QZGS

[Fic QZGS] – One night (อวี้เยี่ย)

Title : One night

Pairing : อวี้เหวินโจว x เยี่ยซิว

Warning : OOC(มากๆ…)

Note : ถึงจะเป็นฟิคปีใหม่ แต่ก็ไม่ค่อยมีอะไรเกี่ยวข้องกับปีใหม่เท่าไหร่ค่ะ…

 

 

 

-:-:-:-:-:-

 

บรรยากาศในงานเลี้ยงฉลองเต็มไปด้วยเสียงสรวลเสเฮฮา หลังจากที่สามารถปิดโปรเจคต์ใหญ่ก่อนขึ้นปีใหม่ได้แล้ว เยี่ยซิวก็ถูกคนในบริษัทลากมาเลี้ยงฉลองด้วยกัน ชายหนุ่มไม่ถูกกับของมึนเมานัก แต่ถึงจะพยายามปฏิเสธอย่างไรก็ถูกคะยั้นคะยอจนต้องดื่มเข้าไปหลายแก้ว

ขณะที่ทุกคนกำลังสนุกสนาน เยี่ยซิวก็เริ่มรู้สึกหัวหนักๆ จึงขอตัวออกมาสูดอากาศด้านนอก เขาห่อตัวเล็กน้อยเมื่อเผชิญกับสายลมเย็นเยือกที่พัดกรีดผิว แล้วจู่ๆ โลกก็หมุนเอียง เยี่ยซิวเซถลาไปด้านหน้าแต่กลับไม่ล้มลงเพราะมีมือคู่หนึ่งมาประคองไว้

“เป็นอะไรหรือเปล่าครับ”

สุ้มเสียงเจือความห่วงใยดังมาจากอีกฝ่าย เยี่ยซิวส่ายศีรษะ ก่อนจะถูกโอบประคองให้ยืนดีๆ

ฝ่ายตรงข้ามชวนเขาสนทนาอยู่หลายประโยค แต่เยี่ยซิวไม่รู้ว่าตนตอบอะไรกลับไปบ้าง ร่างกายของชายหนุ่มโอนเอนไปมาจนต้องอาศัยร่างของอีกคนเป็นหลักพิง เหมือนอีกฝ่ายพยายามจะถามบางอย่างจากเขา ทว่าคำพูดเหลานั้นก็ดูจะฟังไม่เข้าหูอีกต่อไป

ได้ยินเสียงถอนหายใจคล้ายอับจนปัญญา ช่วงเวลาหลังจากนั้นรางเลือนเป็นอย่างมาก เยี่ยซิวรับรู้ว่าเขาถูกพาออกมาจากงานเลี้ยง ชายหนุ่มพยายามเปิดเปลือกตาหนักอึ้งขึ้น ใบหน้าของผู้ที่แนบชิดพร่าเลือนไม่ชัดเจน ก่อนที่เขาจะค่อยๆ ตัดทุกสิ่งออกจากประสาทรับรู้

-:-:-:-:-

“อือ…”

เยี่ยซิวเปล่งเสียงครางออกมาเบาๆ ร่างกายบิดตัวเข้าหากันด้วยความเสียวซ่าน อากาศหนาวเย็นที่สัมผัสผิวเนื้อทำให้เขาขยับเข้าเสียดสีอย่างอื่นที่มีอุณหภูมิสูงกว่าตามสัญชาติญาณ

พวงแก้มถูกสิ่งที่อุ่นๆ และนุ่มหยุ่นเข้าแตะ สัมผัสนั้นไล่ไปทั่วใบหน้าก่อนจะมาจบที่ริมฝีปาก กลีบปากล่างของเยี่ยซิวถูกงับเบาๆ ราวกับกำลังเว้าวอน จนเขาเผลอเปิดมันออกแล้วยินยอมให้ความชุ่มชื้นแทรกเข้ามาพัวพัน

เยี่ยซิวไม่ได้ไร้เดียงสาขนาดที่ไม่รู้ว่าตนกำลังถูกจูบอยู่

เรือนร่างถูกสัมผัส เค้นคลึงไปทั่ว ความร้อนในร่างถูกอีกฝ่ายจุดติดอย่างรวดเร็ว เยี่ยซิวขบริมฝีปากเมื่อถูกปลุกเร้าจนสั่นสะท้านไปทั่วสรรพางค์กาย

เขาหอบหายใจ พยายามเพ่งมองผ่านม่านน้ำฉ่ำวาว สิ่งที่เห็นมีเพียงรอยยิ้มอ่อนโยนและความรู้สึกคลับคล้ายคลับคลาเท่านั้น

เมื่อถูกดูดดึงจนริมฝีปากบวมเจ่ออีกฝ่ายก็ผละออก บางสิ่งที่ร้อนระอุขยับมาจ่ออยู่ด้านล่าง เยี่ยซิวหุบต้นขาเข้าหากัน จากนั้นก็ถูกเสียงนุ่มๆ จูบหวานๆ พร่ำปลอบจนเริ่มผ่อนคลาย

“ได้ไหมครับ”

เสียงนั้นใกล้เสียจนเยี่ยซิวขนลุกชัน เขาเบี่ยงหน้าไปอีกทาง ปล่อยให้อีกฝ่ายค่อย ๆ ดุนดันเข้ามาด้านใน

ความรู้สึกเจ็บเสียดในคราแรกยังคงอยู่ แต่สิ่งที่เพิ่มเข้ามาคือความวาบหวามจนใจสั่น  เยี่ยซิวใช้มือโอบรอบลำคอของอีกฝ่าย เผลอจิกเล็บลงไปเป็นครั้งคราวเมื่อถูกกระตุ้นตรงส่วนอ่อนไหว  ในหัวสับสนปนเป กึ่งอยากถอยห่าง กึ่งอยากตอบสนอง

