม ยื่นแก้วทรงสูงบรรจุของเหลวใสมาให้เขา เยี่ยซิวเพียงปรายตามอง บอกอย่างเกียจคร้าน

“ไม่ล่ะ เกอขี้เกียจถือ”
“อา ผมลืมไปเลยว่าคุณไม่ดื่มแอลกอฮอล์ งั้นผมจะเอาไปเปลี่ยนให้นะครับ”

เฉียวอี้ฟานเดินเลี่ยงไปหาบริกรอีกด้านหนึ่ง พักเดียวก็กลับมาพร้อมแก้วน้ำสีหวาน เยี่ยซิวถูกผู้อ่อนวัยกว่ายัดเยียดแก้วใส่ในมือ

“ผมบอกให้เขาเปลี่ยนเป็นม็อกเทลแทน แบบนี้คุณน่าจะดื่มได้”

เยี่ยซิวไม่เถียง รับแก้วมาถือไว้เงียบๆ เพราะรู้ดีว่าเฉียวอี้ฟานมักจะมีวิธีพูดบางอย่างจนทำให้ตนต้องรับไว้จนได้ เขาจึงเลือกที่จะรับมาตั้งแต่เนิ่นๆ เสียดีกว่า

เยี่ยซิวโคลงแก้วเบาๆ ของเหลวสีส้มกระเพื่อมไปมา เขาจรดริมฝีปากลงบนขอบแก้ว โพรงปากสัมผัสได้ถึงความชุ่มชื้น และความหวานฉ่ำชวนให้สดชื่น รู้ตัวอีกทีก็เหลือเพียงแก้วเปล่า เขาแลบลิ้นเลียปากตนเอง เอ่ยอย่างอัศจรรย์ใจ

“รสชาติไม่เลวเลยนะ”

เฉียวอี้ฟานที่ดูเหมือนจะมองเขาอยู่ตลอดเวลาตั้งแต่ที่เขาเริ่มดื่มจนดื่มหมดก็ส่งแก้วใหม่ที่มีน้ำบรรจุอยู่เต็มเปี่ยมให้อย่างรู้ใจ

ผ่านไปสักระยะเฉียวอี้ฟานจึงขอตัวไปก่อนเพราะใกล้ได้คิวแสดง เยี่ยซิวโบกมือเรื่อยๆ ยืนพิงผนังละเลียดดื่มน้ำผลไม้รสหวานอมเปรี้ยวที่ทำให้เขาติดใจอย่างคาดไม่ถึง

สักพักผนังที่ว่างด้านข้างเขาก็ถูกแผ่นหลังของใครอีกคนจับจอง สายตาของหวังเจี๋ยซีมองตรงไปด้านบนเวที

“เขาเปลี่ยนไปมากเลย ใช่ไหม”
เมื่อเยี่ยซิวได้ฟังก็เผยรอยยิ้มยากจะคาดเดา “ไม่รู้สิ”

เฉียวอี้ฟานวันนี้นับว่าเปลี่ยนไปมากจริงๆ ไม่ได้ดูเหมือนลูกแมวน้อยน่ารังแกเช่นแต่ก่อน แต่ราวกับว่าสามารถเติบโตขึ้นมาเป็นพญาราชสีห์ที่แข็งแกร่งได้

ดวงตาคู่นั้นแม้ดูอบอุ่นอ่อนโยน แต่ไม่หลงเหลือกระแสของความอ่อนแอ

ผู้นำตระกูลหวังพูดคุยกับเขาทั้งๆ ที่ไม่ได้มองหน้า แต่มือของหวังเจี๋ยซีกลับเริ่มลูบวนอยู่ทั่วแผ่นหลังของเขา

ไม่รู้เขาคิดไปเองหรือเปล่า แต่เขารู้สึกเหมือนโดนสายตาของคนบนเวทีจับจ้องมาทางนี้?

เพียงครู่เดียวสายตาของเฉียวอี้ฟานก็มองไปทางอื่น เยี่ยซิวส่ายหน้า เขาได้แต่คิดว่าคงบังเอิญจริงๆ นั่นแหละ คนตั้งนับร้อยคน เจ้าหนูอี้ฟานจะมองเห็นเขาได้อย่างไรกัน

ภาพเบื้องหน้าค่อยๆ ตกลงสู่ความพร่ามัว เลือนรางไม่ชัดเจน เยี่ยซิวรู้สึกเหมือนสมองเริ่มมึนเบลอ เสียงของหวังเจี๋ยซีราวกับลอยอยู่ไกลแสนไกล ผิวกายสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นที่โอบล้อมรอบอยู่แนบชิด

ริมฝีปากถูกจูบหอมหวานเข้าครอบครอง ลิ้นร้อนแทรกกวาดเข้ามาตักตวงในโพรงปาก ได้ยินเสียงเฉอะแฉะดังแว่ว ร่างกายร้อนผะผ่าวราวกับมีใครมาจุดไฟเผาอยู่ด้านใน

รู้ตัวอีกทีแผ่นหลังก็สัมผัสเข้ากับความยวบยาบของผืนเตียงขนาดใหญ่ ชุดสูทสีเข้มถูกถอดออกอย่างรวดเร็วจนเหลือเพียงเสื้อเชิ้ตบางๆ แม้ในหัวจะมึนงงแต่เยี่ยซิวก็ยังคงมีสติรู้ตัวหลงเหลืออยู่ เขาใช้มือดันใบหน้าของหวังเจี๋ยซีให้ออกห่างเพื่อหยุดการกระทำ

“วันนี้…ไม่ได้”
หวังเจี๋ยซีงับลงบนฝ่ามือเนียนนุ่ม เอ่ยถามเสียงต่ำที่ผสมปนเปไปด้วยความปราถนา “ทำไม”
“สัญญา…อือ…เสี่ยวเฉียว”

เสียงที่เอ่ยตอบติดๆ ขัดๆ เมื่อถูกลิ้นเปียกชื้นลากไล้วนรอบยอดอกอ่อนไหว หวังเจี๋ยซีลูบแผ่นหลังเนียนลื่น บอกอย่างไม่ใส่ใจ

“เรื่องนั้นน่ะช่างมันเถอะ”

มือของหวังเจี๋ยซีไล่ไปยังต้นขาด้านใน ตัวตนของเขาเสียดสีอยู่บนหน้าท้องของอีกฝ่าย เยี่ยซิวส่งเสียงครางในลำคอ ไม่ค่อยเข้าใจปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นกับร่างกายตนเองเท่าใดนัก

ภายในห้องมืดสลัว จู่ๆ ก็มีแสงสว่างสาดส่องเข้ามา เยี่ยซิวพยายามหรี่ตาผู้ที่ยืนอยู่ตรงประตู แต่เพราะใครคนนั้นยืนด้านทิศทางย้อนแสง เยี่ยซิวจึงเห็นหน้าตาไม่ชัด พอคนคนนั้นเดินเข้ามาใกล้ เยี่ยซิวถึงเห็นรูปลักษณ์ของอีกฝ่ายเต็มตา

“…เสี่ยวเฉียว?”

เฉียวอี้ฟานขยับปลดเนคไทด์ของตนเองออก เยี่ยซิวรับรู้ว่าเฉียวอี้ฟานมีบางอย่างแปลกไป ชายหนุ่มผู้อ่อนวัยมากที่สุดสอดมือเข้าไปในเรือนผมของร่างที่นอนทอดกายอยู่บนเตียง ประคองศีรษะของเยี่ยซิวให้เงยหน้าขึ้นมาแล้วประกบจูบลงไป ลิ้นเรียวดุนดันแทรกผ่านเข้ามาหยอกล้อในโพรงอ่อนนุ่ม หวังเจี๋ยซีไม่สนใจผู้มาใหม่ ขบกัดลงบนลำคอขาว ไล่มาจนถึงไหปลาร้าที่เห็นเป็นเส้นสายชัดเจน

เฉียวอี้ฟานพรมจูบลงบนหลังคอ มือข้างหนึ่งหยอกล้อกับยอดตุ่มไต อีกข้างรูดขึ้นลงบนแก่นกายของอีกฝ่าย ด้านหวังเจี๋ยซีเห็นเช่นนั้นก็ไม่ได้ว่าอะไร ใช้ปลายนิ้วสร้างความคุ้นชินให้กับช่องทางสีสวย นิ้วยาวขยับเข้าออกไปมา เกิดเสียงเฉอะแฉะฟังดูน่าละอาย เยี่ยซิวแหงนหน้าขึ้น ปลายเท้าเหยียดเกร็งเพราะความสุขสมที่ประเดประดังมาจากทั้งสองด้าน

ไม่นานเยี่ยซิวก็รับรู้ถึงความใหญ่โตที่เข้ามาเติมเต็มด้านในร่างกายเสียจนเสียดแน่น ริมฝีปากสีแดงเรื่ออ้าออกหอบหายใจเบาๆ เสียงครางหวานดังลอดออกมาทุกครั้งที่ถูกแรงกระแทกจากด้านล่าง ใบหน้าถูกจับหันไปด้านข้าง เยี่ยซิวเห็นรอยยิ้มนุ่มนวลของเฉียวอี้ฟาน ปลายส่วนแข็งขืนดันริมฝีปากเขาเบาๆ

“ช่วยผมหน่อยได้ไหมครับเยี่ยซิว”

เยี่ยซิวอ้าปากออกครอบครองตัวตนของชายหนุ่ม ลิ้นเล็กๆ ไล้เลียบนส่วนหัวฉ่ำเยิ้ม ก่อนไล่ไปจนสุดความยาว จากนั้นก็ใช้ความนุ่มหยุ่นห่อหุ้มความปราถนาของเฉียวอี้ฟานจนมิด

เยี่ยซิวใช้ทั้งปากและมือเพื่อปลดเปลื้องความต้องการให้อีกฝ่าย ได้ยินเสียงทุ้มต่ำของชายหนุ่มดังขึ้น ก่อนที่ศีรษะเขาจะถูกจับล็อค ท่อนเนื้อขนาดใหญ่ด้านในโพรงปากขยับเข้าออกอย่างรวดเร็วจนเขาแทบหายใจไม่ออก เฉียวอี้ฟานขยับรุนแรงอีกไม่กี่ที หยาดหยดแห่งความใคร่ก็ถูกปลดปล่อยออกมาเต็มล้นจนเยี่ยซิวกลืนกินเข้าไปไม่หมด

ริมฝีปากถูกประกบอีกครั้ง เฉียวอี้ฟานขยับลิ้นแลกเปลี่ยนซึ่งกันและกัน เยี่ยซิวตาปรือ ปล่อยให้อีกคนทำตามความต้องการจนพอใจ

อยู่ๆ หวังเจี๋ยซีที่ขยับอย่างเชื่องช้ามานานก็เริ่มเปลี่ยนจังหวะให้เร็วขึ้น ความสุขที่ถูกปรนเปรอทั้งสองด้านพร้อมกันทำให้เยี่ยซิวรู้สึกดีจนแทบสำลัก หวังเจี๋ยซียืดตัวขึ้น ประกบจูบพัวพันแทนที่เฉียวอี้ฟานที่พึ่งผละออกไป

ของเหลวอุ่นร้อนถูกหลั่งเข้ามาในช่องทางคับแคบ หวังเจี๋ยซีขยับออก มองช่องทางด้านในเต็มไปด้วยของของเขาอย่างพึงพอใจ

เยี่ยซิวยังไม่ทันได้พักก็ถูกเฉียวอี้ฟานประคองตัวให้นั่งลงบนตักของชายหนุ่มในท่าที่หันหลังให้แก่เฉียวอี้ฟาน และหันหน้าให้กับหวังเจี๋ยซี

เฉียวอี้ฟานแยกขาเรียวออกจากกัน สอดใส่ตัวตนของตัวเองเข้าไปแทนที่หวังเจี๋ยซีอย่างรวดเร็ว

“อ๊า”

เฉียวอี้ฟานเริ่มจากขยับเบาๆ ของเหลวที่คั่งค้างเปรียบเสมือนสารหล่อลื่นชั้นดี ทันใดนั้นเองหวังเจี๋ยซีก็ยืนขึ้น ความเป็นชายที่เริ่มแข็งขืนขึ้นอีกครั้งขยายอยู่เบื้องหน้าเยี่ยซิว หวังเจี๋ยซีใช้นิ้วโป้งเกลี่ยกลีบปากชุ่มชื้น สอดเข้าไปสัมผัสตามแนวไรฟันแผ่วเบา

“ช่วยผมด้วยสิ”

เยี่ยซิวจำต้องอ้าปากออกเพื่อรองรับตัวตนของอีกฝ่าย แรงรับส่งจากเบื้องล่างรวมทั้งสิ่งที่คับแน่นเต็มปากทำให้เยี่ยซิวอึดอัดแทบตาย แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าสุขสมจนแทบตายเช่นกัน

รู้สึกดี

ต้องการมากกว่านี้

ความปราถนาที่สอดเสียดเข้ามาลึกอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ทั้งเจ็บทั้งจุก แต่ก็รู้สึกดีเหลือเกิน

เยี่ยซิวแยกขาออกกว้าง แก่นกายร้อนเสียดสีกับผนังบอบบางอย่างรวดเร็ว เฉียวอี้ฟานจับเอวบางกดลงตอบรับกับจังหวะเร่าร้อนที่แปรเปลี่ยน ของเหลวขุ่นทะลักทะลายออกมา พอดีกับความอุ่นร้อนในปากที่ปลดปล่อยออกมาเช่นเดียวกัน

เยี่ยซิวหอบหายใจเบาๆ รู้สึกถึงแรงกอดรัดจากอ้อมแขนทั้งสองด้าน แต่เขาเหนื่อยเกินกว่าจะสนใจสิ่งใด สติค่อยๆ จมลงสู่ความมืดมิด

 

 

เยี่ยซิวตื่นมาพร้อมอาการปวดเมื่อยที่สะโพกราวกับจะหลุดออกเป็นเสี่ยงๆ

ร่างกายของเขาถูกโอบกอดโดยคนสองคน ด้านซ้ายคือหวังเจี๋ยซี ด้านขวาคือเฉียวอี้ฟาน

ผู้ที่อายุน้อยกว่ารู้สึกตัวก่อนเป็นอันดับแรก พอเห็นเขาตื่นอยู่ก่อนก็แปลกใจเล็กน้อย หัวทุยๆ ซุกไซร้ออดอ้อน

หวังเจี๋ยซีก็ไม่เสียแรงที่เป็นถึงผู้นำตระกูล พอด้านข้างมีความเคลื่อนไหว ชายหนุ่มก็รู้สึกตัวตื่นทันที พอเห็นทั้งเขาและเฉียวอี้ฟานตื่นอยู่ก่อนก็ไม่ได้ตกอกตกใจอะไร อ้อมแขนแข็งแกร่งดึงเขาเข้าไปใกล้ ซบลงบนไหล่เขาราวกับจะอ้อนบ้าง

“เยี่ยซิว พวกเราจะอยู่ด้วยกันตลอดไปใช่ไหมครับ?”

เฉียวอี้ฟานเป็นผู้เอ่ยขึ้นมาก่อน เพราะซุกอยู่กับอกเสียงจึงฟังดูอู้อี้ไม่ชัดเจน

“…พวกเรา?”

แน่นอนว่าเยี่ยซิวจับจุดที่ผิดสังเกตได้ทันที หวังเจี๋ยซีที่นอนเงียบๆ ไม่พูดอะไรก็พลันเอ่ยขึ้นมาบ้าง

“แน่นอน หรือคุณจะทิ้งทั้งผมทั้งลูก?”
“เยี่ยซิวจะไม่รับผิดชอบพวกเราหรือครับ” เฉียวอี้ฟานช้อนตาอ้อน เยี่ยซิวรู้สึกปวดหัวตึบ
“รับผิดชอบ? เกอต้องรับผิดชอบอะไรพวกนาย?”
“…ก็รับผิดชอบที่ทำให้พวกเราทั้งรัก ทั้งหลงคุณไง”

หวังเจี๋ยซีเอ่ยหน้าตาย ทำให้เยี่ยซิวทำหน้าเหมือนเห็นผี

“นะครับ เยี่ยซิว แค่อยู่ด้วยกันตลอดไปก็พอ”
เยี่ยซิวหัวเราะ ยกมือลูบหัวผู้ใหญ่ที่ทำตัวเหมือนเด็กน้อยทั้งสองคนเบาๆ “ได้สิ”

ย่อมได้อยู่แล้ว

เยี่ยซิวขยับมุมปากเป็นรอยยิ้มเอ็นดู

 

 

อย่างไรมันก็อยู่ในข้อตกลงระหว่างพวกเขาตั้งแต่แรกอยู่แล้วไม่ใช่หรือ

 

 

 

– The light side : ends –

 

 

 

 

 

– The dark side : begins –

 

:: 01 ::

 

เยี่ยซิวชำระร่างกายเสร็จก็กลับไปยังห้องของตัวเอง

วันนี้หวังเจี๋ยซีอนุญาตให้เขาลาหยุดหนึ่งวัน เฉียวอี้ฟานเองก็เห็นดีเห็นงามไปด้วย

ใจดีเสียจริงนะ กับคนที่เป็นลูกจ้างกำมะลออย่างเขา

ในวันที่เยี่ยซิวออกจากตระกูลเยี่ย หวังเจี๋ยซีต่างหากที่เป็นฝ่ายยื่นข้อเสนอให้เขามาที่คฤหาสน์ของตระกูลหวังด้วยตัวเอง

เยี่ยซิวเดิมทีก็เป็นคนตระกูลเยี่ย ตระกูลที่ร่ำรวยติดอันดับต้นๆ ของประเทศอยู่แล้ว

เมื่อเยี่ยซิวอายุได้ห้าขวบ ตระกูลเยี่ยก็รับเด็กสองคนมาเป็นลูกบุญธรรม เป็นชายหนึ่งคน หญิงหนึ่งคน

เยี่ยซิวสนิทกับทั้งสองคนมาก โดยเฉพาะกับซูมู่เฉิง น้องสาวต่างสายเลือดคนนี้เยี่ยซิวรักราวกับเป็นน้องสาวแท้ๆ

เพราะความสนิทสนมที่มากจนเกินไป ระหว่างเด็กหนุ่มท้ังสองคน จึงก่อเกิดขึ้นเป็นความรัก

‘ยินดีกับพวกพี่ทั้งสองคนด้วยนะคะ!’ ซูมู่เฉิงยิงพลุกระดาษที่ทำเองพร้อมเอ่ยเสียงดังฟังชัด
‘เป็นเด็กเป็นเล็ก มายินดงยินดีอะไรของเธอ’ ฝ่ายเด็กหนุ่มขยี้หัวเด็กสาวอย่างหมั่นเขี้ยว ซูมู่เฉิงทำปากย่น
‘ก็ใครใช้ให้พี่ปอดแหก ลีลาท่ามากอยู่ตั้งนาน ดูสิ พี่เยี่ยซิวเกือบถูกคนอื่นคาบไปกินแล้วนะ!’

เยี่ยซิวจำได้ว่าตนหัวเราะขำกับการเล่นไร้สาระของทั้งคู่มาก แต่วันเวลาแห่งความสุขก็อยู่ได้ไม่นาน เมื่อความสัมพันธ์ของพวกเขาถูกผู้เป็นพ่อรับรู้

เยี่ยซิวถูกคัดค้านอย่างหนักหน่วงจากครอบครัว เขาในตอนยังเป็นวัยรุ่นทั้งเลือดร้อนทั้งมุทะลุ ประกาศกร้าวว่าจะหนีออกจากบ้านต่อหน้าผู้เป็นบิดา

แต่ก่อนที่จะได้ทำเช่นนั้น เยี่ยซิวก็พบกับข่าวร้าย

คนรักของเขาตายแล้ว

คนในบ้านแจ้งว่าถูกรถยนต์ชนเข้า แต่เยี่ยซิวไม่ใช่เด็กสามขวบ เขารู้ว่าตระกูลเยี่ยต้องมีส่วนเกี่ยวข้องไม่มากก็น้อย

เขาทั้งเสียใจทั้งโกรธแค้น นับแต่นั้นก็เรียกได้ว่ามึนตึงกับตระกูลเยี่ยมาโดยตลอด แต่เยี่ยซิวก็ยังออกไปไม่ได้ เพราะว่ายังมีซูมู่เฉิง

ซูมู่เฉิงฉายแววสะสวยมาตั้งแต่เด็ก ยิ่งโตยิ่งสวยสะพรั่ง เป็นที่ถูกตาต้องใจของบรรดาชายหนุ่ม รวมทั้งเฒ่าหัวงูที่มีอำนาจทั้งหลายแหล่เป็นจำนวนมาก

ในวันที่เยี่ยซิวรู้ว่าซูมู่เฉิงจะถูกนำไปเป็นเครื่องมือในการเจรจาธุรกิจก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ถึงขั้นจะแตกหักจากตระกูลเยี่ย

‘พ่อจะทำแบบนี้ไม่ได้!!’
‘ทำไมจะไม่ได้ ยัยเด็กแซ่ซูนั่นฉันเลี้ยงมากับมือ ต้องเสียเงินไปเท่าไหร่กว่าจะมาถึงวันนี้ จะให้ฉันปล่อยไว้เฉยๆ หรือไง!’
‘พ่อ!!’

เยี่ยซิวตะโกนอย่างไม่เชื่อหูตนเอง วันนั้นเป็นครั้งแรกที่เยี่ยซิวรู้สึกสะอิดสะเอียนกับตระกูลของตนเอง และขยะแขยงพวกสังคมชั้นสูงถึงขีดสุด

เยี่ยซิวคิดจะส่งซูมู่เฉิงไปอยู่กับคนที่เขาไว้ใจได้ที่ต่างประเทศ แต่เขาก็กลัวว่าอำนาจของตระกูลจะไปถึง

ถ้าซูมู่เฉิงถูกพบตัวเข้า ไม่เท่ากับตกนรกทั้งเป็นเลยหรือไง

ในวันที่เยี่ยซิวมืดมนไร้ทางออก ตอนนั้นเองหวังเจี๋ยซีก็ยื่นมือเข้ามา

ฝ่ายนั้นยื่นข้อเสนอง่ายๆ บอกว่าจะช่วยปกป้องซูมู่เฉิงให้พ้นจากเงื้อมือตระกูลเยี่ย โดยมีข้อแม้เพียงอย่างเดียว

…คือตัวเขา

เยี่ยซิวไม่แม้แต่จะเสียเวลาคิดด้วยซ้ำ เขาตอบตกลงทันที เก็บข้าวของย้ายออกไปอยู่ตระกูลหวัง เพราะเขาเชื่อว่าด้วยอำนาจของหวังเจี๋ยซี จะไม่มีใครหาทั้งเขาและซูมู่เฉิงเจอ

ที่นั่นเยี่ยซิวได้พบกับชายหนุ่มคนหนึ่งที่เป็นลูกบุญธรรมของหวังเจี๋ยซี เพราะเยี่ยซิวก็มีน้องสาวบุญธรรม จึงรู้สึกพิเศษกับเฉียวอี้ฟานอยู่เล็กน้อย

เพื่อหนทางรอดและรับประกันความปลอดภัยของซูมู่เฉิง เยี่ยซิวใช้ทุกวิถีทางเพื่อที่จะล่อลวงเหยื่อให้มาติดกับอย่างไม่ลังเล

แน่นอนว่าเขามีความสัมพันธ์กับทั้งคู่โดยไม่รู้สึกผิดบาปอะไร

ความสัมพันธ์ทางกายสำหรับเยี่ยซิวก็แค่เซ็กส์ ดังนั้น ยิ่งมีตัวเลือกมากก็ยิ่งดีไม่ใช่หรือ

อีกอย่าง ใครจะได้เป็นทายาทตระกูลหวังที่แท้จริงก็ยังไม่แน่ เขาเคยพบเกาอิงเจี๋ยแล้ว เด็กคนนั้นเก่งมากก็จริง แต่ถ้ามีเขาอยู่ จะดันผลักดันให้เฉียวอี้ฟานเป็นขึ้นเป็นผู้นำก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้…

เยี่ยซิวไปถึงห้อง มองข้าวของบนโต๊ะที่ถูกตัดให้เป็นระเบียบแล้วรู้สึกไม่คุ้นตาอย่างบอกไม่ถูก ร่างโปร่งบางรีบรุดไปยังโต๊ะตัวนั้น มือเรียวพลิกปกสมุดสีฟ้าก็พบว่าบางสิ่งหายไป

“ใครเป็นคนทำความสะอาดโต๊ะ” เยี่ยซิวเอ่ยถามเสียงเรียบเฉยกับคนรับใช้ที่ดูไม่คุ้นหน้า
“เอ่อ ผมเองครับ”
“เห็นรูปถ่ายที่อยู่ในนี้ไหม” เยี่ยซิวยกสมุดขึ้นมาให้ดู คนรับใช้คนนั้นส่ายหน้า เยี่ยซิวถอนหายใจเฮือก ยกมือไล่อีกฝ่ายให้ออกไปจากห้อง

เยี่ยซิวมองหน้ากระดาษว่างเปล่า แพขนตายาวหลุบลง

ของจะไม่อยู่แล้วก็ช่างเถอะ เยี่ยซิวไม่รู้สึกอะไร เพราะหัวใจเขาได้ตายไปพร้อมกับใครคนนั้นแล้ว

แค่เพียงทำให้น้องสาวคนสำคัญรอดพ้นจากตระกูลเยี่ยได้ ต่อให้เบื้องหน้าเป็นหลุมลึกที่มองไม่เห็นก้น เขาก็จะโดดลงไปอย่างไม่ลังเล

 

 

 

:: 02 ::

 

หวังเจี๋ยซีมองรูปถ่ายเก่าๆ ในมือ มีเยี่ยซิวที่อายุน้อยกว่าตอนนี้มากยิ้มกว้างกอดคอกับเด็กหนุ่มหน้าตาดีอีกคน ตรงกลางระหว่างพวกเขามีเด็กสาวผมสีน้ำตาลอ่อน หน้าตาจิ้มลิ้มพริ้มเพรายืนอยู่

หวังเจี๋ยซียกยิ้มเย็นชา จุดไฟแช็กลงบนรูปถ่ายใบนั้น เปลวไฟค่อยๆ ลามเลียบุคคลในรูป หวังเจี๋ยซีปล่อยใันลงถังขยะ มองเศษซากที่เหลือเพียงเถ้าถ่าน

เขาไม่มีวันให้คนอื่นมีอิทธิพลต่อเยี่ยซิวเหนือเขาเด็ดขาด

หวังเจี๋ยซีหันหลังกลับไปยังทางเดิมที่จากมา ใบหน้าเรียบเฉยเยือกเย็นที่ไม่ว่าใครเห็นก็ต้องก้มหลบด้วยความหวาดกลัว

หวังเจี๋ยซีบริหารบริษัทของตระกูลที่ชื่อว่า เวยเฉ่า (จุลพฤกษ์) ที่ถูกพิษเศรษฐกิจจนเกือบล้มละลาย และสามาถพลิกขึ้นแท่นบริษัทลำดับต้นๆ ได้ในเวลาไม่นาน ลำพังเรื่องแค่นี้ก็สามารถการันตีความสามารถของเขาได้แล้ว แต่ไม่เคยมีใครล่วงรู้ถึงเบื้องหลังความสำเร็จนั้น

แท้จริงการที่ตระกูลหวังถือครองทรัพย์สินเป็นอันดับต้นๆ ของประเทศได้ ไม่ได้ทำธุรกิจเพียงอย่างเดียว

ตั้งแต่โลกเบื้องบนไปจนถึงโลกเบื้องล่าง ตั้งแต่ขาวสะอาดที่สุดไปจนถึงดำมืดที่สุด ตระกูลหวังล้วนมีอยู่ในครอบครองทั้งสิ้น

ในโลกเบื้องล่าง ตระกูลหวังทำธุรกิจที่ทำเงินได้มหาศาลมากที่สุด ในเวลารวดเร็วที่สุด

นั่นคือยาเสพติด

พวกเขาไม่ได้ผลิตยาเสพติดออกมา แต่เป็นผู้จำหน่ายตัวยาบางอย่างที่เป็นส่วนผสมสำคัญของยาเสพติด

ดังนั้น พวกเขาจึงถูกคนในโลกเบื้องล่างขนานนามว่า จงเฉ่าถัง (ตำหนักสมุนไพร)

การต้องบริหารปกครองทั้งในโลกมืดและโลกสว่างตั้งแต่วัยเยาว์หล่อหลอมให้หวังเจี๋ยซีเป็นคนเฉยชา

ขนาดตัวหวังเจี๋ยซียังเคยคิดว่าตนเองไม่มีหัวใจ

จนกระทั่งได้พบกับนักเปียโนแปลกๆ คนหนึ่งเมื่อห้าปีก่อน

 

ภายในภัตตาคารคุณภาพแค่สามดาวเท่านั้น ปกติแล้วหวังเจี๋ยซีไม่เคยเฉียดกรายเข้ามาใกล้เด็ดขาด แต่วันนั้นไม่รู้นึกครึ้มอะไร หวังเจี๋ยซีจึงบอกคนขับรถให้จอด แล้วเดินเข้าไปนั่งในร้านอาหาร

หวังเจี๋ยซีสั่งกับข้าวขึ้นชื่อของที่นี่มาห้าหกอย่าง ระหว่างรอ หวังเจี๋ยซีก็ได้ยินเสียงเปียโนอ่อนหวานถูกบรรเลงขึ้น

หวังเจี๋ยซีมองนักเปียโนคนนั้นราวกับต้องมนต์

มือของอีกฝ่ายสวยมาก ทั้งเล็กและดูบอบบางน่าทะนุถนอม

ยามที่อีกฝ่ายหันมาสบตา หวังเจี๋ยซีรู้สึกเหมือนเวลารอบด้านพลันหยุดลง

วันที่เขารู้ว่าตนเองมีหัวใจ เป็นวันเดียวกันกับที่ถูกช่วงชิงไปโดยพริบตา

หวังเจี๋ยซีมองตามความเคลื่อนไหวด้วยหัวใจเต้นรัว และมันแทบจะหยุดนิ่ง เมื่อเขาเห็นแล้วว่าเสียงเปียโนอ่อนหวานนี่ถูกบรรเลงเพื่อใครอีกคน

หวังเจี๋ยซีสั่งให้ลูกน้องสืบหาประวัติคนคนนี้มาโดยเร็วที่สุด จนได้ทราบทั้งชื่อ ทั้งประวัติโดยย่อ ทั้งเรื่องที่อีกฝ่ายมีคนรักแล้ว

เพราะเยี่ยซิวเป็นถึงคนตระกูลเยี่ย หวังเจี๋ยซีจึงไม่อาจสอดมือเข้าไปยุ่งได้โดยง่าย

จนช่วงพักหลัง หวังเจี๋ยซีได้ข่าวว่าเยี่ยซิวแตกหักกับตระกูลเยี่ย ตนจึงไม่รอช้า ใช้อำนาจทั้งหมดที่มีดึงตัวเยี่ยซิวมาให้ได้

คนที่เขาปราถนาจะได้มาตลอด บัดนี้มาอยู่ตรงหน้าเขาแล้ว

หวังเจี๋ยซีสังเกตลักษณะนิสัยของเยี่ยซิวได้หลายอย่าง ดังนั้นจึงพยายามล้อมจับเยี่ยซิวเอาไว้ในกรงที่มีชื่อว่าคฤหาสน์ตระกูลหวัง โดยที่ฝ่ายนั้นไม่รู้ตัว

และเขาก็รู้ว่าเพราะเยี่ยซิวไม่มั่นใจเรื่องซูมูเฉิง จึงพยายามหว่านสเน่ห์ไปทั่ว และผู้ที่ตกบ่วงสเน่ห์นั้นคือเฉียวอี้ฟาน ลูกชายบุญธรรมของเขาเอง

บอกตามตรงว่าการเปลี่ยนแปลงของเฉียวอี้ฟานทำให้เขาประหลาดใจมาก

“เขาไม่มีวันเลือกนาย”

หวังเจี๋ยซีเอ่ยไปอย่างนิ่งสงบ เขาเลือกความจริงที่เฉียวอี้ฟานไม่อาจปฏิเสธได้เพื่อรอดูปฏิกิริยาของอีกฝ่าย

เฉียวอี้ฟานกำหมัดแน่น เมื่อถูกตอกย้ำด้วยท่าทางนิ่งเฉยราวกับว่าต้องเป็นเช่นนั้นอยู่แล้วของอีกฝ่าย “ถึงตอนนี้เยี่ยซิวจะยังเลือกไม่ได้ แต่ผมจะทำให้เขาเลือกผมแน่นอน”
“มันไม่ง่ายขนาดนั้นหรอก” หวังเจี๋ยซีเว้นไปชั่วครู่ก่อนจะเอ่ยต่อ “อะไรคือสิ่งที่นายปราถนามากที่สุด”

เฉียวอี้ฟานตอบโดยไม่ต้องหยุดคิด “เยี่ยซิว”

หวังเจี๋ยซียิ้มเลือนราง สำหรับเด็กคนนี้เขาเลี้ยงมากับมือ จะว่าไม่มีความผูกพันธ์ก็ไม่เป็นเช่นนั้นเสียทีเดียว

“ฉันจะยอมถอยให้เธอก้าวหนึ่ง”
“คุณจะยอมถอย?” เฉียวอี้ฟานไม่อยากจะเชื่อ
“แค่ก้าวเดียวเท่านั้น” หวังเจี๋ยซีทวนคำพูดของตน “มาร่วมมือกับฉันสิ”
“นี่คุณหมายความว่า…” เฉียวอี้ฟานเบิกตากว้าง แต่ครู่เดียวก็ควบคุมอารมณ์ให้สงบนิ่งได้ การกระทำนั้นเรียกสายตาชื่นชมจากผู้เป็นบิดาบุญธรรม

กับเด็กคนนี้ เขายอมถอยให้ก้าวหนึ่ง

แต่ถ้าให้ปล่อยมือจากเยี่ยซิวนั้นไม่มีทาง และเขาคิดว่าเฉียวอี้ฟานก็ไม่มีทางยอมเช่นกัน

“เด็กน้อย คิดว่าได้ครอบครองเขาแค่ครั้งเดียวแล้วเขาจะกลายเป็นของเธอหรือไง โลกของผู้ใหญ่มันไม่ง่ายขนาดนั้นหรอก ร่วมมือกับฉันสิ”

จงเฉ่าถังมียาอยู่ตัวหนึ่ง

ไม่ใช่สารเสพติดโดยตรง แต่มีฤทธิ์ข้างเคียงที่ทำให้ผู้ที่ได้รับอย่างต่อเนื่องแค่ในปริมาณน้อยนิดจะเกิดอาการเสพติดเซ็กส์ รวมทั้งเสพติดสัมผัสของผู้ที่มอบความสุขให้ ข้อเสียอย่างเดียวคือต้องให้ทานอย่างต่อเนื่องทุกๆ วัน ซึ่งหวังเจี๋ยซีคงไม่มีเวลาว่างขนาดนั้น และคงไม่ไว้ใจให้คนอื่นทำง่ายๆ

พูดถึงตรงนี้ เฉียวอี้ฟานก็เข้าใจ

“แน่ใจหรือว่าพอหมดประโยชน์แล้วยังจะสามารถเหนี่ยวรั้งเขาไว้ได้”

หวังเจี๋ยซีเชื่อว่าอีกฝ่ายต้องตอบตกลง

เฉียวอี้ฟานเป็นคนฉลาด อีกอย่างเขาพบว่าพวกเขามีบางอย่างเป็นจุดร่วมกันมากกว่าที่คิด

เพราะพวกเขาต่างเหมือนกัน เป็นคนลุ่มหลงงมงายในรัก

“ตกลง ผมจะทำ”

หวังเจี๋ยซีเก็บรอยยิ้มมุมปาก สายตาราบเรียบที่มองตามแผ่นหลังหนึ่งในลูกบุญธรรมของตัวเองแฝงอะไรบางอย่างที่ลึกล้ำเกินจะคาดเดา

“ฉันจะรอดู”

 

เฉียวอี้ฟานทำตามที่พูดจริงๆ ที่เยี่ยซิวดื่มเพราะคิดว่าเป็นม็อกเทล ความจริงแล้วก็เป็นค็อกเทลเจือจาง เพราะเฉียวอี้ฟานรู้มาว่าเยี่ยซิวคออ่อนมาก

แค่ทำให้เยี่ยซิวยอมรับความสัมพันธ์ของพวกเขาสามคนได้ ที่เหลือก็จะไม่ยากอีกต่อไป

เยี่ยซิวจะถูกทำให้คุ้นเคย จนกระทั่งเสพติดสัมผัสของพวกเขาโดยไม่รู้ตัว

หวังเจี๋ยซียิ้มเย็นชา

เยี่ยซิว คุณไม่มีวันหนีจากผมไปได้หรอก

 

หวังเจี๋ยซีคลายปมเนคไทด์สีเขียวเข้มออก พลางปลดกระดุมข้อมือระหว่างเดินไปยังห้องดนตรี

เสียงครางแผ่วแว่วออกมา หวังเจี๋ยซีย่างสุขุมเข้าไปหาร่างที่นอนพาดอยู่บนแกรนด์เปียโน ใกล้กันมีชายหนุ่มอีกคนกำลังปลุกปั่นความปราถนาของร่างเพรียวบางอยู่

“มาได้จังหวะพอดีเลยครับ”

เฉียวอี้ฟานกล่าวต้อนรับ เอื้อมมือแหวกก้อนเนื้อนุ่มเพื่อเปิดทางให้แก่หวังเจี๋ยซี

หวังเจี๋ยซีสอดแทรกเข้าไปในร่างกายขาว เยี่ยซิวครางฮือ ใบหน้าแดงเรื่อด้วยแรงอารมณ์ซบอยู่บนแผ่นอกแน่นของเฉียวอี้ฟาน จากนั้นก็ถูกช้อนให้เงยหน้าขึ้นมาป้อนจูบ

หวังเจี๋ยซีขยับตัวตนเข้าออกในร่างกายงดงามอย่างลำพอง

เขาได้เยี่ยซิวมาอยู่ในมือแล้ว

อีกไม่นานหรอก อีกฝ่ายจะตกเป็นของเขาอย่างสมบูรณ์

 

 

 

 

END

แอออออ จบแล้ว—
ฮือ ว่ากันตามตรงเรื่องนี้ไม่มีคนดีค่ะ มีก็แต่ใครร้ายที่สุด อ่านจบได้โปรดอย่าตบตีกันนะคะ 55555
คำคมประจำเรื่อง: ใครมาก่อนมาหลังสำคัญด้วยหรือ เพราะยังไงก็ควบสองอยู่ดี—อะไรนะ ไม่ใช่เหรอ

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

QZGS

[Fic QZGS] – light and darkness 2 (หวังเยี่ยเฉียว)

Fic 全职高手 – light and darkness 2 (หวังเยี่ยเฉียว) (3P)
#หวังเยี่ย #เฉียวเยี่ย มาแค่พาร์ทน้องอี้ฟานค่ะ อัพความใจบาปไปอีกขึ้น ฮือออ นอนกันหมดแล้วเนอะ ดีแล้ว ;-;

NC18

 

 

 

 

 

:: 03 ::

 

“…เฉียว เสี่ยวเฉียว!”