ปลายเท้าเหยียดเกร็งสั่นกระตุกเมื่ออีกฝ่ายขยับไปโดนจุดหนึ่งในช่องทางคับแน่น  เยี่ยซิวครวญครางเมื่อจุดนั้นถูกอีกฝ่ายบดเบียดย้ำๆ ราวกับจงใจ ผนังบอบบางที่โอบล้อมความแข็งขืนเอาไว้ถูกเสียดสีจนเจ็บปลาบ แต่ก็ทำให้รู้สึกดีมาก

มากเกินไปจนเหมือนความฝัน

เยี่ยซิวถูกอีกฝ่ายเร่งเร้าจนหัวหมุน ในหูอื้ออึงจนไม่อาจจับใจความได้ ในที่สุดเยี่ยซิวก็ปลดปล่อยออกมา เขานอนหมดแรงอยู่กับที่ ความคิดว่าทุกอย่างจบลงถูกปัดทิ้งกระเด็นเมื่อคู่ของเขาแทรกกายเข้ามาอีกครั้ง แล้วขยับเข้าออกอย่างเชื่องช้า คล้ายอ่อนโยน คล้ายเร่งรัด

เขานึกอยากประท้วง ก่อนที่จะถูกปิดปากแล้วโดนล่อลวงลงไปในกับดักแสนหอมหวานอีกครา นำพาความฝันให้เติมเต็มไปด้วยความชุ่มฉ่ำเหมือนสายน้ำ แต่เร่าร้อนเหมือนอยู่ในกองเพลิง

เยี่ยซิวหลับตาสะกดกลั้นเสียงคราง ปล่อยให้ความฝันนั้นดำเนินต่อเนื่องไปตลอดทั้งคืน

-:-:-:-:-

เยี่ยซิวตื่นขึ้นมาพร้อมความรู้สึกคลื่นเหียน

ชายหนุ่มขยับตัว ความเจ็บเสียดที่แล่นพล่านขึ้นมาจากเบื้องล่างทำให้เขาเผลอนิ่วหน้า ความทรงจำเมื่อคืนวิ่งเข้ามาในหัวอย่างรวดเร็ว

เยี่ยซิวใช้มือนวดคลึงขมับที่ปวดจี๊ดขึ้นมา ใบหน้าซีดลงเรื่อย ๆ เมื่อตระหนักว่าตนเองได้ทำอะไรลงไปบ้าง

ราวกับได้ยินเสียงนุ่มหูดังแผ่ว ๆ อยู่ข้างตัว สองแก้มของเยี่ยซิวร้อนฉ่า แม้เขาจะไม่ค่อยมีสติ แต่ก็จำได้รางๆ ว่าอีกฝ่ายกระซิบขออนุญาต และเขาก็ไม่ได้ขัดขืน

สรุปว่าเขามีความสัมพันธ์กับใครก็ไม่รู้ อีกทั้งยังเป็นผู้ชาย

เยี่ยซิวมองไปรอบๆ ก็เดาได้ว่าที่นี่คงเป็นห้องในโรงแรมแห่งหนึ่ง สายตาเหลือบไปเห็นกระดาษโน้ตใบเล็กๆ ตรงหัวเตียง เขาคิดว่าอีกคนคงทิ้งไว้ แต่เยี่ยซิวไม่มีใจจะหยิบขึ้นมาดู เมื่อมองเห็นเสื้อผ้าที่ซักรีดเรียบร้อยแล้วของตนแขวนอยู่ตรงตู้เสื้อผ้า จึงฝืนความเจ็บปวด รีบผุดลุกขึ้นมาแต่งตัวและผลุนผลันออกจากห้องไปอย่างรวดเร็วเพื่อหลีกเลี่ยงสถานการณ์น่าอึดอัดที่เขาอาจต้องเผชิญ จากนั้นก็เรียกแท็กซี่หน้าโรงแรมเพื่อกลับบ้าน

ระหว่างทางคนขับแท็กซี่เหลือบมองเขาเป็นครั้งคราวด้วยสายตาแปลกๆ เมื่อถึงห้องพักเยี่ยซิวก็แทบจะสบถออกมา ด้วยความเร่งรีบทำให้เขาแต่งตัวไม่เรียบร้อยนัก รอยจูบตรงข้างคอจึงถูกมองเห็นได้อย่างชัดเจน

เยี่ยซิวเข้าไปอาบน้ำ รู้สึกหัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้เมื่อรอยจูบไม่ได้มีเฉพาะที่ลำคอ แต่มีอยู่ประปรายทั่วแผ่นอก

เยี่ยซิวพยายามจะลืมอะไรต่อมิอะไรที่จดจำได้ ความจริงอีกฝ่ายเป็นผู้ชาย เขาเองก็เป็นผู้ชาย ว่าง่ายๆ คือไม่มีอะไรเสียหาย แต่ความรู้สึกติดๆ ขัดๆ ยามเดินเหินทำให้เยี่ยซิวนึกขอบคุณฟ้าดินอยู่ในใจที่เขาไม่ต้องไปทำงานเนื่องจากบริษัทหยุดช่วงปีใหม่

ความสัมพันธ์แค่ชั่วข้ามคืน เมื่อยามรุ่งอรุณมาเยือนก็คงต้องสลายไป

 

และเยี่ยซิวก็คงลืมไปจริงๆ หากไม่ใช่ว่าวันหนึ่งก่อนที่เขากำลังจะลงมือกินข้าวในโรงอาหารของบริษัท ฝั่งตรงข้ามเขาดันปรากฏร่างของชายหนุ่มรุ่นน้องต่างแผนกขึ้น

“ผมขอนั่งด้วยนะครับ”

“เอาสิ” เยี่ยซิวแปลกใจเล็กน้อยแต่ก็ตอบกลับอย่างไม่คิดอะไร

อีกฝ่ายยิ้มสุภาพแล้วนั่งลงอีกด้าน พวกเขาต่างคนต่างกินกันเงียบๆ ไม่มีใครพูดอะไร จวบจนเห็นว่าเยี่ยซิวกินเสร็จแล้วอีกฝ่ายจึงพูดขึ้นมา

“อยากสูบบุหรี่หรือครับ”

เยี่ยซิวที่กำลังคลำกระเป๋ากางเกงชะงักเล็กน้อย ก่อนจะตอบ “อืม”

“ใช้นี่สิครับ”

เยี่ยซิวประหลาดใจเมื่อเห็นซองบุหรี่ยี่ห้อที่เขาสูบเป็นประจำถูกยื่นมาให้ “คุณดูไม่เหมือนคนที่ชอบสูบเลยนะ?”

“อา ผมไม่สูบหรอก” อีกฝ่ายขยับยิ้ม “มันเป็นของคุณที่ลืมทิ้งไว้ต่างหาก”

“หือ”

เยี่ยซิวนิ่งค้างไปเล็กน้อยเมื่อจู่ๆ สมองก็ทำหน้าที่ของมันอย่างหนักหน่วง ภาพเหตุการณ์คืนนั้นไหลทะลักออกมาอย่างรวดเร็ว

น้ำเสียงรื่นหู รอยยิ้มอบอุ่น ค่ำคืนอันแสนเร่าร้อนกับคนแปลกหน้า

ใบหน้าพร่าเบลอเหมือนอยู่ท่ามกลางหมอกควันค่อยๆ แจ่มชัดขึ้นในความทรงจำ

“รุ่นพี่ครับ?”

ความร้อนไหลไปกองรวมกันที่สองข้างแก้ม เยี่ยซิวอ้าปากค้าง นิ้วมือสั่นระริก เมื่อใบหน้าของบุคคลปริศนาซ้อนทับกับใบหน้าของรุ่นน้องต่างแผนกของเขาได้อย่างพอดิบพอดี

ผู้ชายคนนั้น

คืออวี้เหวินโจว

-:-:-:-:-

“ผมขอนั่งด้วยนะครับ”

เยี่ยซิวพยักหน้าโดยไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมามอง ในเมื่อนับจากวันนั้นชายหนุ่มรุ่นน้องก็มักจะโผล่มาป้วนเปี้ยนใกล้เขาเสมอ

“ทานน้อยอีกแล้วนะครับ เยี่ยซิว” อวี้เหวินโจวส่ายหน้า ก่อนจะหยิบขนมปังในกระเป๋าแล้วส่งมาทางเขา “ทานขนมปังหน่อยไหมครับ”

อวี้เหวินโจวชอบมีของติดไม้ติดมือมาฝากเขาบ่อยๆ อย่างของวันนี้ก็เป็นขนมปังเจ้าดังที่เยี่ยซิวเคยได้ยินว่าต้องต่อแถวถึงสองชั่วโมงกว่าจะได้กิน

“เกออิ่มแล้ว”

“เก็บไว้เถอะครับ เผื่อตอนบ่ายๆ คุณจะหิว”

เยี่ยซิวถอนหายใจเมื่อเห็นรอยยิ้มอ่อนโยนของอีกฝ่ายก่อนจะรับมา เพราะถึงเขาไม่รับ อวี้เหวินโจวก็จะสรรหาวิธีมาให้เขารับไปอยู่ดี

หลังจากพอใจแล้วอวี้เหวินโจวก็ขอตัวไปทำงาน เยี่ยซิวยอมรับว่าเขารู้สึกโล่งใจไม่น้อยที่อวี้เหวินโจวไม่ได้พูดเรื่องคืนนั้นขึ้นมาอีก

อวี้เหวินโจวเป็นรุ่นน้องต่างแผนกที่เยี่ยซิวเคยดูแลอยู่ช่วงหนึ่งสมัยฝ่ายนั้นเป็นแค่เด็กฝึกงาน แม้ชายหนุ่มรุ่นน้องคอยวนเวียนอยู่กับเขา แต่ก็ทิ้งระยะห่างอย่างพอดิบพอดี ไม่มากเกินไปจนเยี่ยซิวอึดอัด รู้ตัวอีกทีเยี่ยซิวก็ลดความระมัดระวังลงแล้วปล่อยให้อวี้เหวินโจวอยู่ใกล้เขาอย่างไม่รู้สึกตะขิดตะขวงใจ

 

“จะกลับแล้วหรือครับ”

“อ้อ เหวินโจวเองหรือ?” เยี่ยซิวพ่นควันบุหรี่ออกมาอย่างเชื่องช้าแล้วมองออกไปนอกหน้าต่าง “เกอว่าจะกลับแล้ว แต่ฝนนี่สิ ตกหนักไม่ยอมหยุดเลย”

อวี้เหวินโจวหัวเราะ “ถ้าไม่รังเกียจ ผมไปส่งได้นะครับ?”