หัวไหล่ถูกแตะเบาๆ เฉียวอี้ฟานพลันรู้สึกตัว รีบหันไปทางเจ้าของเสียงที่มองเขาอย่างติดกังวล

“เป็นอะไรหรือเปล่า วันนี้ดูไม่ค่อยมีสมาธิเลยนะ”

เฉียวอี้ฟานก้มหัวส่ายหน้า เรียกเสียงถอนหายใจจากเยี่ยซิว

เจ้าเด็กคนนี้มีโครงหน้าที่ใช้ได้ แต่ชอบก้มหน้า หลังงอ และไม่มีความมั่นใจในตัวเอง พักหลังมาพอจะแก้ไขได้บ้างแล้ว ไม่รู้วันนี้ทำไมเฉียวอี้ฟานถึงทำท่าหมดความมั่นใจแบบนั้น

เขาลูบบ่าเฉียวอี้ฟานอย่างปลอบประโลม “ถ้าเหนื่อยก็หยุดก่อนเถอะ ฉันจะไปบอกเสี่ยวหวังให้”

เป็นเจ้านายกับลูกจ้าง แต่ลูกจ้างเรียกเจ้านายเสียสนิทสนมแบบนั้น…เฉียวอี้ฟานพยักหน้าให้เงียบๆ มองมือของเยี่ยซิวผละออกไป ไออุ่นร้อนยังเหลือทิ้งอยู่บนหัวไหล่

“เอาล่ะ ถ้าเครียดเกอจะเล่นเปียโนให้ฟังแล้วกัน”

เยี่ยซิวนั่งลงข้างเฉียวอี้ฟาน มือคู่นั้นที่แสนงดงามจรดลงบนแกรนด์เปียโน ท่วงทำนองช้าแผ่วเริ่มขึ้น นิ้วเรียวยาวขยับพลิ้วไหว ปกติแล้วสายตาของเฉียวอี้ฟานมักจะถูกมันดึงดูดเข้าอย่างจัง แต่ครานี้กลับไม่เป็นเช่นนั้น

เพราะเยี่ยซิวมัวแต่จมอยู่ในห้วงอารมณ์ของบทเพลง จึงไม่รับรู้ถึงสายตาของชายหนุ่ม เฉียวอี้ฟานมองลอดผ่านไปใต้เสื้อเชิ้ตสีอ่อนที่ขยับตามความเคลื่อนไหวของเยี่ยซิว ร่องรอยแดงใต้ร่มผ้าปรากฏเข้าสู่สายตา แม้จะเห็นแค่เพียงไม่กี่วินาที แต่กลับชัดเจนเสียจนไม่อาจลบเลือนไปได้

เฉียวอี้ฟานกัดฟันแน่น ความเจ็บปวดเสียดแทงเข้ามาในอกเหมือนมีเข็มนับร้อยเล่มทิ่มตำพร้อมกัน

เมื่อเช้าเขาได้ข่าวว่าเกาอิงเจี๋ยกำลังจะกลับมา

เกาอิงเจี๋ยถือเป็นอัจฉริยะในทุกๆ ด้าน ถ้าหาก…ฝ่ายนั้นกลับมาแล้ว เยี่ยซิวจะมองข้ามเขาไปหรือเปล่า มองข้ามเขาไปยังอีกคนเหมือนกับทุกครั้ง เพราะว่าเกาอิงเจี๋ยช่างส่องสว่าง ส่วนเขาก็แค่คนในเงามืด ลำพังแค่สถานะภายในตระกูลก็ต่างกันราวฟ้ากับเหว

ทั้งพ่อบุญธรรม ทั้งเกาอิงเจี๋ย ทั้งคู่ดีกว่าเขาทุกอย่าง ไม่มีอะไรที่เขาจะสามารถเทียบได้เลย

ถ้าเยี่ยซิวไม่สนใจเขาเหมือนกับคนอื่นๆ เขาจะทนได้หรือ

เฉียวอี้ฟานไม่กล้าแม้แต่จะคิด

“เสี่ยวเฉียว เหม่ออะไรอีกแล้ว”

น้ำหนักถูกกดลงบนศีรษะ เยี่ยซิวยิ้ม ออกแรงขยี้ผมเขาจนยุ่งเหยิง

“เด็กดี เป็นอะไร อยากได้อะไรบอกเกอสิ”

ทุกครั้งที่เยี่ยซิวเรียกเขาเช่นนี้ เรียกด้วยน้ำเสียงเช่นนี้ เขามักจะอดรู้สึกเขินอายและดีใจเล็กน้อยไม่ได้ แต่ครั้งนี้กลับทำให้ความอึดอัดข้างในพุ่งสูงมากขึ้นกว่าเดิม

“…วัล”
“หืม?”
“ผมอยากได้รางวัล” เฉียวอี้ฟานพูดเสียงแผ่วเบาแต่ชัดเจน ดวงตามองสบอีกฝ่ายตรงๆ ไม่หลบเลี่ยง
“เอาสิ ถือว่าวันนี้เป็นรางวัลความพยายามของนายแล้วกัน”

เมื่อเยี่ยซิวทำท่าทางเป็นเชิงอนุญาตแล้ว เฉียวอี้ฟานจึงโน้มลง กลืนกินกลีบปากอุ่นนุ่มของอีกฝ่าย

“ฮะ…อือ”

เฉียวอี้ฟานละออกจากริมฝีปากแดงอิ่มอย่างอาวรณ์ เขาไม่อยากจะจากเยี่ยซิวไป เพียงแค่นึกถึงการที่ไม่มีเยี่ยซิวอยู่เคียงข้าง ด้านในก็เจ็บร้าวระบมไปหมด เขารู้สึกเหมือนหลงทางอยู่ในเขาวงกตมืดมิดที่ไร้ทางออก

แม้แต่เรื่องที่เขาควรยอมตัดใจจากเยี่ยซิวหรือเปล่า เฉียวอี้ฟานก็ยังไม่รู้เลย…

 

 

 

“วันนี้คึกคักกันจังนะ”

ทั้งคู่ยืนอยู่ท่ามกลางห้องโถงใหญ่ โคมไฟระย้าส่องประกายสวยงามถูกนำมาประกับตกแต่งอยู่ด้ายบน ผ้าม่านสีแดงกำมะหยี่ปักดิ้นทองหรูหราแขวนอยู่ตามผนังห้อง เฉียวอี้ฟานสังเกตคนข้างตัว เยี่ยซิวแค่มองภาพนี้อย่างเฉยเมย ดวงตาคู่นั้นคล้ายจะเบื่อหน่ายด้วยซ้ำ

เขารับแก้วแชมเปญจากบริกร แล้วยื่นส่งให้เยี่ยซิวแก้วหนึ่ง ซึ่งเจ้าตัวก็รับมาถือไว้เฉยๆ ไม่มีทีท่าจะดื่มแต่อย่างใด

“คุณไม่ดื่มหรือครับ”
“นี่น่ะหรือ เกอไม่ค่อยถูกกับแอลกอฮอล์น่ะ” เยี่ยซิวยกยิ้มมุมปากตอบเรียบเรื่อย สายตายังคงกวาดมองไปรอบห้อง

เฉียวอี้ฟานเก็บความสงสัยไว้ในใจ มองตามสายตาเยี่ยซิวก็ต้องชะงัก

“อี้ฟาน!” เกาอิงเจี๋ยกึ่งเดินกึ่งวิ่งมาทางเขา อีกฝ่ายสวมชุดสูทสีดำเนื้อดี รองเท้าหนังมันปลาบ ดูก็รู้ว่ามีมูลค่าไม่น้อย เฉียวอี้ฟานส่งยิ้มตอบกลับไปอย่างเป็นธรรมชาติ
“ไม่ได้เจอกันนานเลยนะอิงเจี๋ย”

เฉียวอี้ฟานปฏิเสธไม่ได้ว่าตนรู้สึกยินดีที่ได้เจอเกาอิงเจี๋ย แต่ส่วนลึกในใจกลับเห็นต่างอย่างสิ้นเชิง

“นั่นสิ! ห้าปีได้แล้วมั้ง สบายดีไหม”
“แน่นอน นายไปอยู่ที่นู่น…” ทั้งสองคนพูดกันเรื่อยเปื่อย จนกระทั่งเกาอิงเจี๋ยรู้สึกตัวว่าที่ตรงนี้ไม่ได้มีกันอยู่แค่สองคนก็ขอโทษขอโพยเยี่ยซิว ผู้อายุมากกว่าโบกมือเป็นเชิงไม่ถือสา

เยี่ยซิวอยู่ที่คฤหาสน์ตระกูลหวังมาหลายเดือน เรื่องที่ควรได้ยินก็ได้ยินมาหลายเรื่อง จึงนับว่าเคยได้ยินชื่อเกาอิงเจี๋ยอยู่บ้าง เมื่อได้พบตัวจริงก็วิเคราะห์ออกมาได้อย่างรวดเร็ว เพราะคนหนึ่งส่องสว่างจ้าจนเกินไป อีกคนจึงไม่เปล่งประกายเท่าที่ควร ไม่แปลกเลยที่เฉียวอี้ฟานมักจะถูกมองข้ามอยู่บ่อยๆ

คุยกันอีกพักหนึ่งเกาอิงเจี๋ยก็ถูกคนมาตาม ชายหนุ่มโบกมือลาทั้งคู่อย่างเกรงใจที่อยู่คุยด้วยไม่ได้ เฉียวอี้ฟานยิ้มไม่ว่าอะไร เพราะมันเป็นแบบนี้เสมอ

“หึๆ พอตัวจริงมา คนแถวนี้ก็ตกกระป๋องสินะ” เสียงพูดดังขึ้นลอยๆ เหมือนไม่เจาะจงใครเป็นพิเศษ แต่เฉียวอี้ฟานรู้ดี คำกระทบกระเทียบนี้ นอกจากเขายังจะเป็นใครได้อีก

“เสี่ยวเฉียว ทำไมนายถึงยอมอยู่เรื่อย” เยี่ยซิวเอ่ยขึ้นด้วยโทนเสียงเอื่อยๆ ฟังไม่ออกว่าชอบใจหรือไม่ชอบใจกันแน่

ไม่รอให้เฉียวอี้ฟานตอบ เยี่ยซิวก็พูดต่ออีกว่า “การไม่สนใจถ้อยคำขยะพวกนั้นมันก็ดี แต่ถ้านายไม่โต้ตอบเพราะคิดว่าเขาพูดถูกแล้ว อันนี้เกอเองก็ไม่ค่อยเห็นด้วยเท่าไหร่นะ เสี่ยวเฉียว เมื่อไหร่จะเลิกดูถูกตัวเองสักที”

เมื่อไหร่น่ะหรือ…เฉียวอี้ฟานลอบมองเสี้ยวหน้าของอีกฝ่ายแล้วเม้มปากแน่น

ไฟทั้งห้องโถงใหญ่ถูกดับลงอย่างกะทันหัน บรรดาแขกเหรื่อตกใจเล็กน้อย แต่ไม่นานก็กลับมาเป็นปกติเมื่อแสงสปอร์ตไลท์ถูกส่องไปยังกลางเวที เปียโนสีขาวถูกตั้งไว้บนนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่ทราบ ด้านหลังเปียโนยังมีชายหนุ่มคนหนึ่งนั่งอยู่

ชายหนุ่มบนเวทีสูดหายใจเข้าลึก ปลายนิ้วแตะลงบนเปียโนอย่างนุ่มนวล ดูราวกับเจ้าชายผู้สูงส่ง

ความสนใจของอี้ฟานขณะนี้ไม่ได้อยู่บนเวที แต่อยู่ที่ชายหนุ่มข้างๆ เขาเอง

เยี่ยซิวยืนทิ้งน้ำหนักลงบนขาข้างหนึ่ง มือถือแก้วอย่างไม่ใส่ใจ ริมฝีปากยกยิ้มน้อยๆ ดวงตาเป็นประกายจับจ้องไปยังการแสดงบนเวที

เป็นแบบนี้อีกแล้ว เป็นแบบนี้เสมอ

เฉียวอี้ฟานหลุบตาลงด้วยความร้าวราน ทุกคนก็เป็นเช่นนี้ ล้วนมองไปที่เกาอิงเจี๋ย เขาที่อยู่ข้างๆ ก็เหมือนแค่เงามืดที่คอยขับเน้นแสงสว่างให้เด่นชัดมากขึ้นเท่านั้น

เฉียวอี้ฟานกระดกของเหลวโปร่งแสงในมือจนหมด ยกมือเรียกบริกรเพื่อเปลี่ยนแก้วใหม่ จากนั้นก็ดื่มจนหมดอีกครั้ง

ไฟสว่างจ้า เกาอิงเจี๋ยโค้งตัวรับเสียงปรบมือจากผู้ชม หวังเจี๋ยซีเดินออกมาจากหลังม่าน โอบไหล่เกาอิงเจี๋ยเอาไว้ ชายหนุ่มอายุน้อยกว่าดูประหม่าอย่างเห็นได้ชัด แต่สักพักก็ผ่อนคลายลงด้วยฝีมือของผู้เป็นพ่อบุญธรรม

วันที่เกาอิงเจี๋ยกลับมา เป็นวันเดียวกับที่หวังเจี๋ยซีตั้งใจจะแนะนำเกาอิงเจี๋ยกับบุคคลภายนอกตระกูล

ของเหลวร้อนๆ ไหลลงคอราวกับน้ำเปล่า ในอกของเฉียวอี้ฟานมอดไหม้ไปด้วยความรู้สึกที่ไม่รู้จัก

“เสี่ยวเฉียว! ทำไมตาแดงอย่างนั้น เมาแล้วหรือเปล่า”
เยี่ยซิวร้องเรียกเขาอย่างตกใจ ฝ่ามือที่เล็กกว่าเขาเกือบสองเท่าสอดเข้ามาช่วยพยุงตัวเขาเอาไว้ เฉียวอี้ฟานเดิมทีตั้งใจจะส่ายหน้าปฏิเสธ แต่พอได้รับสัมผัสที่แนบชิดจากเยี่ยซิว เขาก็เปลี่ยนเป็นยืนพิงอีกคนเงียบๆ แทน

“ไหวไหม”

เฉียวอี้ฟานอ้าปากจะตอบ แต่แล้วก็เปลี่ยนเป็นส่ายหน้าเงียบๆ มือใหญ่ตามมาตรฐานของชายหนุ่มโอบรอบเอวของเยี่ยซิวที่กำลังมองเขาด้วยความกังวล

“ให้เกอช่วยพากลับห้องไหม”
“…ครับ”

เยี่ยซิวพยุงเขาออกจากโถงจัดงาน ขึ้นไปบนชั้นสอง ระหว่างทางผ่านห้องดนตรีใหญ่ที่อีกฝ่ายชอบมาซ้อมในทุกๆ วัน

เฉียวอี้ฟานหยุดอยู่กับที่ เอ่ยอ้อนวอน “ผมอยากฟังคุณเล่นเปียโน เล่นให้ผมฟังหน่อยนะครับ”
“ตอนนี้?” เยี่ยซิวดูลังเล แต่พอเห็นเขายืนยันอย่างดื้อรั้นก็ยอมแพ้ พาชายหนุ่มอายุน้อยกว่าตนเองเข้าไปแต่โดยดี

เยี่ยซิวให้เฉียวอี้ฟานนั่งลงบนเก้าอี้ ส่วนตนเองก็เดินไปยังแกรนด์เปียโนที่ตั้งตระหง่านอยู่กลางห้อง ยังไม่ทันจะถึงดี เยี่ยซิวก็รู้สึกถึงแรงกระแทกจากด้านหลังจนร่างกายเสียหลักล้มลงไปบนเปียโนหลังใหญ่

“เสี่ยวเฉียว?”