เยี่ยซิวมองหยาดฝนที่พัดกระหน่ำอยู่ด้านนอกและอวี้เหวินโจวที่ยืนรอคำตอบอย่างใจเย็นสลับกันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้าตกลง

“ตรงหัวมุมมีร้านเปิดใหม่ พวกเราไปแวะทานข้าวกันก่อนไหมครับ”

“เอาสิ”

เยี่ยซิวตอบง่ายๆ ก่อนที่ทั้งเขาและอวี้เหวินโจวจะพากันเข้าไปในภัตตาคารเปิดใหม่ ภายในนั้นประดับตกแต่งอย่างสวยงาม อาหารก็รสชาติอร่อยจนเยี่ยซิวอดกินอีกหลายคำไม่ได้

แต่กินไปกินมาเยี่ยซิวกลับรู้สึกแปลกๆ

“มีอะไรหรือเปล่าครับ” อวี้เหวินโจวเอ่ยทักขึ้นเมื่อเห็นเยี่ยซิวมองซ้ายมองขวา

“เปล่าๆ ไม่มีอะไรหรอก” เยี่ยซิวโบกไม้โบกมือไปมา ในที่สุดเขาก็รู้แล้วว่าแปลกตรงไหน

ภายในร้านเกินครึ่งเป็นคู่รัก ราวกับว่านัดแนะกันมาอย่างไรอย่างนั้น

เยี่ยซิวคีบกับข้าวพลางพิจารณาใบหน้าของคนที่นั่งอยู่อีกฟากของโต๊ะ อวี้เหวินโจวจัดว่ามีใบหน้าได้รูป ดวงตาเรียวรี อาจจะไม่ถึงขนาดหล่อกระชากใจสาวๆ แต่ก็นับเป็นหนุ่มแนวสุภาพบุรุษอ่อนโยนได้อยู่ล่ะมั้ง?

“จ้องผมนานๆ แบบนี้ผมก็เขินนะครับ”

“เกอกำลังคิดว่าหน้าตาแบบนายน่าจะมีแฟนสาวน่ารักๆ สักคน” เยี่ยซิวเท้าคาง มุมปากยกยิ้มหยอกเย้า “คงไม่ใช่ว่ากำลังจีบเกออยู่ใช่ไหม”

อวี้เหวินโจวกลับยิ้มจนดวงตาโค้งเป็นจันทร์เสี้ยว แล้วเอ่ยด้วยท่าทางเป็นธรรมชาติ

“ผมนึกว่าคุณรู้ตัวอยู่แล้วเสียอีก รุ่นพี่”

เยี่ยซิวแทบทำตะเกียบร่วง “เอ่อ เกอว่า…”

“อย่าปฏิเสธว่าอะไรทำนองว่า ‘เราสองคนเข้ากันไม่ได้’ เลยครับ” อวี้เหวินโจวโน้มลงมาใกล้ ปลายนิ้วเค้นคลึงหลังฝ่ามือของเยี่ยซิวอย่างแผ่วเบา “ร่างกายเราเข้ากันได้ดีแค่ไหน คุณก็รู้ดีไม่ใช่หรือ”

เหมือนมีกระแสไฟฟ้าแล่นแปลบปลาบผ่านบริเวณผิวที่ถูกสัมผัส เยี่ยซิวสะดุ้ง รีบยกมือปิดปากชายหนุ่มผู้อ่อนวัยกว่าที่กำลังยื่นหน้าเข้ามาใกล้

“นี่ในร้านอาหารนะ”

“ถ้าในที่ส่วนตัวก็ทำได้?”

“เกอไม่ได้หมายความอย่างนั้น!” เยี่ยซิวกระซิบเสียงหนัก ใบหน้าขึ้นสี ดูทั้งโกรธทั้งอายในคราวเดียวกัน

“ห้องของผม?”

“เกอบอกว่า…”

“คิดเงินด้วยครับ”

“เหวินโจว!”

 

“…เดี๋ยว…อืม…ช้าหน่อย….เหวินโจว”

เยี่ยซิวส่งเสียงกระท่อนกระแท่นเมื่อถูกริมฝีปากอุ่นๆ รุกไล่จนหายใจไม่ทัน รอบตัวถูกรายล้อมด้วยกลิ่นของบุรุษที่อยู่ตรงหน้า อวี้เหวินโจวพรมจูบตามลำคอ เรื่อยมาจนถึงหัวไหล่ ออดอ้อนคลอเคลียจนเยี่ยซิวมือไม้อ่อนยวบ

“เรา…ข้ามขั้นไปหรือเปล่า” เยี่ยซิวใช้จังหวะที่ริมฝีปากถูกปลดปล่อยให้เป็นอิสระเอ่ยขึ้นมาอย่างรวดเร็ว

“…งั้นหรือครับ” อวี้เหวินโจวทำท่าไม่แน่ใจเล็กน้อย ก่อนเผยรอยยิ้มละอายใจออกมา “ขอโทษครับ ผม…ตื่นเต้นไปหน่อย”

อวี้เหวินโจวรวบฝ่ามือขาวสะอาดของอีกฝ่ายขึ้นมา นิ้วเรียวยาวที่สวยยิ่งกว่าผู้ชายคนใดที่อวี้เหวินโจวเคยพบถูกจูบทีละนิ้ว ทีละนิ้วอย่างตั้งใจ ชายหนุ่มอ่อนวัยช้อนตามอง ทำให้ผู้อาวุโสกว่ารู้สึกเหมือนความร้อนจากปลายนิ้วถูกส่งผ่านมาถึงใบหน้า

“ผมชอบคุณ ชอบมานานแล้ว” อวี้เหวินโจวกระซิบเสียงพร่า “รับรักผมได้ไหมครับ เยี่ยซิว”

เยี่ยซิวอ้าปากค้าง หน้าร้อนจนแทบไหม้

…โดนจู่โจมหนักขนาดนี้ คนแก่หัวใจอ่อนแออย่างเขาจะมีคำตอบนอกเหนือจากคำว่าตกลงไปได้อีกหรือ

 

แต่ดูเหมือนคนหนุ่มจะได้ใจมากเกินไป คืนนั้น ผู้อาวุโสจึงถูกทรมานสังขารไปอีกหลายรอบ

 

“…เหวินโจว เกอไม่ไหวแล้ว”

“ถ้าคราวนี้ตื่นมาแล้วคุณจำไม่ได้ ผมจะใช้ร่างกายช่วยบอกคุณเอง”

“…เดี๋ยว…อือ…เบาหน่อย…”

“ได้ผมไปแล้ว ก็ช่วยรับผิดชอบผมด้วยสิครับ”

 

 

และหลังจากคืนนั้นก็ทำให้เยี่ยซิวได้รับรู้ว่าคนรักหนุ่มหมาดๆ ของเขา…ก็เจ้าคิดเจ้าแค้นไม่น้อยอยู่เหมือนกัน

 

 

 

END

 

 

 


 

อยากลองเขียนบรรยากาศเรื่องที่ไม่เคยเขียนดูค่ะ ระหว่างนี้วิญญาณพี่อวี้เข้าทรงอยู่หลายรอบเหมือนกัน ไปๆ มาๆ ก็กลายเป็นอย่างที่เห็น(……) พอเขียนเสร็จก็รู้สึกเขินอีกต่างหาก555

เอาเป็นว่าสวัสดีปีใหม่นะคะทุกคน!

QZGS

[Fic QGZS] – ดวงดาว (เถาเยี่ย)

Fic 全职高手 – ดวงดาว (เถาเซวียน x เยี่ยซิว)
Note : ยังไม่ได้อ่านเล่มสิบค่ะ
Note2 : จะเรียกว่าฟิคก็เกรงใจ โปรดเรียกว่ากาว–

 

 

(01)

 

“คุณเคยนึกเสียใจภายหลังบ้างไหม”

 

เถาเซวียนชะงัก มองรูปลักษณ์อ่อนเยาว์ที่ไหลเอนพิงโซฟาเหมือนแมวเกียจคร้าน ดวงตาที่หรี่ลงเล็กน้อยดูเจ้าเล่ห์แสนกล ริมฝีปากสีเรื่อคาบบุหรี่ไว้อย่างหมิ่นเหม่คลี่ยิ้มกว้าง

เขาส่ายหน้า นึกอยากบอกให้อีกฝ่ายเพลาเรื่องบุหรี่ลงหน่อย แต่จนใจที่ตนเองก็สูบจัดไม่ต่างกัน

“ไม่เลยหรือ? พี่คิดว่าการลงทุนครั้งนี้จะสำเร็จ?”

สมาพันธ์ลีคกลอรี่กำลังก่อร่างสร้างตัว เถาเซวียนเป็นคนพบเจอเด็กหนุ่มคนนี้ที่ร้านเน็ตของตนเอง เพียงแค่ได้เห็นเด็กคนนี้ เถาเซวียนก็รู้ว่ามันจะไปได้ด้วยดีอย่างแน่นอน

นับว่าเขามีสายตาที่กว้างไกล เขากล้าที่จะเสี่ยงเพราะเขามั่นใจว่าเยี่ยชิวเป็น ‘ของจริง’

ยามที่ทวนศึกกวัดไกว มลายสิ้นซึ่งภัยพาล

ยามเทพสงครามร่ายรำ นำมาซึ่งความพินาศของศัตรู

ในดวงตานั้นพราวระยับ อัดแน่นด้วยความฝัน ความมุ่งมั่น ความกระหายในชัยชนะ ทุกสิ่งทุกอย่างหลอมรวมกันเป็นเยี่ยชิว

อี๋เยี่ยจือชิว–เยี่ยชิว

ไพ่ราชาของเจียซื่อ ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดของเจียซื่อ

เถาเซวียนเคยเฝ้ามองประกายแสงนั้นอย่างเงียบเชียบ ในห้องที่มืดสนิท มันส่องสว่างดุจดวงดาวบนฟากฟ้า

เยี่ยชิวเป็นเหมือนดาวจรัสแสง ที่เขาเคยคิดว่าจะไม่มีวันปล่อยมือ

เถาเซวียนเคยคิดเช่นนั้น

 

 

(02)

 

“คุณตัดสินใจแล้ว?”

เถาเซวียนพยักหน้า หลังพิจารณารายละเอียดสัญญาซื้อตัวนักกีฬาคนใหม่ของสโมสร เขาวางมันลง ก่อนจะประสานมือลงบนหน้าตักของตนเอง

“แล้ว…เรื่องเยี่ยชิว?”

ชายหนุ่มถอนหายใจ เพียงเท่านั้นผู้จัดการสโมรสรทราบความหมายโดยนัยของเขา อีกฝ่ายออกไปจัดการเรื่องทุกอย่าง ปล่อยให้ห้องทำงานเหลือเพียงเถาเซวียนแต่เพียงผู้เดียว

หางตาเหลือบเห็นซองบุหรี่นอนแน่นิ่งอยู่บนโต๊ะ

เขาหยิบมันขึ้นมา จุดไฟ ปล่อยให้เปลวไฟลามเลียปลายแท่งอย่างเชื่องช้า แล้วหลับตาลง สูดเข้าปอดแรงๆ

ไม่รู้ทำไมรสชาติของมันจึงขมปร่าและฝืดคอกว่าที่เคย

 

เสมือนทุกอย่างหยุดนิ่ง

ชายหนุ่มที่พึ่งสังเกตเห็นเขาก็นิ่งไปเช่นกัน

ชั่วขณะหนึ่ง ต่างคนต่างไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไร

เถาเซวียนมองดูรูปร่างของอีกฝ่ายใต้เสื้อตัวโคร่ง อดเอ่ยไม่ได้ว่า “ทานอะไรหน่อยไหม ฉันเลี้ยงเอง”

เยี่ยชิวเพียงยิ้มเรียบๆ ท่าทางแตกต่างจากวันวาน มานึกดูแล้ว เขาเองก็ไม่รู้ว่าเยี่ยชิวเปลี่ยนไปขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่

ห่างเหินกันขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่

แต่หากบอกว่าไม่รู้สาเหตุเกิดจากอะไรก็ดูจะเป็นเรื่องโกหกกันเกินไป

อีกฝ่ายเบี่ยงตัวให้เขาเดินนำไปก่อน เถาเซวียนเลือกร้านตรงสุดหัวมุมถนน ไม่ใช่ร้านอาหารเลิศหรูหรือมีอะไรพิเศษ เป็นเพียงร้านที่พวกเขาเคยมาประจำเมื่อก่อนเท่านั้น