เฉียวอี้ฟานไม่ตอบ ร่างกายของชายหนุ่มร้อนผ่าวเหมือนมีเตาไฟอยู่ด้านใน เฉียวอี้ฟานขยับมือปลดเข็มขัดของร่างโปร่งบางอย่างรวดเร็ว กางเกงสีเข้มร่นลงมาอยู่ที่ปลายเท้า สอดมือเข้าไปกระตุ้นความเป็นชายที่จุดกึ่งกลาง เยี่ยซิวร้องอา ร่างสูงเพรียวสั่นสะท้าน ฟุบหน้าลงกับเปียโน

“อึก เสี่ยว…เสี่ยวเฉียว”

เฉียวอี้ฟานเปลื้องชุดสูทเนื้อดีของอีกฝ่ายออก แกรนด์เปียโนสีดำสนิทตัดกับแผ่นหลังขาวราวหิมะของอีกฝ่าย ยิ่งขับให้ร่างกายของเยี่ยซิวงดงามน่าลุ่มหลง

เฉียงอี้ฟานลูบไล้บนรอยรักที่ถูกทิ้งไว้บนเรือนร่างเพรียวบาง ไล่ตั้งแต่ลำคอ ลาดไหล่ ไปจนถึงกระดูกสะบักที่เป็นเส้นสายสวยงาม

‘เสี่ยวเฉียว ทำไมนายถึงยอมอยู่เรื่อย’

ประโยคที่เยี่ยซิวพูดกับเขาในงานเลี้ยงเมื่อครู่ดังวนเวียนในหัว

…นั่นสิ ทำไมเขาต้องยอม…

ปลายนิ้วหยอกล้อกับตุ่มไตขึ้นสีชูชัน อีกด้านก็ยังคงปรนเปรอความต้องการให้แก่ร่างด้านใต้ไม่ช้าไม่เร็ว เฉียวอี้ฟายพรมจูบบนผิวเนื้อนุ่ม แลบลิ้นเลียและขบเม้มสร้างรอยรักของตนแทนที่ร่องรอยเก่าที่เหลืออยู่

เป็นเด็กดีแล้วอย่างไร

ถ้าการเป็นเด็กดีครอบครองคุณไม่ได้

งั้นผมก็ไม่อยากเป็นเด็กดีอะไรทั้งนั้น

เฉียวอี้ฟานตระเตรียมช่องทางด้านหลังจนอ่อนนุ่ม สองมือแหวกเนินเนื้อหนั่นแน่น ชำแรกตัวตนเข้าไปในร่างกายของอีกฝ่าย ความร้อนและคับแน่นโอบล้อมแก่นกลางของเขาจนเฉียวอี้ฟานรู้สึกราวกับกำลังหลอมละลายคนทั้งคู่เข้าเป็นหนึ่งเดียว

“อ๊ะ อา เสี่ยวเฉียว” เสียงคราวแว่วหวานดังออกมาจากใต้ร่าง เฉียวอี้ฟานโน้มลงไปขบกัดใบหูกลมเกลี้ยงของเยี่ยซิว เปล่งเสียงที่เต็มไปด้วยแรงอารมณ์ไม่ต่างกัน

“อี้ฟาน เรียกผมว่าอี้ฟาน”

เฉียวอี้ฟานขยับเน้นกระแทกไปตรงจุดกระสันของร่างโปร่งบาง ความวาบหวามแล่นปราดเสียจนต้องพร่ำเพ้อออกมา

“อา อา อี้ฟาน…”

เฉียวอี้ฟานพลิกร่างเยี่ยซิวให้หันกลับมา ประกบจูบลงไปบนริมฝีปากสีเรื่อ เยี่ยซิวเผยอปาก ยินยอมให้อีกคนส่งลิ้นเข้ามาพัวพัน ขาเรียวทั้งสองของตวัดรัดรับแรงที่ถาโถมกระหน่ำเบื้องล่าง

อารมณ์ของทั้งคู่พุ่งไปยังจุดสูงสุด ส่วนปลายของเยี่ยซิวปลดปล่อยของเหลวออกมาเปรอะเปื้อนหน้าท้อง เฉียวอี้ฟานขยับอีกไม่กี่ครั้งของเหลวอุ่นร้อนก็ถูกหลั่งเข้ามาเติมเต็มด้านในของเรือนร่างผอมบาง

ใครอยากจะเอาอะไรไปก็เอาไปเถอะ ใครจะใช้ผมทำอะไรผมไม่เคยว่า

แต่กับเรื่องเยี่ยซิว

…ผมไม่ยอม…

ชายหนุ่มหลับตาลงจุมพิตบนพวงแก้มขาว กระซิบแผ่วเบาที่ข้างหูของอีกคน เสียงนั้นเต็มไปด้วยความรู้สึกในใจที่ไม่เคยได้เอื้อนเอ่ยออกไป

 

“เยี่ยซิว…

 

…ผมรักคุณ”

 

 

 

 

 

 

–TBC–

มีแต่พาร์ทน้องอี้ฟาน แงง ตอนหน้าจบจริงแล้วค่ะ เป็นพาร์ทพี่เยี่ยกับพี่หวัง

ดึกแล้วลงอะไรก็ได้เนอะ //_\\

QZGS

[Fic QZGS] – light and darkness 1 (หวังเยี่ยเฉียว)

Fic 全职高手 – light and darkness 1 (หวังเยี่ยเฉียว) (3P)
#หวังเยี่ย #เฉียวเยี่ย ขอโทษ เรามันใจบาปปป ใจบาปมากกกกกก แงงง

3p nc-18

ช่วงแรกไม่มีอะไร ไสยๆ มันอยู่ช่วงท้ายค่ะ ฟฟฟ

 

 

 

 

:: 01 ::

 

เฉียวอี้ฟานมีเพื่อนสนิทอยู่คนหนึ่ง ตั้งแต่จำความได้ จนกระทั่งถูกตระกูลรับมาอุปการะ ก็อยู่ด้วยกันมาโดยตลอด

ผู้นำตระกูลหวังรุ่นนี้ไม่อาจมีทายาทได้ จึงรับเด็กมีความสามารถมาอุปการะหลายคน เฉียวอี้ฟานและเกาอิงเจี๋ยถูกรับเข้าตระกูลสายหลัก พรสวรรค์ของเพื่อนสนิทโดดเด่นเป็นอย่างมากจนใครๆ ก็ชื่นชม

เกาอิงเจี๋ยถูกจับตามองเป็นอย่างมากในฐานะผู้ที่อาจจะขึ้นเป็นผู้นำตระกูลต่อจากหวังเจี๋ยซีพ่อบุญธรรมของพวกเขา มีผู้คนรายล้อมสนิทสนมมากมาย คนอื่นในตระกูลไม่ว่าจะเป็นสายหลักหรือสายรองก็พากันเข้ามาตีสนิท ต่างจากเขาที่มักจะถูกมองข้าม

ความสามารถของเฉียวอี้ฟานไม่นับว่าแย่ ไม่ว่าจะผลการเรียน กีฬา ศิลปะ ดนตรี เขาก็ทำได้กลางๆ เสมอมา

ครั้งหนึ่งในวัยเด็ก เขาเคยสอบตก เฉียวอี้ฟานตอนนั้นหวาดกลัวว่าจะถูกผู้เป็นพ่อดุด่า มือเล็กๆ กำแน่น เดินตัวหดลีบตามหลังเกาอิงเจี๋ยเข้าไปในห้องของหวังเจี๋ยซี สีทึมทึบของผนังทำให้จิตใจของเขาไม่อาจสงบลงได้

หวังเจี๋ยซีนั่งอยู่บนเก้าอี้บุนวมหนานุ่ม ดวงตาขนาดใหญ่ข้างเล็กข้างมีแววบางอย่างที่คนทั่วไปอ่านไม่ออก เฉียวอี้ฟานรู้สึกถึงแรงกดดันจากผู้เป็นพ่อบุญธรรมจนเหงื่อแตกพลั่ก หวังเจี๋ยซีมองเด็กน้อยที่ก้าวเข้ามา กล่าวชมเชยเกาอิงเจี๋ยที่สอบได้คะแนนเต็มด้วยเสียงทุ้มนุ่ม คุยเรื่อยเปื่อยสักพักก็จบด้วยคำว่าขอให้เป็นแบบนี้ต่อไป ตลอดเวลาที่อยู่ในห้อง หวังเจี๋ยซีไม่ได้มองมาทางเฉียงอี้ฟานที่ยืนอยู่ด้านหลังแม้แต่ครั้งเดียว

เหมือนเป็นธาตุอากาศ

ยิ่งเติบโตเฉียวอี้ฟานก็ยิ่งแน่ใจขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าเขาจะทำผิดอะไร ไม่ว่าเรื่องนั้นจะร้ายแรงแค่ไหน ก็ไม่เคยได้โดนดุด่าสักคำ ไม่แม้แต่จะได้รับคำตำหนิติเตียน

เช่นเดียวกับไม่ว่าจะทำดีแค่ไหน ก็ไม่เคยได้รับคำชมกลับมา เขาตระหนักได้ว่า…ไม่เคยมีใครคาดหวังอะไรจากเขาเลยแม้แต่อย่างเดียว

ไม่มีใครสนใจเขา และยิ่งไม่มีใครใส่ใจเขา นอกจากเกาอิงเจี๋ยแล้ว เฉียวอี้ฟานก็ไม่อาจพูดได้ว่าสนิทกับใครอย่างเต็มปาก มีแค่เกาอิงเจี๋ยคอยเป็นห่วงเป็นใยเขาอยู่ตลอด แต่ช่องว่างระหว่างพวกเขาใหญ่จนเกินไป ยิ่งเกาอิ๋งเจี๋ยดีกับเขามากเท่าไหร่ เฉียวอี้ฟานยิ่งรู้สึกเหมือนมีเงามืดเกิดขึ้นภายในจิตใจ

ยิ่งเวลาผ่านไปก็ยิ่งขยายใหญ่มากขึ้นโดยไม่รู้ตัว

เกาอิงเจี๋ยได้ไปเรียนต่อที่ต่างประเทศท่ามกลางแรงสนับสนุนจากรอบข้าง ส่วนเขาเฉียวอี้ฟานยังคงเป็นแบบเดิม คนชายขอบที่ไม่มีใครสนใจ

“อ้าว เฉียวอี้ฟานไม่ใช่หรือไง” น้ำเสียงวางอำนาจเล็กๆ ดังอยู่ไม่ไกล เฉียวอี้ฟานยิ้มจนใจ จำต้องทักทายตอบไปอย่างสุภาพ

“สวัสดีครับ”

เซียวหยุนคนนี้มาจากตระกูลสายรอง แต่เพราะเฉียวอี้ฟานดูหงออ่อนแอ ตนจึงกล้าวางอำนาจกับอีกฝ่ายเป็นประจำ

เฉียวอี้ฟานถูกปฏิบัติเสมือนเป็นลูกไล่อีกฝ่ายกลายๆ

หลักจากทักทายกันพอสมควรเฉียวอี้ฟานก็ขอตัวออกมาก่อนด้วยท่าทางเกรงใจ

ช่วยไม่ได้นี่ ใครใช้ให้เขาเป็นคนชายขอบกันล่ะ เขาหัวเราะขื่นๆ

“มีอะไรกันหรือครับ” เฉียวอี้ฟานเห็นเมดหลายคนจับกลุ่มกันจึงถามขึ้น
“คุณชายอี้ฟาน” หัวหน้าเมดก้าวออกมา โค้งตัวอย่างนอบน้อม “วันนี้จะมีครูสอนเปียโนคนใหม่เข้ามาค่ะ”
“งั้นหรือครับ ทำไมอยู่ดีๆ ถึงเปลี่ยนคนล่ะ”
“ครูคนเก่าลาออกน่ะค่ะ วันนี้จะมีคนมาสมัครใหม่”

เฉียวอี้ฟานพยักหน้าตอบรับแม้ในใจจะแปลกใจปนเสียดายก็ตาม

ถ้าพูดถึงสิ่งที่เขาทำได้ดีที่สุด คงจะเป็นเปียโน

แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังสู้เกาอิงเจี๋ยไม่ได้อยู่ดี เฉียวอี้ฟานยิ้มขมขื่นอีกครั้ง

และวันนั้นเขาก็ได้พบ…คนที่จะเปลี่ยนแปลงเขาไปตลอดกาล

 

 

“เสี่ยวเฉียว ตรงนี้ลองใส่อารมณ์เข้าไปให้มากกว่านี้หน่อย”
“อะ ครับ”

เฉียวอี้ฟานพยายามทำตามคำแนะนำของครูสอนเปียโนคนใหม่ แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะยังไม่พอใจ เยี่ยซิวค้อมตัวลง นิ้วเรียวงดงามกดลงบนคีย์เปียโนอยู่เบื้องหน้าของเขา แต่สมาธิของเฉียวอี้ฟานกลับไม่อยู่กับมันเท่าไหร่เลย

“ไม่ต้องกังวลเรื่องตัวโน้ตจนเกร็ง สบายๆ ปล่อยไปตามอารมณ์ นายทำได้อยู่แล้ว” เยี่ยซิวยังคงแนะต่ออย่างใจเย็น

ไม่มีใครเคยได้ยินชื่อเยี่ยซิวในฐานะนักเปียโนมาก่อน เยี่ยซิวเดินอาดๆ เข้ามาสมัครงานถึงในคฤหาสถ์อย่างไม่เกรงกลัว เฉียวอี้ฟานถูกอีกฝ่ายดึงดูดตั้งแต่ท่าทางมั่นหน้านั่นแล้ว คล้ายกับว่าคฤหาสน์หลังโตกับทรัพย์สินมากมายไม่อาจทำให้เขาสนใจได้

ทีแรกทุกคนมองเยี่ยซิวด้วยสายตาไม่มั่นใจและไม่เชื่อถือ ท่าทางเบื่อหน่ายเกียจคร้าน แววตาไม่มีความกระตือรือร้นต่อสิ่งใด ขนาดอยู่ต่อหน้าผู้นำตระกูลหวังก็ยังดูสบายๆ เฉียวอี้ฟานนึกนับถืออีกฝ่ายขึ้นมาครามครัน

กล่าวได้ว่าเยี่ยซิวเป็นคนหน้าตาค่อนข้างดี ผิวพรรณเปล่งปลั่งราวกับคุณชายที่ไหน แต่ด้วยบุคลิกท่าทางทำให้ดูไม่โดดเด่น มองเผินๆ อาจกลืนไปกับผู้คนได้อย่างได้ ไม่มีใครคาดว่าเมื่อยามที่เยี่ยซิวพรมนิ้วลงบนเปียโนนั้นจะเปลี่ยนไปเป็นคนละคน

ท่วงทำนองหนักแน่นมีพลัง ปลายนิ้วเล็กเรียวสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างดุดัน มีเสน่ห์ดึงดูดสายตาผู้คน แม้แต่พ่อบุญธรรมของเขา หวังเจี๋ยซียังจับจ้องอีกฝ่ายไม่วางตา

แน่นอนว่าเยี่ยซิวก็ได้งานไปอย่างไม่ยากเย็นนัก หวังเจี๋ยซีบอกให้เยี่ยซิวลองสอนเฉียวอี้ฟานดู เยี่ยซิวมองพิจารณาเขาสักพัก แล้วบอกให้เขาเล่นเพลงอะไรก็ได้ให้ฟังหนึ่งเพลง

เฉียวอี้ฟานเล่นจนจบ มองเยี่ยซิวด้วยใจตุ้มๆ ต่อมๆ คราวนี้เยี่ยซิวลองให้เฉียวอี้ฟานเล่นประสานกับตนเอง ทีแรกเฉียวอี้ฟานยังไม่กล้า แต่เมื่ออีกฝ่ายบรรเลงเปียโน เหมือนมีมนต์บางอย่างชักนำให้เขาทำมันบ้าง เยี่ยซิวรับส่งกับเขาเป็นอย่างดี คนที่ไม่เคยซ้อมด้วยกัน กลับเล่นเข้าขากันอย่างน่าประหลาด เฉียวอี้ฟานไม่เคยเล่นเปียโนแล้วรู้สึกอย่างนี้มาก่อน

เยี่ยซิวเงียบไปครู่หนึ่ง “นายมีหูที่ดีนะ เล่นประสานได้ดีเลย”
“จ..จริงหรือครับ”
“แน่นอนสิ”

จากวันนั้นเฉียวอี้ฟานก็เริ่มมีความมั่นใจมากขึ้น เขาพบว่าเยี่ยซิวเก่งมาก และมีพรสวรรค์อย่างมากด้วย อีกฝ่ายสอนเขาอย่างใจเย็น และพบสิ่งที่ไม่เคยมีใครพบจากตัวเขามาก่อน

“นายมีศักยภาพนะ เสี่ยวเฉียว”

เพราะประโยคนั้น ทำให้เฉียวอี้ฟานทั้งทุ่มเท ฝึกซ้อมอย่างเอาเป็นเอาตาย หัวใจเริ่มรู้สึกเต็มตื้นขึ้นมาอีกครั้ง

มีแค่เยี่ยซิวคนเดียวที่ชื่นชมเขา มีแค่เยี่ยซิวคนเดียวที่มองเห็นเขา เห็นตัวตนของเขา ไม่ใช่มองในฐานะทายาทตระกูลหวังคนหนึ่ง

 

“คิดอะไรอยู่”

เสียงเอื่อยๆ ดังขึ้นใกล้ตัวทำให้เฉียวอี้ฟานหลุดออกจากภวังค์ ชายหนุ่มหันไปส่งยิ้มขอลุแก่โทษให้แก่อาจารย์ของตนเอง

เยี่ยซิวหรี่ตาลง หางตาที่ตกเล็กน้อยทำให้อีกฝ่ายดูง่วงงุนและยั่วยวนอย่างไม่ตั้งใจ เสื้อเชิ้ตแขนยาวที่ดูหลวมกว่าคนใส่เล็กน้อย ทำให้ร่างกายดูโปร่งบางยิ่งขึ้น

สายตาของเฉียวอี้ฟานเลื่อนลงไปยังสะโพกสอบกระชับ ขาเรียวยาวที่อยู่ภายกางกางสแล็คสีน้ำตาลเนื้อดีของเยี่ยซิว

เยี่ยซิวเป็นคนมีเสน่ห์ มีความมั่นใจ มีรูปลักษณ์ภายนอกไม่ได้ถือว่าดีเลิศ แต่ยามที่ปลายนิ้วขาวสะอาดจรดลงบนคีย์เปียโนมีมนต์เสน่ห์น่าลุ่มหลง สะกดทุกสายตาเอาไว้

เยี่ยซิวโน้มลงมาสาธิตให้เขาดูอีกครั้ง เฉียวอี้ฟานเผลอกลั้นหายใจเมื่อแผ่นหลังของตนแนบอยู่กับแผ่นอกของเยี่ยซิว เขารับรู้ถึงความรู้สึกบางอย่างค่อยๆ เติบโตขึ้นอยู่ข้างในมาสักพักแล้ว และเขาไม่เคยคิดจะหยุดมัน

“ดีมาก” เยี่ยซิวชมเชยเขา ทำให้เฉียวอี้ฟานรู้สึกทั้งภูมิใจทั้งยินดี
“เอ่อ ขอบคุณครับ คือ…”
“หืม?”
“เอ่อ คือ…”
“อ้อ อยากได้รางวัล?” เยี่ยซิวคาดเดาเจตนาของอีกฝ่ายออก
“…ครับ” เฉียวอี้ฟานอ้อมแอ้มตอบเสียงเบา

ได้ยินเสียงหัวเราะแผ่วของเยี่ยซิว ชายหนุ่มรู้สึกว่าใบหูตนเองร้อนขึ้นมาทันควัน เขายืดตัวขึ้น ใช้มือประคองใบหน้าอีกฝ่ายให้ก้มลงมาอย่างระมัดระวัง เอ่ยเบาๆ ว่า ขออนุญาตครับ จากนั้นก็ประทับริมฝีปากลงไป

ลิ้นร้อนถูกดึงดูดเข้าหากัน อุ่นนุ่มและรู้สึกดี เฉียวอี้ฟานขยับใบหน้าเพื่อมอบสัมผัสที่ลึกล้ำขึ้นให้อีกฝ่าย ขยับกวาดทั่วโพรงปาก จังหวะที่นุ่มนวลเปลี่ยนมาเป็นเร่าร้อนขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ เขาล็อกศีรษะเยี่ยซิวเอาไว้ รู้ตัวอีกทีแก้มของเยี่ยซิวก็เปลี่ยนเป็นสีเรื่อ อ้าปากหอบน้อยๆ เฉียวอี้ฟานเหมือนถูกดึงดูดเข้าไปในวังวนแสนแปลกประหลาด ริมฝีปากทาบทับลงไปอีกครั้ง และอีกครั้ง รู้สึกถึงบางสิ่งที่เต้นรัวอย่างบ้าคลั่งในอก

ความรู้สึกนั้นหยั่งรากลึกลงสู่ภายในใจ และเฉียวอี้ฟานก็ไม่คิดว่าจะถอนมันออกไปได้ง่ายๆ…

ใช่

เขาหลงรักครูสอนเปียโนของตัวเอง

 

 

 

 

 

:: 02 ::

 

ตลอดชีวิตที่ผ่านมาหวังเจี๋ยซีดำเนินตามกรอบระเบียบของคนตระกูลหวังมาโดยตลอด

หวังเจี๋ยซีนับว่าเป็นผู้นำตระกูลที่ดีที่สุดเท่าที่เคยมีมา ทั้งฉลาด สุขุม จริงจัง เสียสละ เขาเติบโตท่ามกลางสายตาจับจ้องคนทั้งตระกูล

ใช้ชีวิตอยู่ภายใต้แสงสว่าง เจิดจรัส เขาไม่เคยมีความปราถนาอะไรเป็นพิเศษ ทำสิ่งที่เห็นสมควรว่าต้องทำ ไม่เอาความรู้สึกมาเกี่ยวข้อง อุทิศตนเองเพื่อตระกูล