เถาเซวียนนั่งลง สั่งอาหารที่จำได้ว่าเป็นของชอบของอีกฝ่ายมาสามสี่อย่าง น้ำซุปร้อนๆ อีกสองถ้วย

เยี่ยชิวก้มหน้าก้มตากินเงียบๆ เขาเองก็กินเงียบๆ เข่นกัน

คนสองคน สองความคิด หนึ่งเพื่ออุดมการณ์ อีกหนึ่งเพื่อเงินตรา

เมื่อเยี่ยชิวหยุดกิน เถาเซวียนก็วางตะเกียบลง สองร่างเดินฝ่าไปในความมืด แสงไฟสลัวที่ส่องกระทบร่างทำให้เงาที่ทอดลงมาเป็นรูปร่างประหลาด

เถาเซวียนมองดูเงาของอีกฝ่ายที่ค่อยๆ ห่างไกลออกไปเรื่อยๆ จนเกินจะคว้าจับ

หรือเป็นเขาที่เลือกปล่อยไป

เงาร่างของเถาเซวียนยืนอย่างโดดเดี่ยว

 

วันถัดมา เยี่ยชิวก็เป็นฝ่ายเซ็นสัญญาวางมือ

 

 

(03)

 

เถาเซวียนลุกขึ้นมาแต่งตัวตั้งแต่เช้าตรู่

ชายหนุ่มสวมสูทลำลองใหม่เอี่ยม ผมถูกหวีและจัดแต่งทรงอย่างดี หนวดเคราก็ถูกโกนจนสะอาดสะอ้าน ในฐานะเจ้าของสโมสร เขารักษาภาพลักษณ์ให้ดูดีอยู่เสมอ

อีกอย่างคือ เยี่ยชิวเคยบอกว่าไม่ชอบให้เขาไว้หนวด

เด็กคนนั้นผิวบอบบางกว่าที่คิด เถาเซวียนนึก ยามแนบชิด ผิวอ่อนนุ่มจะระคายเคืองจนกลายเป็นสีแดงอ่อนๆ

เขาข้ามไปฝั่งตรงข้ามของถนน เพื่อขอพบเยี่ยชิว

เขาลอบสังเกตอีกฝ่าย เยี่ยชิวยังคงเหมือนเดิม ผิวขาวซีดเซียวตามประสาคนไม่เคยออกแดด นิ้วมือเรียวล้วงหยิบบุหรี่แท่งหนึ่งแล้วโยนมาให้เขา แต่เถาเซวียนไม่ทันได้ตั้งตัว บุหรี่จึงร่วงลงกับพื้น

เขาฝืนยิ้ม เก็บมันขึ้นมาวางบนโต๊ะ

“กลับมาเถอะ!”

แต่เถาเซวียนลืมนึกไป บางทีเส้นทางของพวกเราคงแตกต่างจนไม่สามารถเดินร่วมทางกันได้อีกแล้ว

 

สุดท้าย เยี่ยชิวก็ไม่กลับมา

 

 

(04)

 

“คุณเถา?”

เถาเซวียนกระพริบตา ดึงตัวเองกลับมาสู่โลกแห่งความจริง นึกทบทวนคำถามเมื่อครู่ที่ทำให้ตนหวนนึกถึงอดีต

‘คุณเคยนึกเสียใจภายหลังบ้างไหม’

เถาเซวียนบิดยิ้ม เขารู้ความหมายของนักข่าวคนนั้น แต่เขาเลือกที่จะกล่าวถึงไพ่ราชาคนใหม่ กลยุทธ์การเล่นแบบใหม่ กล่าวถึงอนาคตข้างหน้าของเจียซื่อ

รัชสมัยรุ่งโรจน์ แต่ผู้ที่ร่วมสร้างมันมาด้วยกันนั้น ไม่มีอีกต่อไป

 

ใบไม้ร่วงหล่น ฤดูกาลผันแปร สายน้ำไม่ไหลย้อนกลับ

วันเวลาไม่อาจหวนคืน

 

แสงแฟลชวูบวาบ ทิ่มแทงกระบอกตาเสียจนแสบร้อน

 

หลงเหลือเพียงดวงดาวที่มอดแสงลง และเขาเป็นผู้ดับมันด้วยตัวเอง

 

 

 

 

 

 


 

ช่วงนี้โดนกาวเถาเยี่ยบ่อยเหลือเกิน/พรากกกกกก

เถาเกอออออออออออ/สูดกาวฟืดด–

 

 

QZGS

[Fic QZGS] – Voice (หวงเยี่ย)

Fic 全职高手 – Voice (หวงเส้าเทียน x เยี่ยซิว)

Day 02 – ไอดีข้ามเพศ

Note : เยียวยาตัวเองค่ะ หงูววววววววววววววว ระเบิดความเร็วมือ ไม่ได้เกลาเลย เพราะงั้นก็อย่าหวังอะไรกับภาษามากนะคะ–

Note 2 : ฟิคเรื่องนี้ใช้ชื่อเยี่ยชิวเพราะพี่เยี่ยยังไม่ได้เปิดเผยชื่อจริงค่ะ

Warning : มีสปอยเล็กน้อย

 

 

 

 

 

 

การใช้ไอดีข้ามเพศเป็นเรื่องธรรมดาที่พบเห็นได้ทั่วไปในกลอรี่

 

แต่ตอนนี้หวงเส้าเทียนไม่เห็นว่ามันธรรมดา! ไม่ธรรมดาเลยสักนิด!

 

 

“เชี่ย! นี่ไม่จริงใช่ไหม!”

 

ทุกท่านครับ! ตอนนี้หวงเส้าเทียนกำลังช็อคมาก!

 

หวงเส้าเทียนวิ่งปรู๊ดแซงหน้ากับตันทีมตนที่ยิ้มเจื่อน มองร่างที่อยู่เบื้องหน้าขึ้นๆ ลงๆ ด้วยสายตาสนเท่ห์

 

“นี่คงไม่ใช่เยี่ยชิวหรอกนะ! ไม่มีทาง ตาแก่นั่นไม่มีทางรูปร่างหน้าตาแบบนี้แน่นอน”

 

ยิ่งหวงเส้าเทียนกล่าวด้วยน้ำเสียงมั่นใจมากเท่าไหร่ อวี้เหวินโจวที่ยืนอยู่ข้างๆ ยิ่งอยากคิดหาวิธีปิดปากเจ้าตัวมากเท่านั้น

 

ตาแก่นั่นเพียงแค่ปรายตามองมาวูบหนึ่ง ดวงตาง่วงงุนล้อมรอบด้วยแพขนตาหนาสีดำยาว ริมฝีปากคาบบุหรี่ไว้หนึ่งมวน หลังจากกัปตันทีมทั้งสองทักทายพอเป็นพิธี นักกีฬาหลานอวี่ก็นั่งประจำที่

 

มหาเทพเยี่ยชิวได้ชื่อว่าอยู่สูงที่สุดในกลอรี่ ไอดีหลักคือนักเวทสงครามอี๋เยี่ยจือชิว สไตล์การเล่นทั้งกล้าแกร่งทั้งดุดัน ถึงกับได้รับรางวัล MVP ยอดเยี่ยม

 

แต่เทพเยี่ยไม่เคยเปิดเผยหน้าตา! งดออกสื่อ งดสัมภาษณ์หน้ากล้องทุกครั้ง นอกจากพวกรุ่นเก่าที่เคยใกล้ชิดกับเทพเยี่ย ก็แทบไม่มีใครเคยเห็นหน้าตาของเยี่ยชิวมาก่อน

 

บรรยากาศห้องซ้อมที่เงียบสงบกลับซ่อนไอกระหายรู้ไว้อย่างอัดแน่น เยี่ยชิวถอนหายใจ หันไปหากัปตันทีมตรงข้ามที่ดูจะคุยรู้เรื่องมากที่สุด

 

“เราจะเริ่มกันได้หรือยัง”

 

อวี้เหวินโจวยังไม่ทันอ้าปาก เสียงเห่าบ็อกแบ็กก็ดังแทรกขึ้นมา “นี่ นี่ นี่ นี่ ยังไม่ได้บอกเลยนะว่าใช่เยี่ยชิวหรือเปล่า ใช่หรือเปล่าฮ้าาาาา อย่ามาทำเมินนะ นี่ เยี่ยชิว เยี่ยชิว!”

 

หลังจากถูกเสียงรบกวนไพ่ราชาของหลานอวี่จนไม่เป็นอันซ้อม เยี่ยชิวก็ผงกหัวง่ายๆ

 

“อืม ฉันคือเยี่ยชิว”

 

เสียงของเยี่ยชิวราบเรียบไม่มีขึ้นลง เมื่อฟังผ่านไมโครโฟนก็ทำให้นึกได้ว่าเป็นผู้ชายที่โทนเสียงสูงกว่าปกติหน่อยเท่านั้น ไม่แปลกที่จะโดนใครต่อใครเข้าใจผิดว่าเป็นผู้ชาย แถมเจ้าตัวยังชอบพิมพ์สื่อสารมากกว่าพูดใส่ไมค์ตรงๆ

 

แม้จะเป็นการพูดแบบขอไปทีเพื่อตัดรำคาญ แต่หวงเส้าเทียนกลับหูตั้งพรึ่บขึ้นมา รู้สึกเหมือนตนค้นพบความลับยิ่งใหญ่ของโลก!

 

 

หวงเส้าเทียนร้องลั่นโวยวายกับคู่หูของตนเอง “เชี่ยๆๆ กัปตันๆๆ ทำไมหมอนั่นถึงเป็นผู้หญิงได้ล่ะ!”

 

“เจี่ยเจียก็เป็นผู้หญิงมาตั้งแต่แรกแล้ว!” เยี่ยชิวที่อยู่ด้านหลังแทรกขึ้นมาในระยะประชิด หวงเส้าเทียนสะดุ้งโหยงหน้าแดงแปร๊ด กระโดดถอยห่างสาวงามไปหลบหลังกัปตันอย่างว่องไวไม่เสียชื่ออริยดาบ

 

“เรามาเริ่มซ้อมกันเถอะครับ” อวี้เหวินโจวยิ้มให้เยี่ยชิวอย่างเป็นธรรมชาติ ทำตัวเสมือนว่าไม่มีสุนัขใดๆ มาเกาะหลังทั้งสิ้น

 

 

“เยี่ยชิว เยี่ยชิว pk กัน pk pk pk pk pk pk pk pk pk pk pk pk” ดูเหมือนหวงเส้าเทียนจะเลิกตื่นสาวงามแล้ว หลังจากแพ้มาสามตาก็ลุกขึ้นท้าเทพเยี่ยไม่หยุดหย่อน

“เส้าเทียน” หลังโดยกัปตันปรามไปหนึ่งที ไพ่ราชาแห่งหลานอวี่ก็เงียบไปหนึ่งนาที จากนั้นก็กลับมาฝอยต่อเหมือนเดิม

“อยาก pk กับเจี่ยเจีย?” ในที่สุดเยี่ยชิวก็หมุนเก้าอี้กลับมาเผชิญหน้ากับเขา หวงเส้าเทียนกระดิกหางระริกระรี้

“ใช่ ใช่ มา pk กันเถอะ โอกาสหายากนา! ไม่รีบคว้าไว้ระวังจะชวด ของดีมีน้อยอย่าชักช้า มา มา มา”

“อาศัยอะไร?” เยี่ยชิวโพล่งมาประโยคหนึ่ง หวงเส้าเทียนก็ชะงักงัน

“เอ่อ เอ่อ ได้ประลองฝีมือกับอริยดาบอย่างฉันไง! ไม่เคยได้ยินเหรอ รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง!”