เพราะมีลูกไม่ได้ เขาถึงรับเด็กมาเลี้ยงดูด้วยกันท้ังหมดสองคน

คนแรกเกาอิงเจี๋ย เป็นเด็กดีที่มีพรสวรรค์มาก ตอบสนองตามความคาดหวังของตระกูลได้ทุกอย่าง หวังเจี๋ยซีหมายมั่นปั้นมือไว้ว่าจะให้เด็กคนนี้เป็นผู้นำรุ่นต่อไป

ส่วนอีกคนคือเฉียวอี้ฟาน

ตั้งแต่ยังเล็ก เพราะถูกนำไปเปรียบเทียบกับอีกคนอยู่บ่อยๆ จึงขาดความมั่นใจมาโดยตลอด หวังเจี๋ยซีเองก็พยายามไม่ไปกดดันเด็กคนนี้มาก ถึงอย่างไรก็มีหลายครั้งที่เขาเผลอมองข้ามเด็กคนนี้ไป เพราะความจืดจางของอีกฝ่าย

ชีวิตเขาเรียบง่าย ไม่มีสีสัน ถ้าใครมารับรู้เข้าคงต้องไม่เชื่อว่าเขาจะจืดชืดขนาดนี้

เขาเคยคบกับผู้หญิงมาหลายคน แต่ละคนล้วนเป็นคุณหนูตระกูลใหญ่ เพรียบพร้อมทั้งรูปและทรัพย์ กล่าวได้ว่าล้วนไม่มีที่ติ แต่ก็ไม่เคยมีใครเติมเต็มเขาได้ ไม่เคยมีใครสะกดสายตาเขาได้ และไม่เคยมีใครทำให้หัวใจดวงนี้เต้นแรงมาก่อน

จนกระทั่งเขาได้พบกับนักเปียโนแปลกๆ คนหนึ่ง

เยี่ยซิวมาทำงานอยู่ที่คฤหาสน์ตระกูลหวังได้หลายเดือนแล้ว หวังเจี๋ยซีให้อีกฝ่ายพักที่นี่ไปเลย เพื่อความสะดวกในการเดินทาง แน่นอนว่าเยี่ยซิวไม่ขัดข้อง

ในตอนเย็น เมื่อเยี่ยซิวหมดภาระหน้าที่แล้วจะชอบไปนั่งเล่นเปียโนอยู่ที่ห้องดนตรีใหญ่

“ไฮ”

อีกฝ่ายมักจะทักทายเขาก่อน หวังเจี๋ยซีทักทายตอบกลับ จากนั้นก็ยืนฟังเยี่ยซิวเล่นเปียโนเงียบๆ

“คุณหวังอยากจะฟังเพลงอะไรหรือ ให้เกียรติผมบรรเลงให้คุณฟังสักเพลงสิ” เยี่ยซิวค้อมตัวให้เขา มุมปากยกยิ้มดูซุกซน

“บอกแล้วว่าไม่ต้องเรียกผมอย่างนั้น อีกอย่างผมอายุน้อยกว่าคุณ” หวังเจี๋ยซีแย้งขึ้นเบาๆ เยี่ยซิวหัวเราะ ดวงตาพราวระยิบระยับเหมือนมีดวงดาวนับล้านอยู่ในนั้น หวังเจี๋ยซีมองมันอย่างไม่อาจหักห้ามใจไว้ได้

ว่ากันตามตรง หวังเจี๋ยซีไม่ได้รู้สึกอะไรกับการที่ตนจะมีลูกได้หรือไม่ได้เป็นพิเศษ แต่วินาทีนั้น พลันรู้สึกว่าตนโชคดีขึ้นมา

เมื่อมีลูกไม่ได้ การจะแต่งงานหรือไม่แต่งก็ไม่ต่างกัน เขาไม่จำเป็นต้องปวดหัวกับการเลือกคู่ครองที่เหมาะสมจากตระกูลต่างๆ เพราะอย่างไรทายาทคนต่อไปย่อมไม่ใช่สายเลือดของเขาอยู่แล้ว

“ได้ๆ เสี่ยวหวัง แบบนี้พอใจหรือยัง”

หวังเจี๋ยซีขมวดคิ้ว บอกไม่ถูกว่าไม่พอใจตรงไหน จึงได้แต่พยักหน้ารับแกนๆ

เขาคิดว่าเยี่ยซิวเหมือนแมว แมวดำหยิ่งผยองที่ชอบทำอะไรตามใจ

หวังเจี๋ยซีเดินเข้าไปใกล้ ฉกชิงริมฝีปากของอีกคนมาอย่างรวดเร็ว จับยึดอีกฝ่ายไว้แน่น ไม่ยอมให้ดิ้นหลุดไปได้

เรียวลิ้นถูกดึงไปพัวพัน ขาถูกดันเข้าไปแทรกกึ่งกลางของเยี่ยซิว หวังเจี๋ยซีดูดดึงจนกลีบปากของอีกคนบวมเจ่อ อ้อมแขนแข็งแรงยังคงกักขังไม่ให้ไปไหน

เพราะเป็นแมวดำที่แสนจะร้ายกาจ ที่พอได้สิ่งที่ต้องการ ก็จะสะบัดก้นหายไปอย่างไม่ไยดี

“คืนนี้…” หวังเจี๋ยซีเสียงพร่า ดวงตาเต็มไปด้วยความต้องการอย่างลึกล้ำ
“คืนนี้ทำไม”
เห็นแมวน้อยของตนกำลังยิ้มยั่ว หวังเจี๋ยซีคำรามต่ำในลำคอ “คุณอย่าแกล้งไม่รู้”
“หึๆ”
เยี่ยซิวลากไล้ปลายนิ้วตามสันคอของอีกคน ดวงตาสีดำส่อแววระยับ “ไม่ต้องคืนนี้หรอก ตอนนี้ก็ได้นี่”

นัยน์ตาของหวังเจี๋ยซีเข้มขึ้น บดจูบลงไปบนริมฝีปากบางที่เอ่ยอย่างถือดีเมื่อครู่ให้เหลือเพียงเสียงหอบคราง มือขยับปลดกระดุมเสื้ออย่างชำนิชำนาญ ผิวขาวเนียนไร้ตำหนิปรากฏขึ้นสู่สายตา หวังเจี๋ยซีลดลงมาใช้ลิ้นหยอกล้อกับหน้าอกที่สะท้อนขึ้นลงอย่างหนักหน่วง ลูบวนบนหน้าท้องแบนราบ เลื่อนลงไปสัมผัสกับจุดกึ่งกลางที่กำลังตื่นตัว

“อือ”

เยี่ยซิวรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังล่องลอย ปลายเท้าแทบไม่ติดพื้น นิ้วแทรกเข้าไปในเรือนผมชื้นเหงื่อของอีกฝ่าย ริมฝีปากแดงฉ่ำหลุดเสียงออกมายามที่ส่วนอ่อนไหวถูกเล้าโลม ตัวตนของเขาขยับขยายอยู่ในมือของหวังเจี๋ยซี ยอดอกถูกดูดกลืนขบเม้มจนสั่นสะท้าน เผลอแอ่นกายตอบรับอย่างลืมตัว

หวังเจี๋ยซีปลดเปลื้องอาภรณ์ที่แสนเกะกะของอีกคนทิ้งไป คว้าขาเรียวยาวมาเกาะเกี่ยวเอวของตนไว้ข้างหนึ่ง สอดนิ้วเข้าไปบุกเบิกช่องทางอันคับแคบ ข้อนิ้วครูดไปตามผนังบอบบาง ขบกัดบนลาดไหล่แคบของคนซึ่งตอนนี้เหลือเพียงเสื้อเชิ้ตหลุดลุ่ยที่ไม่มีกระดุมแม้แต่เม็ดเดียว

“อือ..อ๊า”

หวังเจี๋ยซีสอดแทรกความปราถนาที่อัดอั้นจนแทบระเบิดเข้าไปในตัวของอีกฝ่าย ขยับขึ้นลงช้าๆ รอให้เยี่ยซิวคุ้นชิน ภายในช่องทางรัดตัวตนของหวังเจี๋ยซีแน่นจนเขาต้องสูดหายใจเข้าลึก จากนั้นก็เริ่มกระแทกอย่างหนักหน่วงมากขึ้น

แผ่นหลังของเยี่ยซิวแนบเข้ากับผนังเย็นลื่น หวังเจี๋ยซีมองไปหน้าที่พราวไปด้วยหยาดเหงื่ออย่างหลงใหล เขาจูบซับน้ำตาที่เอ่อคลอบดบังนัยน์ตาคู่สวยเบาๆ แล้วเร่งจังหวะจนร่างเพรียวบางสั่นไหวอย่างแรงไปทั้งร่าง

“อ๊า”

ร่างของทั้งคู่สอดประสานจนถึงปลายทาง เยี่ยซิวสะบัดหน้าแหงนขึ้นเพราะความรัญจวน นิ้วเรียวจิกทึ้งบนเส้นผมชื้นเหงื่อของอีกฝ่าย หวังเจี๋ยซีกอดร่างโปร่งบางไว้แน่น หยาดแห่งความใคร่ถูกปลดปล่อยในตัวอีกฝ่ายจนหมดสิ้น หวังเจี๋ยซีจึงค่อยๆ ถอนกายออก โอบกอดร่างที่หอบหายใจเบาๆ

ยิ่งสัมผัสก็ยิ่งปราถนามากขึ้น หวังเจี๋ยซีไม่รู้แล้วว่าตนควรถอนตัวจากหลุมนี้อย่างไร

 

 

 

 

 

ชายหนุ่มปิดประตูที่แง้มออกเล็กน้อยให้สนิทอย่างแผ่วเบาที่สุด ราวกับกลัวว่าถ้าเกิดมีเสียงดังแม้แต่นิด จะถูกผู้ที่อยู่ด้านในล่วงรู้

“อ้าว คุณชายอี้ฟาน มาซ้อมดนตรีที่ห้องใหญ่หรือคะ”

เฉียวอี้ฟานหันไปมองเมดสาวที่เอ่ยขึ้นอย่างประหลาดใจ รอยยิ้มบางเบาคล้ายมีคล้ายไม่มีปรากฏขึ้น

“เปล่า ผมกำลังจะกลับแล้วครับ แล้วก็ห้ามใครมารบกวนบริเวณนี้สักพักหนึ่งด้วยครับ”

เมดสาวทำหน้าสงสัย แต่ก็นึกออกขึ้นมาทันที

“อ๋อ คุณเยี่ยกำลังเล่นเปียโนอีกแล้วหรือคะ แหม เวลาคุณเยี่ยซ้อมทีไร นายท่านก็ห้ามพวกเราเข้าใกล้บริเวณนี้ทุกที”

เฉียวอี้ฟานไม่ตอบ เมดสาวรู้ว่าตนเสียมารยาทที่เอาเรื่องเจ้านายมาพูดก็ลนลานขออภัย ก่อนจะย้ายไปทำความสะอาดที่อื่นแทน

เพราะรีบร้อนจากไป เธอจึงไม่ทันได้เห็นคุณชายที่ขึ้นชื่อว่าสุภาพอ่อนโยนและขี้เกรงใจที่สุดในบ้านมีใบหน้าเรียบนิ่งเย็นชาอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน มือคู่ที่เคยดูแลอย่างดีกำลังกำหมัดแน่นจนเส้นเลือดปูดโปน

 

 

 

 

 

–TBC–

ตอนหน้าพาร์ทจบค่ะ เป็นพาร์ทเฉลย ฮืออออ ขอโทษค่ะ ลงฟิคนี้แล้วรู้สึกว่าตัวเองใจบาปมาก เขินนน เขินมากค่ะ ฮือออออ ขอจรลีหายไปพักนึง แงงงงง //_\\

QZGS

[Secret QZGS] – like a Sunday morning (โจวเยี่ย)

[Secret ] AU – like a Sunday morning (โจวเจ๋อข่าย x เยี่ยซิว) (OOC แน่นอนค่ะ)

 

 

ผู้คนรอบข้างเหมือนเป็นภาพพร่าเบลอ

เด็กหนุ่มหอบหายใจ  เส้นผมสีเข้มชื้นเหงื่อคลอเคลียใบหน้า ความร้อนอบอ้าวทำให้เขาพลอยรู้สึกเหมือนจะตายให้ได้ เหงื่อไคลเปียกชุ่มเหนียวเหนอะหนะไปทั้งตัว เขาทิ้งตัวลงบนม้านั่ง ผู้คนแออัดที่รุมล้อมเขาเมื่อครู่ทำให้เขาผะอืดผะอมจนต้องหาทางปลีกตัวออกมา

เมื่อแน่ใจว่าไม่มีใครอยู่แถวนี้เด็กหนุ่มก็ถอดแว่นกันแดด หมวก และผ้าคลุมผืนหนาออกก่อนพ่นลมหายใจเหยียดยาว หลับตาเอนหลังพิงพนักบนม้านั่งอย่างเหนื่อยอ่อน เขายังรู้สึกรู้สึกวิงเวียนจากเหตุการณ์เมื่อครู่ไม่หาย เมื่อปลดเปลื้องสิ่งที่ใช้ปกปิดตัวตนออกไป ผิวกายได้ปะทะกับลมธรรมชาติ เขาจึงเริ่มรู้สึกดีขึ้นมานิดหน่อย

ได้ยินเสียงคนพูดขึ้นดังใกล้ๆ ตอนนั้นเขาฟังไม่ออกว่าคนคนนั้นพูดอะไร พอเห็นเขาไม่ตอบก็มีแรงมาสะกิดตรงหัวไหล่เบาๆ เขาไม่ทันได้หันไปก็ต้องสะดุ้งกับความเย็นเฉียบที่แนบแก้ม เด็กหนุ่มรับมาอย่างงุนงง

…น้ำอัดลม?

“เอ้า ดื่มสิ หน้าเหมือนจะตายแล้วนะนั่นน่ะ”

เสียงเรื่อยเฉื่อยดังขึ้นเมื่อเขาเอาแต่ถือกระป๋องน้ำอัดลมนิ่ง เด็กหนุ่มพยักหน้าอย่างว่าง่าย รสชาติซาบซ่านไหลลงสู่ลำคอ รู้สึกเหมือนฟื้นคืนชีพเข้ามาทันที

“ดูดีขึ้นแล้วนี่ ไหวใช่ไหม”

คนคนนั้นยื่นผ้าเย็นมาให้เขา เด็กหนุ่มรับมาอย่างไม่อิดออด หลังจากเช็ดหน้าเช็ดตาจนรู้สึกดีขึ้นมาจึงหันไปหวังจะขอบคุณอีกฝ่าย  แต่อีกคนก็ลุกออกไปแล้ว

“…!” เขาลุกขึ้นตามแต่ก็ชะงัก คำพูดติดอยู่ในลำคอ ได้มองตามแผ่นหลังที่เริ่มห่างออกไปเรื่อยๆ เด็กหนุ่มเลิ่กลั่กอยู่ที่เดิม แต่อีกฝ่ายกลับโบกมือลาเขาทั้งๆ ที่ไม่ได้หันกลับมามอง

โจวเจ๋อข่ายนิ่งนึก คนเมื่อครู่หน้าตาเป็นแบบไหนกันนะ ด้วยความมึนเบลอ เขาพบว่าตนเองลืมใบหน้าของใครคนนั้นไปหมดสิ้นแล้ว

สิ่งที่เด่นชัดที่สุดในความทรงจำ ก็มีแต่มือแสนงดงามที่หยิบยื่นความช่วยเหลือมาให้เขาเท่านั้นเอง…

 

———–

 

[01 : สวย]

 

“มือ? มือสวยเนี่ยนะ?” เจียงปัวเทามองใบหน้าหล่อเหลาของลูกพี่ลูกน้อง หวังว่าตนเองจะไม่ได้ฟังผิดไป

“สวยมาก” โจวเจ๋อข่ายพยักหน้ายืนยัน

“แต่ว่านายจำหน้าเขาไม่ได้?”

โจวเจ๋อข่ายพยักหน้าอีกที เจียงปัวเทาเกาหัว อธิบายให้ลูกพี่ลูกน้องของตนเข้าใจ “เจ๋อข่าย แค่มือน่ะมันบอกไม่ได้หรอกนะว่าคนคนนั้นเป็นใคร”

โจวเจ๋อข่ายนิ่งคิดสิบวินาที “อื้ม!”

“…”

“อะไรๆ เสี่ยวโจวปิ๊งผู้หญิงคนไหนรึ” ตู้หมิงพี่ชายบ้านใกล้เรือนเคียง เป็นเพื่อนเล่นกับสองพี่น้องมาตั้งแต่เด็กกล่าวด้วยท่าทางกระตือรือร้น

“พี่เจ๋อข่ายปิ๊งผู้หญิง!” อวี๋เนี่ยนตาโต ตื่นตกใจอย่างมากที่โจวเจ๋อข่ายมีความรู้สึกด้านรักๆ ใคร่ๆ ด้วย “ผู้หญิงคนนั้นต้องสวยมากแน่ๆ เลย”

โจวเจ๋อข่ายส่ายหน้า แต่สักพักก็พยักหน้าหนึ่งที ตู้หมิงกับอวี๋เนี่ยนมึนตึ้บ หันไปมองเครื่องแปลภาษาโดยอัตโนมัติ

“ไม่ได้ปิ๊งผู้หญิง แต่มือสวยน่ะเรื่องจริง” เจียงปัวเทาแจกแจงให้ทั้งสองเข้าใจง่ายๆ ตู้หมิงพยักหน้ารับ ก่อนจะนึกขึ้นได้

“เออใช่ ฉันได้ยินว่ามีร้านกาแฟเปิดใหม่อยู่ถนนข้างๆ พวกนายสนใจไหม” ปิดเทอมพวกเขาชอบมาสุมหัวกันอยู่บ้านโจวเจ๋อข่ายกันเป็นประจำ เหตุผลง่ายๆ เพราะอีกฝ่ายไม่มีปากมีเสียงอะไรนั่นเอง บางครั้งว่างๆ ก็จะชอบชวนกันออกไปหาอะไรกิน

“ร้านกาแฟ? ไม่ไหวมั้ง! ถ้าเจ๋อข่ายไปไม่โดนรุมเอาเรอะ”

ทุกคนในห้องพร้อมใจกันมองใบหน้าหล่อเหลาที่สามารถทำให้ผู้หญิงตั้งแต่ห้าขวบถึงห้าสิบหลงใหลคลั่งไคล้ได้อย่างง่ายดาย โจวเจ๋อข่ายนับว่าถูกผู้หญิงห้อมล้อมมาตั้งแต่เด็ก แถมเร็วๆ นี้ยังรับงานถ่ายแบบเล็กๆ น้อยๆ ด้วย ทำให้ชื่อของโจวเจ๋อข่ายเริ่มรู้จักกันในวงกว้างขึ้น บางทีก็ถูกสาวๆ รุมขอถ่ายรูปจนไปไหนไม่ได้ ยังดีที่ชีวิตในรั้วโรงเรียนไม่ได้รับผลกระทบมากนัก ส่วนหนึ่งเพราะทุกคนเห็นใบหน้าหล่อๆ จนมีภูมิต้านทาน อีกส่วนคือ พ่อเทพบุตรสุดหล่อนั้นมนุษยสัมพันธ์เข้าขั้นติดลบ!

ถ้ามองจากภายนอกนั้นไร้ที่ติก็จริง แต่ลองได้คุยเมื่อไหร่เป็นต้องปวดหัวไปตามๆ กัน คำพูดขาดๆ เกินๆ ของโจวเจ๋อข่ายทำให้คนอื่นไม่เข้าใจว่าเขาต้องการจะสื่ออะไรกันแน่ คนที่ฟังรู้เรื่องเห็นจะมีแต่ครอบครัวและลูกพี่ลูกน้องคนสนิทเท่านั้นกระมัง ขนาดพวกเขายังต้องไปขอให้เจียงปัวเทาช่วยแปลเลย ดังนั้นรอบตัวของโจวเจ๋อข่ายจึงเหมือนมีกำแพงชั้นหนึ่งกั้นระหว่างเขากับคนรอบข้างโดยอัตโนมัติ แม้สาวๆ ชื่นชอบเขาแค่ไหนก็ต้องเว้นระยะจากเขาสามส่วน ถ้าไม่ใช่เพราะแบบนี้เกรงว่าโจวเจ๋อข่ายอาจกลายเป็นคลาสโนวาไปแล้ว

ตู้หมิงเองก็เหมือนพึ่งตระหนักปัญหาข้อนี้ขึ้นมาได้ ลังเลเล็กน้อยแล้วบอก “น่าจะไม่เป็นไรมั้ง ได้ยินว่าร้านนั้นเป็นร้านเล็ก บรรยากาศดี แถมคนไม่เยอะด้วย”

หลังจากถกกันครู่หนึ่ง ทั้งสี่ก็ยังหาข้อสรุปไม่ได้ ต่างคนต่างแยกย้ายกลับบ้านไปก่อน

โจวเจ๋อข่ายถูกแม่ของเขาเรียกลงมาชั้นล่าง หากใครมาเห็นเข้าก็ย่อมไม่แปลกใจที่ใบหน้าของเด็กหนุ่มจะมีอนุภาพทำลายล้างขนาดนี้ เครื่องหน้าของทั้งคุณนายโจวถูกถ่ายทอดมาให้โจวเจ๋อข่ายอย่างลงตัว ดวงตาและปากของเขาเหมือนแม่ ส่วนโครงหน้าได้มาจากพ่อ พ่อของเขาไปทำงานอยู่ต่างเมือง ดังนั้นที่บ้านจึงมีแค่เขากับแม่ และลูกพี่ลูกน้องที่อาศัยอยู่บ้านข้างๆ คอยแวะเวียนมาอยู่เนืองๆ

“เจ๋อข่าย ออกไปซื้อของพวกนี้มาให้แม่หน่อยสิ”

โจวเจ๋อข่ายรับใบรายการจากมารดาของตน ของเหล่านี้ล้วนมีขายที่ซูปเปอร์มาร์เก็ตไม่ไกล เดินเท้าไปไม่นานก็ถึง

“ดูดีจังเลยเนอะ”

“เธอว่าเขาเป็นดาราหรือเปล่า” เสียงซุบซิบดังขึ้นจากรอบข้าง พอโจวเจ๋อข่ายหันไปมอง เด็กสาวกลุ่มนั้นก็พากันหน้าแดง

“ขอถ่ายรูปหน่อยได้ไหมคะ!” เด็กสาวใจกล้าคนหนึ่งโผล่มาเบื้องหน้าเขา ถือโทรศัพท์มือถือเอาไว้ โจวเจ๋อข่ายพยักหน้า กลุ่มเด็กสาวหวีดร้อง พากันมารุมล้อมถ่ายรูปเขา

ผ่านไปนานพอควร โจวเจ๋อข่ายเหลือบมองนาฬิกาข้อมือ เห็นกลุ่มสาวๆ อีกกลุ่มหนึ่งอยู่ที่หางตาทำท่าจะมาขอถ่ายรูปอีกก็เหงื่อตก รีบปลีกตัวหนีออกมา อากาศตอนบ่ายร้อนจนน่าเวียนหัว เขาข้ามมายังถนนเส้นข้างๆ มองซ้ายมองขวา ไม่รู้จะไปทางไหนดี

“ทางนี้”

ระหว่างที่เขากำลังหันซ้ายขวาเลิ่กลั่ก ไม่รู้จะหนีไปที่ใดก็มีชายคนหนึ่งเปิดประตูออกมา เสียงกรุ๊งกริ๊งแว่วมาจากกระดิ่งที่แขวนเหนือประตู โจวเจ๋อข่ายนิ่งไปสามวินาที ก่อนตามชายคนนั้นเข้าไปด้านใน

ลมเย็นของเครื่องปรับอากาศทำให้ร่างกายสดชื่น จมูกได้กลิ่นหอมกรุ่นของกาแฟ  โจวเจ๋อข่ายมองไปรอบๆ ร้าน ภายในตกแต่งด้วยสีน้ำตาลของไม้และสีเขียวจากต้นไม้เป็นส่วนใหญ่ พื้นถูกปูด้วยไม้ปาเก้ขนาดไม่กว้างมาก ลูกค้าจำนวนไม่น้อยต่างกระจายไปนั่งตามมุมต่างๆ บางคนก็อ่านหนังสือไปจิบกาแฟไป บางคนก็มีแลปท็อปประจำตัวติดมาด้วย นั่งพิมพ์บางอย่างแข็งขัน

“รับอะไรดี” ชายคนนั้นเดินไปหลังเคาท์เตอร์ ชะโงกหน้าออกมาถามเขา เสียงมีจังหวะโคนเนิบนาบเป็นเอกลักษณ์เช่นนี้ โจวเจ๋อข่ายรู้สึกเหมือนเคยได้ยินจากที่ไหนมาก่อน เขายืนนิ่งอยู่กับที่ เด็กหนุ่มไม่เคยเข้าร้านแบบนี้ ครู่หนึ่งถึงกับไม่รู้จะพูดอะไรดี

ราวกับคนตรงหน้าทราบความคิดของเขา “คุณดูอายุยังน้อยอยู่ รับเป็นลาเต้สักแก้วดีไหม”

พอเห็นรอยยิ้มบางเบาคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มของคนตรงหน้าแล้ว โจวเจ๋อข่ายก็จำไม่ได้ว่าตนตอบอะไรออกไป  รู้เพียงมันทำให้รอยยิ้มนั้นกว้างกว่าเดิม ชายคนนั้นก้มหน้า มือเรียวขาวสะอาดตาจัดการสิ่งต่างๆ อย่างเชื่องช้าแต่ดูคล่องแคล่ว โจวเจ๋อข่ายมองเหม่อ ครู่เดียวแก้วกาแฟก็ถูกวางบนหน้าเคาท์เตอร์

“อยากได้ขนมทานด้วยหรือเปล่า” ชายคนนั้นถามด้วยน้ำเสียงสบายๆ ราวกับมีมนต์ล่อลวง โจวเจ๋อข่ายเผลอพยักหน้า สายตาตามติดมือคู่สวยไปยังตู้ขนมหลากชนิด “คุณ…” ชายหนุ่มดูลังเลเล็กน้อย แต่ก็พูดต่อยิ้มๆ “ให้ฉันเลือกให้ไหม”

“…อือ”

ขนมเค้กหน้าตาน่าทานถูกวางลงบนเคาท์เตอร์ข้างๆ แก้วกาแฟ เด็กหนุ่มจับจ้องไปยังมือเรียวอีกครั้ง ความรู้สึกคลับคล้ายคลับคลาผุดขึ้นมาในหัว

“เอ่อ…?” ชายด้านหน้าส่งเสียงขึ้นมาเบาๆ โจวเจ๋อข่ายจึงหลุดออกจากภวังค์ เหลือบมองป้ายชื่อสีดำตรงหน้าอกของอีกฝ่าย

เยี่ยซิว…โจวเจ๋อข่ายสลักชื่อนี้ไว้ในความทรงจำแล้ว

“เดี๋ยวก่อน” ขณะที่โจวเจ๋อข่ายกำลังจะเดินออกจากร้าน เยี่ยซิวพลันส่งเสียงขึ้นมาอีกครั้ง เด็กหนุ่มรีบหันกลับไป ดวงตาเป็นประกายคล้ายรอคอย

“คุณลืมจ่ายเงินน่ะ”

“…”

รอจนโจวเจ๋อข่ายเดินใจลอยกลับมาถึงบ้าน ถึงตระหนักได้ว่าตนลืมอะไรบางอย่าง

…เขาลืมของที่แม่ฝากซื้อไปเสียสนิท

 

———–

 

[02 : น่ารัก]

 

รุ่งขึ้นโจวเจ๋อข่ายก็โผล่หน้ามาที่ร้านกาแฟซิงซิน เยี่ยซิวกล่าวต้อนรับทั้งๆ ที่ก้มหน้าพร้อมคาบบุหรี่ไว้ในปาก เสียงที่เปล่งออกมาจึงฟังแปร่งหู เมื่อวานเขาไม่ทันได้สังเกต วันนี้จึงได้เห็นพนักงานหญิงสองคนนอกเหนือจากเยี่ยซิว รวมทั้งผู้คนที่บางตาลง อาจจะเพราะยังเป็นเวลาเช้าอยู่

โจวเจ๋อข่ายตรงไปหน้าเคาท์เตอร์ที่มีชายหนุ่มร่างโปร่งยืนอยู่ด้านหลัง อ้าปากจะพูดบางอย่างแต่ก็เปลี่ยนใจยืนมองเงียบๆ รอจนเยี่ยซิวเป็นคนสังเกตเอง ชายหนุ่มสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อเงยหน้าขึ้นมาเจอเขาแต่แล้วก็ส่งยิ้มการค้าให้

“รับอะไรดีครับ”

“เมื่อวาน…”

เยี่ยซิวเงียบรอฟัง แต่จบแค่นั้น ไม่มีต่อแล้ว

บาริสต้าหนุ่มเลิกคิ้วขึ้น เลือกที่จะถามเพื่อความแน่ใจ “เอ่อ เอาแบบเมื่อวาน?”

“อื้อ”

เยี่ยซิวท่อง ลูกค้าคือพระเจ้า สามจบในใจก็ยิ้มบางให้ไอ้หนูที่ยืนหน้ามึนๆ อยู่ตรงข้ามพลางบอกให้ไปนั่งรอที่โต๊ะก่อน

โจวเจ๋อข่ายเดินไปนั่งอย่างไม่อิดออด เด็กหนุ่มเลือกมุมที่เห็นอีกฝ่ายชัดเจนที่สุด ครู่เดียวเยี่ยซิวก็นำกาแฟร้อนมาเสิร์ฟให้ที่โต๊ะ แม้จะมีพนักงานอีกสองคน แต่เยี่ยซิวก็เลือกนำมาเสิร์ฟให้เด็กหนุ่มด้วยตนเอง

โจวเจ๋อข่ายลอบมองคนที่กำลังก้มตัวลง เยี่ยซิวอยู่ในเชิ้ตสีขาวหลวมๆ สวมกางเกงขายาวสีดำทำให้รูปร่างดูสูงโปร่ง สะโพกสอบถูกปิดบังภายใต้ผ้ากันเปื้อน มือขาวดั่งหยกค่อยๆ บรรจงวางแก้วเซรามิกลงเบื้องหน้าเขา

“นี่…” โจวเจ๋อข่ายชี้ขนมปังที่เขาไม่ได้สั่งอย่างงุนงง  การกระทำนั้นเรียกเสียงหัวเราะจากคนอายุมากกว่าเบาๆ

“เด็กกินเยอะๆ จะได้โตไวๆ”

ความใกล้ชิดที่เกิดขึ้นโดยบังเอิญทำให้โจวเจ๋อข่ายได้กลิ่นขมเฝื่อนเจือจางผสานกับกลิ่นหอมของกาแฟโชยออกมาจากเรือนร่างของเยี่ยซิว เด็กหนุ่มเผลอสูดหายใจเข้าลึก ความหอมฟุ้งกระจายเต็มปอด เมื่อร่างของอีกคนผละจาก โจวเจ๋อข่ายถึงกับบังเกิดความรู้สึกเสียดายเล็กๆ ขึ้นมา

เด็กหนุ่มยกมือลูบแผ่นอกที่สั่นไหวเมื่อครู่อย่างไม่ใคร่เข้าใจนัก

หลังจากวันนั้นโจวเจ๋อข่ายก็มาเยือนที่ซิงซินทุกวัน

ลูกค้าทยอยเข้ามาอย่างไม่ขาดสาย ช่วงเที่ยงถึงบ่ายเป็นเวลาที่ลูกค้าหนาแน่นที่สุด เยี่ยซิวยุ่งจนมือเป็นระวิง ต้องอยู่ประจำที่หลังเคาท์เตอร์ตลอด ถึงบาริสต้าหนุ่มจะทำช้าแต่ก็มีลูกค้าหลายคนยินดีรอ โจวเจ๋อข่ายคิดว่าร้านเปิดใหม่คงมีคนไม่เยอะ แต่พอนึกถึงรสชาติที่เขาได้ดื่มลงไปก็เข้าใจ

ความหอมหวานนุ่มละมุนอย่างลงตัว รับรู้ถึงรสชาติขมเฝื่อนที่ปลายลิ้น ชวนให้อยากลิ้มลองซ้ำแล้วซ้ำอีก

เมื่อผ่านช่วงวุ่นวายไปแล้วเยี่ยซิวก็ใช้แขนเสื้อเช็ดเหงื่อลวกๆ เห็นไอ้หนูคนเมื่อเช้าที่นั่งจุ้มปุ๊กอยู่กับที่ตั้งแต่เช้าจรดเย็นเสมือนมีใครเอากาวมาทาไว้ทุกวันๆ เอาแต่มองเขาเหมือนมีอะไรติดอยู่บนหน้า

“หิวหรือ?” น้ำเสียงมีความหยอกล้อปนอยู่สามส่วน เด็กหนุ่มชะงัก

“…อือ”

โจวเจ๋อข่ายจับจ้องริมฝีปากสีเรื่อ นึกสงสัยว่ารสชาติจะเป็นเช่นไรกันนะ…

“อ้อ…” ชายหนุ่มลากเสียงยาว ดวงตาดำขลับพราวระยับขึ้น “กินไหม”

โจวเจ๋อข่ายพยักหน้าอย่างไม่ต้องคิด ได้ยินเสียงหัวเราะแผ่วจางเสมือนรู้ทันของอีกฝ่ายก็รู้สึกร้อนที่ใบหน้า เยี่ยซิวหมุนตัวหยิบเค้กนมสดออกมาจากตู้ชิ้นหนึ่งยื่นให้เขา โจวเจ๋อข่ายยื่นมือออกไปรับโดยอัตโนมัติ

“หิวก็กินสิ เอาแต่มองหน้าเกออยู่นั่น เกอกินไม่ได้หรอกนะ” เยี่ยซิวยืนเอนตัวพิงเคาท์เตอร์ด้วยท่วงท่าสบายๆ มือขาวสะอาดตาควักบุหรี่ขึ้นมาสูบ ปกติเขามักจะไม่สูบเวลาทำงานเท่าไหร่ ยกเว้นช่วงเช้าที่ลูกค้าน้อย และหลังจากช่วงเย็นที่ลูกค้าทยอยกลับเกือบหมดแล้วเพราะต้องการผ่อนคลาย

“..น่ากิน”

“แค่กๆๆ” เยี่ยซิวสำลักควันบุหรี่ จากนั้นก็ทำหน้ากระอักกระอ่วน “…หมายถึงเค้ก?”

โจวเจ๋อข่ายจ้องหน้าอีกฝ่าย นิ่งไปสิบวินาทีก่อนจะตอบ “อืม”

เยี่ยซิวรู้สึกหัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้ ทำไมนับวันเขายิ่งไม่เข้าใจเด็กสมัยนี้มากขึ้นทุกที

 

———–

 

สามหน่อล้อมวงผู้ที่รูปหล่อที่สุดในกลุ่มหน้าเคร่ง เหมือนรอฟังคำตัดสินจากศาล เด็กหนุ่มที่อยู่ตรงกลางวงมีใบหน้าเรียบเฉย แต่ถ้ามองดีๆ จะเห็นแววเขินอายประหนึ่งหนุ่มน้อยหัดรัก

“เจอแล้ว”

“เจอ? ใคร?” ทุกคนต่างมึนงงกับคำพูดไม่มีหัวมีท้ายของโจวเจ๋อข่ายเป็นอย่างมาก

โจวเจ๋อข่ายเว้นจังหวะไปครู่หนึ่ง “มือสวย”

“อ๋อ! คนที่ช่วยเจ๋อข่าย แล้วเจ๋อข่ายบอกว่ามือสวยคนนั้นใช่ไหม” สมกับเป็นเครื่องแปลงภาษาประจำกลุ่ม เจียงปัวเทายังคงเป็นคนเดียวที่เข้าใจโจวเจ๋อข่ายเร็วที่สุด

“อ๋า คนที่พี่เจ๋อข่ายปิ๊งนี่เอง!” อวี๋เนี่ยนน้องเล็กเองก็นึกออกแล้ว

“แล้วเป็นไงบ้าง สวยไหมๆ” ทุกคนรุมล้อมรอบโจวเจ๋อข่ายอย่างตื่นเต้น

เด็กหนุ่มส่ายหน้า ได้ยินเสียงคนรอบข้างถอนใจอย่างเสียดาย โจวเจ๋อข่ายนิ่งคิดอีกนิด ก่อนกล่าวสริม “น่ารัก”

“น่ารัก?” เจียงปัวเทาเลิกคิ้ว

“อืม น่ารัก” ใบหน้าหล่อเหลาคมคายของเด็กหนุ่มมีรอยแดงพาดผ่านจางๆ

“เจอที่ไหนล่ะ” ตู้หมิงยื่นหน้าเข้ามาถาม โจวเจ๋อข่ายเอียงคอนิ่งคิดอีกครู ก่อนจะตอบ

“ร้านกาแฟ”

“ไม่มั้ง บังเอิญขนาดนั้นเลยเหรอ” เจียงปัวเทาผู้เข้าใจความหมายเพียงคนเดียวเอ่ยอย่างพิศวง จากนั้นก็ค่อยๆ แปลให้เพื่อนทั้งสองฟัง

“แบบนี้ต้องเป็นพรหมลิขิตแน่นอน!” ตู้หมิงกำหมัดแน่น “น้องชาย ถ้าต้องการความช่วยเหลือบอกพี่ได้เลยนะ!”

คนที่เหลือต่างมองตู้หมิงด้วยสายตาหยามเหยียด แค่ตัวเองยังเอาไม่รอด จะมีปัญญาไปช่วยคนอื่น?

ตู้หมิงเผชิญกับสายตาทิ่มแทงก็ร้อนตัว ตบไหล่โจวเจ๋อข่ายพร้อมโอ้อวดไปด้วย “อย่าดูถูกฉันไปสิ เรื่องจีบสาวทำนองนี้ฉันก็รู้บ้างล่ะน่า”

“งั้นต้องทำยังไง ไหนพี่ลองบอกสิ!” อวี๋เนี่ยนส่งเสียงขึ้นจมูก

“ฮึ่ม ฟังนะเจ๋อข่าย…”

และแล้วคืนนั้นห้องของโจวเจ๋อข่ายก็เปิดไฟสว่างจ้าพร้อมทั้งมีเสียงพูดคุยลอดออกมาเบาๆ ตลอดทั้งคืน

 

———–

 

[03 : ใจดี]

 

โจวเจ๋อข่ายมาเยือนร้านซิงซินอีกครั้งแต่เช้าตรู่ตามคำยุแยงของตู้หมิง แต่พอมาถึงกลับยืนคอตกอยู่หน้าร้าน

…ร้านยังไม่เปิด

วันนี้โจวเจ๋อข่ายคงรีบร้อนไปหน่อย มารอตั้งแต่หกโมงเช้า ถนนดูเงียบสงบ รถราก็ยังไม่วิ่งกันเสียเท่าไหร่ โจวเจ๋อข่ายยืนรอ แสงแดดอ่อนๆ เริ่มทวีความร้อนขึ้น แต่เขาก็ยังอดทนรอ เพียงเพราะอยากเจอ

…อยากเจอเยี่ยซิว…

เยี่ยซิวเปิดประตูออกมาจากคนเหงื่อท่วมอยู่หน้าร้านก็เบิกตากว้าง ไม่รู้เจ้าหนูนี่มายืนนานแค่ไหนแล้ว เยี่ยซิวแสนจะอ่อนใจ กวักมือเรียกเด็กหนุ่มที่ยืนใช้สายตาเศร้าซึมมองเขาให้เข้ามาด้านในเร็วๆ

เห็นเยี่ยซิวยุ่งกับการเตรียมของ โจวเจ๋อข่ายก็ไม่กล้ากวน ได้แต่นั่งรออย่างว่าง่าย

“เอ้า” ชายหนุ่มวางแก้วน้ำเปล่าลงบนโต๊ะ โจวเจ๋อข่ายรีบคว้ามาเพื่อดับกระหาย ดวงตาหลุบลง เอ่ยเบาๆ

“…ขอบคุณ”

“ไม่เป็นไร แค่น้ำเปล่าเกอไม่คิดเงินหรอก”

โจวเจ๋อข่ายส่ายหน้า แล้วบอกออกไป “ที่ช่วยวันนั้น”

“อ้อ ตอนนั้นเองหรือ…” ชายหนุ่มนิ่งนึก จะว่าไปก็เคยเหตุการณ์แบบนั้นขึ้นจริงๆ

“โจวเจ๋อข่าย” เด็กหนุ่มบอกชื่อของตน

“เยี่ยซิว” อีกฝ่ายตอบกลับมาด้วยเสียงเรียบเรื่อยน่าฟัง แม้โจวเจ๋อข่ายจะรู้อยู่แล้ว แต่ก็ไม่ได้รังเกียจรังงอนที่จะได้ยินจากปากอีกฝ่ายด้วยตัวเอง

“เยี่ยซิว” เขาทวนซ้ำอีกครั้ง ยื่นมาไปกุมมือเรียวสวยเปล่งประกาย “ชอบ”

“เอ่อ ขอบใจนะ” เยี่ยซิวหัวเราะแห้งแล้ง ดึงมือให้หลุดจากการเกาะกุมอย่างแนบเนียน “เกอไปทำงานก่อนล่ะ”

ช่วงบ่ายลูกค้ายังเยอะเช่นเคย โจวเจ๋อข่ายเห็นเยี่ยซิวยุ่งจนหัวหมุนก็ลุกไปหา ใช้สายตาใสๆ เหมือนลูกหมาอ้อนขออาหารมองเยี่ยซิว

เยี่ยซิวทนการโจมตีแบบนี้ไม่ได้จริงๆ จำต้องหันมาถาม “มีอะไรหรือ”

“อยากช่วย”

“หืม เอาสิ!” แล้วเยี่ยซิวก็จัดให้โจวเจ๋อข่ายได้ช่วยสมใจ

….

โจวเจ๋อข่ายเวลานี้ถูกหญิงสาววัยทำงานล้อมหน้าล้อมหลังกรี๊ดกร๊าด ประเดี๋ยวถูกเรียกไปทางนั้น ประเดี๋ยวกลับมารับออร์เดอร์ทางนี้ เยอะแยะจนเขาเริ่มตาลาย ได้แต่ส่งสายตาขอความช่วยเหลือไปให้คนด้านหลังเคาท์เตอร์ที่ยืนชงกาแฟไม่รู้ไม่ชี้

เฉินกั่วยืนมองเหตุการณ์ดังกล่าวอย่างเอือมระอา ขนาดหนุ่มน้อยไร้เดียงสาไอ้หมอนี่ยังไม่วายไปแกล้งเข้า น่าเหยียดหยามจริงๆ

ทีแรกที่เธอเปิดร้านกาแฟก็แค่ทำตามความฝันของบิดาเท่านั้น เริ่มต้นเธอก็ขายได้ไม่ดีเท่าไหร่ เฉินกั่วมีทุนพอจ้างพนักงานแค่สองคน หนึ่งในนั้นคือถังโหรวเพื่อนสนิทของเธอ จนวันหนึ่งเยี่ยซิวก็มาปรากฏตัวหน้าร้าน สภาพเหมือนคนหนีออกจากบ้าน มือหนึ่งหอบกระเป๋าเดินทางใบโต ท่าทางเอื่อยเฉื่อยบอกอย่างยียวนว่า ถ้าไม่อยากให้ร้านเจ๊งก็รับเขาไว้ซะ โอเค น้ำเสียงของหมอนั่นไม่ได้กวนอะไรหรอก แต่คำพูดคำจาฟังแล้วชวนมีน้ำโหมาก เฉินกั่วเกือบไล่ตะเพิดออกไปแล้ว ติดที่เสี่ยวถังบอกให้เขาลองดูก่อนไม่เสียหาย ตนถึงให้หมอนี่เข้ามา ตั้งใจว่าถ้ารสชาติห่วยแตกจะจับโยนออกไปนอกร้านซะ

แต่เธอก็ไม่ได้ทำ

ไม่ใช่เพราะเฉินกั่วเป็นคนดีมีเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์อะไรขนาดนั้น แต่เพราะหมอนี่ชงกาแฟอร่อยมาก

พอเยี่ยซิวลงมือชงกาแฟ รอบตัวก็ดูเงียบสงบชวนสบายใจ แถมยังสามารถดึงรสชาติเข้มข้นและกลิ่นหอมของกาแฟออกมาได้ดีเป็นอย่างมาก สุดท้ายเธอจึงตกลงใจจ้างเยี่ยซิวเอาไว้ ข้อตกลงมีเพียงที่อยู่อาศัยกับเงินจำนวนหนึ่งเท่านั้น เธอให้เยี่ยซิวพักอยู่ที่ชั้นสองของร้าน ส่วนเธอกับเสี่ยวถังพักอยู่ที่บ้านไม่ไกลจากร้านนัก พวกนี้นับว่าไม่มากเลยเมื่อเทียบกับความสามารถของอีกฝ่าย เฉินกั่วแอบสงสัยว่าบางทีเยี่ยซิวน่าจะไปสมัครงานร้านดีๆ กว่านี้ได้ แต่เลือกที่จะไม่ทำ

อะไรก็ช่างเถอะ เอาเป็นว่าเยี่ยซิวอยู่ที่ซิงซินแล้วดีมาก ปกติเฉินกั่วจะมีลูกค้าประจำคอยแวะเวียนมาบ้างก็จริง แต่ก็ไม่ได้เยอะจนล้นร้านแบบตอนนี้ เธอจึงทำใจให้ร่มๆ พยายามฟังหมอนั่นแบบหูซ้ายทะลุหูขวา

แถมเร็วๆ นี้ยังมีหนุ่มน้อยสุดหล่อมาติดบ่วงมารเข้าอีก

ทำไมเธอจะไม่รู้ ก็พ่อรูปหล่อนี่เล่นเทียวไปเทียวมา อยู่เช้าจรดเย็นได้ทุกวันไม่มีเบื่อ ขนาดเธอไม่ได้มาเฝ้าร้านทุกวันยังเจอทุกครั้งที่มาเลย ทีแรกเธอก็คิดว่าแอบมาปิ๊งพนักงานสาวคนไหนในร้านบ้างหรือเปล่า แต่ปรากฏว่าอีกฝ่ายดันมาปิ๊งบาริสต้าหนุ่มของเธอเข้าซะงั้น

เยี่ยซิวก็เหลือเกิน เธอรู้นะว่าหมอนี่น่ะรู้ตัวแต่ทำเมิน แต่เธอจะไปว่าอะไรได้ ขนาดเธอที่เป็นเจ้าของร้านหมอนี่ยังไม่เห็นหัวตนเท่าไหร่เลย!

“เหนื่อยหน่อยนะ!”

ตอนเลิกงานเยี่ยซิวเดินมาตบบ่าโจวเจ๋อข่ายแล้วพูดเช่นนี้ คนอื่นกลับกันหมดแล้ว เหลือแค่เยี่ยซิวที่อาศัยที่นี่อยู่แล้ว กับหมาตัวโตที่ตามติดไม่ห่าง เยี่ยซิวเดินไปอุ่นนมร้อน แล้วยื่นให้เด็กหนุ่มพร้อมรอยยิ้มที่เฉินกั่วมาเห็นจะต้องกรีดร้องว่าหน้าไม่อาย!

โจวเจ๋อข่ายส่ายหน้า เยี่ยซิวเลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจ “ไม่เหนื่อยหรือ”

โจวเจ๋อข่ายส่ายหน้าเป็นคำตอบอีกครั้ง

“ทำไมล่ะ” เยี่ยซิวแปลกใจจนต่อซักไซ้ต่อ

“เพราะคุณ”

คำพูดสั้นๆ แต่มีอนุภาพร้ายแรงทำเอาเยี่ยซิวรู้สึกเหมือนเลือดลมไหลมากองรวมกันที่ใบหน้า เขากระแอมเล็กน้อย กระนั้นก็ยังพูดจาสัพยอกเด็กหนุ่มได้

“เสี่ยวโจวปากหวานจริงๆ มิน่าสาวๆ ถึงติดตรึม”

“เปล่า” โจวเจ๋อข่ายปฏิเสธ ดวงตาเป็นประกายล้อมรอบด้วยแพขนตายาวสบเข้ากับดวงตาเฉยฉาของอีกฝ่าย แต่เขามองเห็นแววสั่นไหวลึกๆ ในนั้น “พูดจริงๆ”

“…เกอว่านายไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเถอะ นี่ก็เย็นแล้ว เดี๋ยวทีบ้านจะเป็นห่วงนะ” เยี่ยซิวหันกลับไปเพื่อที่จะเก็บของ แต่ก็ถูกดึงรั้งเอาไว้ด้วยแรงที่ไม่เบาจนเซถลา โจวเจ๋อข่ายใช้มือโอบประคองร่างโปร่งบางเอาไว้

แล้วประทับลงไปบนกลีบปากอ่อนนุ่มของเยี่ยซิว

โจวเจ๋อข่ายไม่ได้รุกล้ำไปมากกว่านั้น จูบถูกแตะลงบนริมฝีปากอย่างผิวเผิน แผ่วเบาเหมือนปีกแมลงปอแตะกระทบลงบนผิวน้ำ ระลอกคลื่นเล็กพลันกระเพื่อมไหว

….จูบที่พาให้หัวใจสั่นไปทั้งดวง….

 

———–

 

[04 : มีเสน่ห์]

 

เยี่ยซิวคิดว่าตนเองตาฝาดไป

เบื้องหน้าของเขามีเด็กหนุ่มนั่งอยู่ ใบหน้าหล่อเหลามีเสน่ห์เสียจนเยี่ยซิวเผลอคิดไปวูบหนึ่งว่านั่นไม่ใช่มนุษย์

โครงหน้าสมบูรณ์แบบราวรูปปั้นกรีก เป็นใบหน้าที่พระเจ้าตั้งใจสรรค์สร้างอย่างไม่ต้องสงสัย

ดูเหมือนกำลังอ่อนเพลีย…เยี่ยซิวคิดพลางหันหลังกลับไปในร้านสะดวกซื้ออีกครั้ง หยิบน้ำอัดลมและผ้าเย็นติดมือกลับมาด้วย

“ไหวหรือเปล่า” เขาเข้าไปถามเด็กหนุ่มคนนั้น แต่ไม่มีเสียงตอบรับกลับมาจึงตัดสินใจลองสะกิดดูอีกที อีกฝ่ายขยับตัวยุกยิก ดวงตาภายใต้กรอบขนตายาวดูเลื่อนลอย

“เฮ้” เยี่ยซิวนำกระป๋องน้ำไปแนบที่ข้างแก้ม  ได้ผล อีกฝ่ายดูมีสติขึ้นมา รับน้ำอัดลมจากมือเขาไป เมื่อแน่ใจว่าไม่เป็นไรแล้ว เยี่ยซิวจึงจากไปอย่างหมดห่วง

ไม่นึกว่าการพานพบครานั้นจะกลายเป็นโชคชะตา ชักนำให้คนทั้งคู่มาเจอกันอีกครั้งอย่างคาดไม่ถึง

 

โจวเจ๋อข่ายได้แต่นั่งหงอยเหงามองแผ่นหลังของเยี่ยซิว วันนี้เยี่ยซิวยังไม่ยอมพูดคุยกับเขาแม้แต่ครึ่งคำ ท่าทางนั้นเรียกสายตาเห็นใจจากสองสาวเป็นอย่างมาก

“นายไปรังแกอะไรเขาล่ะ” เป็นเฉินกั่วที่ถามขึ้นมาก่อน

“ฉันน่ะหรือ รังแกเขา” เยี่ยซิวตอบเสียงเอื่อยเฉื่อย ถ้อยคำนั้นเรียกสายตาไม่เชื่อถือจากสองสาว แต่ก็ไม่มีใครไปซักไซ้อะไรอีก

“ปิดร้านดีๆ ล่ะ” เฉินกั่วกำชับ

“คร้าบๆ เจ้านาย”

เยี่ยซิวเช็ดโต๊ะที่มีรอยหยดน้ำเปียกเลอะเทอะ พลันรู้สึกถึงแรงดึงจากด้านหลัง

“…”

โจวเจ๋อข่ายอึกอัก  “เยี่ยซิว โกรธ?”

“เปล่า ไม่ได้โกรธ” เยี่ยซิวถอนหายใจ

ถ้อยคำนั้นเรียกรอยยิ้มแต่งแต้มลงบนใบหน้าหล่อเหลา โจวเจ๋อข่ายตาเป็นประกายดีใจ “อื้อ”

“เสี่ยวโจว ชอบฉันหรือ” เยี่ยซิวเลิกอ้อมค้อม ถามตรงๆ โจวเจ๋อข่ายนิ่งไปเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้า

ตอนที่พบกับเยี่ยซิว เหมือนโลกสว่างไสวขึ้นมาทันตา สีสันต่างๆ พลันเปลี่ยนแปร

โจวเจ๋อข่ายไม่รู้ว่าความรู้สึกรักชอบเป็นอย่างไร แต่ถ้าเป็นอย่างที่เขาเป็นอยู่

…เช่นนั้นเขาคงตกหลุมรักเยี่ยซิว…

“ชอบ”

ความจริงใจตรงไปตรงมาของโจวเจ๋อข่ายทำให้สีเลือดฝาดแต่งแต้มลงบนใบหน้าของเยี่ยซิว งดงามพาให้หัวใจเต้นรัว โจวเจ๋อข่ายเหมือนถูกสะกด ค่อยๆ เลื่อนใบหน้าเข้าใกล้เยี่ยซิว ความอุ่นนุ่มทาบทับลงไปอีกครั้ง

ใช้วงแขนวาดโอบเอวบางของอีกคนเอาไว้ บรรจงประทับจูบอย่างลึกล้ำ กลิ่นขมๆ ของควันบุหรี่ปะปนกับกลิ่นกาแฟที่ปลายลิ้น เด็กหนุ่มรุกไล่คนอายุมากกว่าอย่างเก้ๆ กังๆ มือสอดเข้าไปในเส้นไหมสีดำลื่น ประคองศีรษะของอีกฝ่ายให้แหงนหน้ารับจูบของเขา ไร้เทคนิคหรือชั้นเชิงใดๆ มีเพียงความรู้สึกเปี่ยมล้นที่ถูกส่งผ่านไปยังอีกฝ่ายเท่านั้น ส่งมามากเสียจนเยี่ยซิวหายใจไม่ออก

“พอ..พอแล้ว” เยี่ยซิวใช้จังหวะที่ริมฝีปากผละออกจากกันใช้มือปิดปากอีกฝ่ายเพื่อหยุดการกระทำ โจวเจ๋อข่ายบรรจงจุมพิตบนมือเรียวสวยแผ่วเบา มองสบคนตรงหน้าอย่างลึกซึ้ง

“ชอบ”

“รู้แล้ว รู้แล้ว” เยี่ยซิวเบือนหน้าหนีอีกฝ่ายอย่างไม่เป็นธรรมชาติ “เด็กสมัยนี่โตไวกันจริง” เยี่ยซิวบ่นงึมงำ

“เยี่ยซิว?”

“เสี่ยวโจวอายุเท่าไหร่แล้ว”

โจวเจ๋อข่ายเอียงคอ แม้ไม่เข้าใจว่าเยี่ยซิวถามทำไมแต่ก็ตอบไปตามตรง “สิบเจ็ด”

“สิบเจ็ดหรือ เด็กจริงๆ นั่นแหละ” เยี่ยซิวควักบุหรี่ขึ้นมาสูบ สายตาทอดยาวออกไปไกล ครู่หนึ่งถึงหันกลับมาสบตาเขาด้วยท่าทีจริงจัง “รู้ใช่ไหมว่าเกอเป็นผู้ชาย”

“รู้”

“แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังชอบ?”

“อืม”

“ทำไมถึงชอบเกอล่ะ” เรื่องนี้เยี่ยซิวขบคิดเท่าไหร่ก็ไม่เข้าใจจริงๆ

โจวเจ๋อข่ายนิ่งคิดไปครู่หนึ่ง “ใจดี”

“ใครใจดีกับนาย นายก็ชอบเขาหมดเลยหรือไง” เยี่ยซิวรู้สึกปวดขมับ

“ไม่ แค่กับเยี่ยซิว”

อยู่ใกล้เยี่ยซิวแล้วทำให้รู้สึกสบายใจ ในอกอบอุ่นเหมือนแสงอาทิตย์ยามเช้า เขาชอบ ชอบทั้งหมดที่เป็นเยี่ยซิว กลิ่นบุหรี่เขาก็ชอบ กลิ่นกาแฟเขาก็ชอบ ไม่โกนหนวดเขาก็ชอบ ไม่อาบน้ำเขาก็ยังชอบ

เยี่ยซิวที่เป็นแบบไหนก็น่ารักทั้งนั้น เยี่ยซิวที่เป็นแบบไหนเขาก็ชอบทั้งนั้น

…ความรู้สึกที่เต็มล้นนี้เช่นนี้ เขาจะสื่อออกไปอย่างไรดี..

โจวเจ๋อข่ายไม่สันทัดการปฏิสัมพันธ์กับผู้คน แต่กับเยี่ยซิว เขาอยากลองพยายามดูสักครั้ง

“เยี่ย…”

“พอ ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว ความรู้สึกของนายเกอรับรู้มามากพอแล้ว” เยี่ยซิวเอ่ยขัดขึ้นก่อนที่อีกคนจะพูดจบ โจวเจ๋อข่ายหน้าเสีย ดูเหมือนหมาตัวโตๆ กำลังหงอยไม่มีผิด

เยี่ยซิวเก็บของเสร็จแล้ว โจวเจ๋อข่ายยังคงยืนไม่พูดไม่จาอยู่ข้างหลัง แต่ส่งสายตาน่าสงสารมาให้รัวๆ

“เกอจะปิดร้านแล้ว กลับไปสิ”

โจวเจ๋อข่ายพยักหน้าเดินออกไปอย่างเชื่องช้า ใบหน้าหล่อเหลาเศร้าซึมไปถนัดตา

“เยี่ยซิว…” ร้องเรียกอีกที เผื่อว่าชายหนุ่มตรงหน้าจะใจอ่อน

“เฮ้อ” เยี่ยซิวถอนหายใจ จากนั้นจึงพูดรัวแบบไม่เว้นจังหวะหายใจ “เอาไว้สิบแปดก่อนค่อยว่ากัน ดึกแล้ว กลับไปได้แล้ว”

เยี่ยซิวทิ้งไว้แค่ประโยคนี้ จากนั้นก็ปิดประตูดังปัง ทิ้งให้โจวเจ๋อข่ายยืนอึ้งอยู่ด้านนอกเพียงลำพัง

….

เยี่ยซิวรีบปิดประตูเข้ามาด้านใน ใช้มือลูบหน้าของตน ร่องรอยสีแดงพาดผ่านอยู่บนใบหู ร่างกายเอนไถลกับประตูจนลงมานั่งที่พื้น

“เจ้าเด็กโง่” เยี่ยซิวบ่นงึมงำอีกยก ชอบเขางั้นหรือ? แม้แต่เหตุผลยังไม่มีเลย

ไพล่นึกไปถึงถ้อยคำอันซื่อตรง สัมผัสร้อนรุ่มยามแตะต้องกัน สายตาที่มองมาอย่างมีความหมาย ราวกับกำลังเปิดเปลือยทุกสิ่งให้เขาได้รับรู้

เยี่ยซิวถอนหายใจ เลื่อนมือไปสัมผัสหน้าอกของตนเองที่เต้นเป็นจังหวะรัวเร็วไม่สร่างแม้จะไม่ได้เห็นหน้าใครอีกคน

…ช่างเถอะ แต่ไหนแต่ไรมา ความรักก็หาคำอธิบายไม่ได้อยู่แล้วไม่ใช่หรือ…

 

———–

 

[05 : คุณสมบัติของคนรัก]

 

โจวเจ๋อข่ายมักจะมาก่อนร้านเปิด เยี่ยซิวเปิดประตูออกมาเห็นเขาก็ไม่ได้พูดอะไร แต่เบี่ยงตัวหลบให้เขาเข้ามาด้านใน

โจวเจ๋อข่ายนั่งมองเงียบๆ เยี่ยซิวก็ตระเตรียมของเงียบๆ ระหว่างพวกเขาปราศจากคำพูดคำจา แต่โจวเจ๋อข่ายก็ไม่ได้รู้สึกว่าน่าอัดอึดเหมือนคราวก่อน

เฉินกั่วมาถึง รับรู้ได้ถึงบรรยากาศคลุมเครือชวนหัวใจตึกตักอย่างแปลกๆ ปกคลุมอยู่ทั่วร้าน บ่อยครั้งเข้าก็เริ่มชินชา สำเร็จวิชาเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ขั้นสุดยอด

เธอไม่เห็นอะไรทั้งนั้น ไม่เห็นหนุ่มน้อยคนนั้นแอบจับมือเยี่ยซิว โอ๊ะ โดนสะบัดออกแล้ว แต่อีกฝ่ายไม่ยอม จะจับให้ได้ สุดท้ายเยี่ยซิวก็พ่ายแพ้ จำต้องยอมยืนนิ่งให้จับ อืม เธอไม่เห็นอะไรจริงๆ

“เป็นไงเสี่ยวโจว วิธีที่บอกไปได้สวยไหม คนที่นายชอบเป็นยังไงบ้าง” อยู่ๆ ขณะที่รวมกลุ่มกันตู้หมิงก็ถามเช่นนี้

โจวเจ๋อข่ายเอียงคอคิดๆ “สวย”

นึกถึงมือเรียวขาวเนียนสวยของเยี่ยซิว ยามหยิบจับสิ่งของต่างๆ สะกดสายตาชวนให้ลุ่มหลง

“หือ มีอะไรอีกไหม” ถึงจะตอบไม่ตรงคำถาม แต่ทุกคนก็ใคร่รู้ว่าคนที่หนุ่มหล่ออันดับหนึ่งของโรงเรียนชอบเป็นอย่างไร

คิดๆ อีก “น่ารัก”

นึกถึงใบหน้าที่แต่งแต้มสีแดงเจือจาง และรอยยิ้มบางเบาที่ถูกจุดขึ้นบนริมฝีปากของเยี่ยซิว โจวเจ๋อข่ายรู้สึกว่าน่ารักมากจริงๆ

“ว้าว อะไรอีกๆ” อวี๋เนี่ยนตื่นเต้น ชะโงกหน้าเข้ามาร่วมวงบ้าง

นึกอยู่ครู่หนึ่ง “ใจดี”

นึกถึงตอนที่อีกฝ่ายหยิบยื่นน้ำใจมาให้เขา ไหนจะเป็นห่วงเขากลัวว่าเขาจะหิว

“อื้อๆ มีอีกไหม”

เงียบไปอีกครู่หนึ่ง “มีเสน่ห์”

นึกถึงคำพูดหยอกเย้าของอีกฝ่าย น้ำเสียงเรียบเรื่อยชวนฟัง มีเสน่ห์อย่างมาก

“เสี่ยวโจว! คนที่นายชอบดีสุดๆ ไปเลย” ตู้หมิงโพล่งออกมาอย่างตื่นเต้น

“นั่นสิ สวย น่ารัก ใจดี มีเสน่ห์นี่มันรวมคุณสมบัติของคนรักที่ดีหมดเลยนี่!”

โจวเจ๋อข่ายพยักหน้ารับอย่างกระตือรือร้น เยี่ยซิวดีสุดๆ สำหรับเขาจริงๆ นั่นแหละ

เจียงปัวเทารู้สึกเหมือนมีตรงไหนไม่ถูกสักแห่ง พยายามยกมือจะแย้ง แต่ทุกคนตื่นเต้นกันเกินไปจึงไม่มีใครสนใจ พูดคุยอีกสักครู่ทุกคนก็ตกลงใจจะไปยลโฉมหน้าสาวสวยที่โจวเจ๋อข่ายชอบสักครั้ง

โจวเจ๋อข่ายคิดๆ ดูก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร เยี่ยซิวคงชอบใจที่มีลูกค้าเยอะขนาดนี้

เมื่อไปถึงซิงซิน ทั้งสี่ยืนเรียงแถวหน้ากระดานสลอน สอดส่ายสายตาหาคนที่พอเข้าตา

“คนไหนรึ อ๊ะ หรือจะเป็นสาวน้อยผมสั้นคนนั้น ว้าว ตาถึงไม่เบานี่” ตู้หมิงชี้ไปที่หญิงสาวคนแรก โจวเจ๋อข่ายมองตามแล้วส่ายหน้า

“หรือจะเป็นคนผมยาวอีกคน คนนั้นก็สวยนะ แต่อายุเยอะไปหน่อยหรือเปล่า” อวี๋เนี่ยนชี้ไปที่หญิงสาวท่าทางทะมัดทะแมงอีกคน โจวเจ๋อข่ายส่ายหน้าอีกครั้ง

“อ้าว แล้วคนไหน หรือยังไม่มา”

“มาแล้ว” โจวเจ๋อข่ายเห็นเงาร่างบางคนขยับอยู่หลังเคาท์เตอร์ รีบปรี่ไปหาเหมือนสุนัขเจอเจ้าของ

“นี่มัน…” ตู้หมิงจนคำพูด

“คนที่ชอบนี่หรือว่า…” อวี๋เนี่ยนเองก็เช่นกัน

เห็นโจวเจ๋อข่ายเข้าไปคลอเคลียชายหนุ่มคนนั้นแล้ว ทุกคนยิ่งรู้สึกเหมือนฟ้าผ่ากลางวันแสกๆ เจียงปัวเทาที่เอะใจแต่แรกแล้วไม่แปลกใจเท่าไหร่ เดินนำสองคนที่ยังไม่หายช็อกเข้าไปด้านใน

“สวัสดีครับ ผมเป็นพี่ของเสี่ยวโจว” เจียงปัวเทาแนะนำตัวอย่างมีมารยาท ขณะเดียวกันก็ลอบสำรวจชายหนุ่มไปด้วย

“สวัสดี” เยี่ยซิวเอ่ยตอบสบายๆ คุยกันพักหนึ่ง เจียงปัวเทาก็ได้กาแฟมอคค่ามาแก้วหนึ่งอย่างงงๆ รอจนสองคนนั้นรู้สึกตัวเข้ามาด้านใน ก็ได้กาแฟไปคนละแก้วอย่างงงๆ เช่นกัน ทั้งที่ก่อนจะมาไม่มีคิดคิดจะดื่มกาแฟแท้ๆ โจวเจ๋อข่ายยิ่งแล้วใหญ่ มีทั้งกาแฟที่แต่ก่อนเจ้าตัวไม่คิดจะดื่ม ทั้งขนมเต็มไม้เต็มมือกลับมา

“ร้ายกาจอย่างนี้เอง ถึงล่อลวงเจ๋อข่ายของเราได้” ตู้หมิงดูดกาแฟไปอึกหนึ่งพลางสังเกตการณ์ อืม หอมอร่อยดี

“พวกนายอย่าเพ้อเจ้อ ใครล่อลวงใคร ดูดีๆ สิ” เจียงปัวเทาเหล่ตู้หมิงไปหนึ่งที ก่อนหันไปชมเหตุการ์ต่ออย่างสบายอารมณ์

ตู้หมิงกับอวี๋เนี่ยนได้ยินเช่นนั้นก็ตั้งใจเบิกตาดูไม่กระพริบ เป็นดังเช่นที่เพื่อนสนิทว่า เยี่ยซิวแค่ชงกาแฟของเขาไป มีแต่น้องชายสุดหล่อของเขานี่แหละที่ไปยืนเป็นรูปปั้นประดับอยู่ข้างๆ บาริสต้าหนุ่มขยับไปทางนั้นทางนี้ โจวเจ๋อข่ายก็ขยับตามเหมือนเงาตามตัว  พอโดนดุก็ทำหน้าหมาหงอย ทำเอาชายหนุ่มคนนั้นเหนื่อยใจอย่างมาก

“อะแฮ่ม ไม่นึกเลยว่าเจ๋อข่ายของเราจะร้ายกาจขนาดนี้” ตู้หมิงกลับคำเป็นคนแรก ผลคือโดนเจียงปัวเทาเหล่เข้าอีกครั้ง

“อ๊ะ มีคู่แข่งด้วย” อวี๋เนี่ยนร้องบอกเมื่อเห็นชายท่าทางดูดีอีกคนเดินเข้ามา ทั้งคู่พูดคุยกันโดยมีโจวเจ๋อข่ายมองอยู่ข้างๆ โจวเจ๋อข่ายไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่แตะเอวของอีกคนเบาๆ สายตามองจ้องไปที่ผู้มาใหม่นิ่งๆ

เอิ่ม โจวเจ๋อข่ายของพวกเขาร้ายกาจจริงๆ นั่นแหละ แค่ใช้สายตาก็ขับไล่คู่แข่งไปได้

โจวเจ๋อข่ายเดินตามหลังเยี่ยซิวต้อยๆ เหมือนลูกหมา เยี่ยซิวเห็นแล้วแสนจะหน่ายใจ ดูสิ เพื่อนๆ กลับกันไปหมดแล้ว ทำไมไอ้หนูนี่มันไม่กลับบ้านช่องสักที

ระหว่างที่คิด เยี่ยซิวก็ล้วงบุหรี่ขึ้นมาสูบโดยอัตโนมัติ “มาตามตื๊อเกอทุกวันอย่างนี้ ไม่เบื่อหรือ”

“ไม่” โจวเจ๋อข่ายจับจ้องริมฝีปากอิ่มที่คาบบุหรี่เอาไว้อย่างหมิ่นเหม่เขม็ง “อย่าสูบ”

“หือ ทำไมล่ะ” เยี่ยซิวใช้ปลายนิ้วคีบบุหรี่ออกจากปาก  ยกยิ้มอย่างยั่วเย้า

“ไม่ดี” โจวเจ๋อข่ายตอบ แต่สายตายังไม่ละออกจากริมฝีปากของอีกคน

“หืม…ถ้าไม่สูบ เกอจะเหงาปากน่ะสิ เสี่ยวโจวจะแก้ยังไงล่—“ ยังไม่ทันจะพูดจบ ริมฝีปากก็ถูกบดเบียดลงมาอย่างแผ่วเบาโดยคนอายุน้อยกว่า เรียวลิ้นถูกดึงไปพัวพันอย่างเชื่องช้า ความหวานละมุนแผ่ซ่านในโพรงปาก อ่อนหวานเหมือนนมสด ทิ้งรสขมไว้ที่ปลายลิ้นเหมือนกาแฟ ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ที่เยี่ยซิวเผลอปล่อยบุหรี่ให้ร่วงลงไปบนพื้น ถูกรุกไล่จนแผ่นหลังชนกับผนัง โจวเจ๋อข่ายประคองใบหน้าของอีกคน เอียงองศาใบหน้าให้จูบได้อย่างถนัดถนี่

ในหัวมีเพียงความคิดอยู่อย่างเดียวที่วนเวียน นั่นคือเยี่ยซิวไม่ได้รังเกียจเขา ที่พูดคราวนั้นหมายถึงเปิดโอกาสให้เขาใช่ไหม โจวเจ๋อข่ายไม่กล้าถามตรงๆ แต่เขาก็ได้ใจจนลืมตัวจูบเยี่ยซิวไปอีกครั้ง

ได้ยินเสียงครางในลำคอแผ่วเบาของอีกฝ่าย กระตุ้นบางสิ่งในตัวเขาให้ตื่นขึ้นมา บางสิ่งที่โจวเจ๋อข่ายไม่รู้จักมันมาก่อน และไม่รู้จะจัดการอย่างไร

“อือ เสี่ยวโจว หยุดก่อน”

โจวเจ๋อข่ายผละออก ใช้ร่างกายที่สูงกว่าโอบร่างอีกคนเอาไว้แน่น กลิ่นกาแฟหอมเจือขมวนเวียนอยู่ตรงจมูก

“ชอบ” เขากระซิบข้างหูของเยี่ยซิว

เยี่ยซิวลูบหลังปลอบเขาเบาๆ เหมือนพยายามทำให้เขาสงบลง โจวเจ๋อข่ายสูดหายใจเข้าลึกๆ ได้ยินเสียงจังหวะหัวใจของทั้งคู่ประสานเป็นหนึ่งเดียว ร่างที่เขาโอบกอดไว้กล่าวขึ้นผสานเสียงหัวเราะแผ่วเบา “เสี่ยวโจวนี่ชอบฉันจริงๆ เลยนะ”

“อือ” เขากระชับอ้อมกอด “ชอบมาก”

นึกถึงเมื่อตอนกลางวันที่มีคนมีวุ่นวายกับเยี่ยซิวยิ่งรู้สึกไม่ชอบใจ ในอกเหมือนมีไฟบางอย่างสุมอยู่ ไม่รู้ว่าต้องจัดการอย่างไร

“ชอบ คบกันได้ไหม” โจวเจ๋อข่ายรู้เพียงวิธีนี้เท่านั้น รู้เพียงถ้าเยี่ยซิวเป็นของเขา มันคงพอบรรเทาความอึดอัดนี้ลง

“เอาสิ”

โจวเจ๋อข่ายผละออกมามองเยี่ยซิวตาโต เห็นได้ชัดว่าไม่ได้คาดคิดถึงคำตอบนี้ เขาเตรียมใจแล้วด้วยซ้ำว่าจะถูกปฏิเสธ หรือบอกให้รอก่อน

“ทำหน้าอะไรอย่างนั้น” เยี่ยซิวหัวเราะ “เกอเองก็อายุมากกว่า ให้เด็กมาบอกปาวๆ อยู่ฝ่ายเดียวมันก็ดูน่าขายหน้าไปหน่อยนะ”

เยี่ยซิวใช้เวลาทบทวนตัวเองไม่นานก็รู้คำตอบ ตัวเขาเองก็ไม่ได้รังเกียจเจ้าหนูนี่ ความรู้สึกอบอุ่นในหัวใจที่ไม่ได้สัมผัสมานานพาให้หัวใจเต้นแรงอีกครั้ง ดังนั้น ถ้าให้คบเป็นคนรักกันก็ไม่น่าจะมีปัญหาล่ะมั้ง แถมยัง…

โจวเจ๋อข่ายตาเป็นประกาย โถมร่างกอดเยี่ยซิวแน่นจนตัวเซ จมูกโด่งคลอเคลียอยู่บนลำคอขาว

…เป็นซะแบบนี้ จะไม่ให้เขาใจอ่อนได้ยังไง

“เดี๋ยวๆ ใจเย็นๆ ก่อนเสี่ยวโจว” เยี่ยซิวผลักอกอีกคนออก “เรื่องอื่นรอไว้สิบแปดก่อนค่อยว่ากัน”

โจวเจ๋อข่ายหูตก เยี่ยซิวรู้สึกเหมือนได้ยินเสียงครางหงิงๆ จากหมาตัวโต โจวเจ๋อข่ายเสียดายเล็กๆ แต่ว่าระหว่างพวกเขายังมีเวลาอีกมากไม่ใช่หรือ

โจวเจ๋อข่ายกระชับมือของเยี่ยซิว จุมพิตลงไปบนฝ่ามือเนียนสวย ช้อนตามองด้วยแววลึกซึ้ง “จะดูแลอย่างดี”

“อืม ฝากด้วยล่ะ เจ๋อข่าย” เยี่ยซิวอมยิ้ม น่ารักเสียจนโจวเจ๋อข่ายอยากจับมาฟัดแรงๆ สักที

เรื่องระหว่างพวกเขาไม่จำเป็นต้องรีบร้อน

…ค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไปก็พอ…

 

 

พวกเขาดำเนินชีวิตอย่างปกติในทุกๆ วัน แค่ยังเกาะกุมมือกันอยู่ แสงแดดยามเช้าก็อุ่นไปถึงหัวใจ

 

 

 

 

END

 

____________________________________________________________________________________

 

ขอบคุณที่อ่านจนจบค่ะ ไม่รู้ว่าเจ้าของรีเควสจะชอบไหม ยอมรับว่าเป็นโจทย์ยากสำหรับเราเลยค่ะ ฮา พยายามให้อบอุ่นมุ้งมิ้งแล้ว ถ้ามันไม่ใช่ยังไงก็ขอโทษด้วยนะคะ u///u ที่จริงมันตอนหลังสมควรจะยาวกว่านี้ แง ขอโทษด้วยนะคะ แต่ตั้งใจเขียนมากๆ เลยค่ะ และต้องขออภัยกับความรั่วของตู้หมิงแอนด์เดอะแก๊งด้วย ooc หนักมาก ฮา

ปล.ระหว่างแต่งอยากกินลาเต้ร้อนสักแก้วจัง…