เยี่ยชิวมองเหยียด “อย่างนายมีอะไรให้ต้องเรียนรู้ด้วยหรือ!”

 

ถูกสาวเจ้าหยามขนาดนั้น แม้จะเป็นหวงเส้าเทียนก็กระอักเลือดแล้ว แต่ลูกผู้ชายไม่ยอมแพ้ง่ายๆ!

 

“ฮึ่ม มาสู้กันให้รู้ดำรู้แดงไปเลยดีกว่า เดี๋ยวจะหาว่าเกอรังแกผู้หญิง!”

“ถ้างั้น…คนแพ้ทำตามคำขอของผู้ชนะเป็นไง?” มือเรียวเรียบเนียนดุจหยกเนื้อดียกขึ้นเท้าคาง หวงเส้าเทียนมองตามอย่างตื่นตะลึง “ว่าไง” เทพเยี่ยเอียงคอมองไพ่ราชาของอีกฝ่ายที่หน้าแดงถึงลำคอ หวงเส้าเทียนหลับหูหลับตาพ่นคำพูดอย่างรวดเร็ว

“ด..ได้เลย! เกอรับคำท้า! สนามไหนว่ามา ให้ไว ให้ไว ให้ไว”

 

อวี้เหวินโจวรู้ว่าป่วยการจะไปห้ามปราม จึงปล่อยให้เลยตามเลยโดยที่ตนเองเฝ้าดูห่างๆ

 

หลังจากนั้น…ไม่มีหลังจากนั้นแล้ว อริยาดาบโดนอัดอ่วมสนิท เทพสงครามใช้ทวนฟาดเอาๆ แม้ตนจะหาทางโต้ตอบเอาคืนได้บ้าง แต่ก็ไม่ชนะสักตา

 

“เกือบแย่เหมือนกันนะ!” เยี่ยชิวเอ่ยทั้งๆ ที่คาบบุหรี่ไว้ในปาก ดูไม่อนาธรณ์ร้อนใจผิดจากถ้อยคำที่พูดเป็นอย่างมาก

“เชี่ย ไว้คราวหน้าฉันไม่แพ้อย่างนี้แน่นอน! ถึงตอนนั้นต้องมาสู้กันอีกนะ เข้าใจไหมเหล่าเยี่ย!”

“หนี้เก่ายังไม่ได้ใช้ จะสร้างหนี้ใหม่อีกแล้วหรือไง”

“เชี่ย” หวงเส้าเทียนโดนเทพเยี่ยหยอกจนหน้าแดงอีกแล้ว ลูกทีมหลานอวี่ส่ายหน้ายกผ้าซับน้ำตาให้แก่หวงเส้าเทียนในใจ ตกหลุมใครไม่ตก ดันไปตกหลุมจอมมาร–แค่ก เทพเยี่ยซะได้

 

 

หากหวงเส้าเทียนรู้เรื่องที่จะเกิดขึ้นในอนาคต หัวเด็ดตีนขาดยังไงเขาก็ไม่ยอมตกลงข้อเสนอของเยี่ยชิวอย่างแน่นอน

 

 

 

หวงเส้าเทียนสวมโม่งปิดคลุมทั้งใบหน้าให้มิดชิด เมื่อแน่ใจว่าไม่มีใครจดจำเขาได้อย่างแน่นอนจึงค่อยๆ ย่างกรายเข้าไปในประตูกระจกใส

 

นี่ร้านเน็ต! ร้านเน็ตเชียวนะ! เกิดโม่งแตกขึ้นมาล่ะบรรลัยแน่!

 

“เชี่ยๆๆๆ เธอเห็นไหม ฉันต้องโม่งแตกแล้วแน่ๆ ดูสิๆ ทุกคนมองมาทางฉันหมดเลย เชี่ย ผ้าคลุมฉันยังอยู่ไหมเนี่ย!”

 

“อย่าโวยวายน่า เส้าเทียน” เยี่ยชิวรำคาญจนต้องเอามือไปอุดปากหมาพูดมาก เมื่อสัมผัสนุ่มนิ่มนาบลงมา อริยดาบก็ตัวแข็งทื่อ ได้แต่บ่นหงุงหงิงทั้งๆ ที่หน้าแดงเถือก เดินตามมาอย่างว่าง่าย

 

“เชี่ย จะเอาฉันมาลงดันกระจอกๆ เนี่ยนะ เธอรู้ไหมว่าเกอลงสนามทีค่าตัวเป็นแสนเลยนะเฟ้ย!” หวงเส้าเทียนฮึดฮัด ทำไมยัยนี่ถึงใช้เขาอย่างกับสัตว์อัญเชิญ! ไม่เห็นคุณค่ากันบ้างเลย! หวงเส้าเทียนน้อยใจหนักมาก

 

“นายนั่งเครื่องนี้นะ” เยี่ยชิวโน้มตัวลงมาเปิดเครื่อง ขณะเดียวกันก็บอกกับหวงเส้าเทียนไปด้วย ริมฝีปากบางแทบจะแนบชิดกับใบหูของอีกฝ่าย

 

ชายหนุ่มกระสับกระส่ายเล็กน้อย เสียงที่ได้ยินในโลกแห่งความเป็นจริงไม่ผ่านไมโครโฟนฟังดูแปร่งหูและจั๊กจี้นิดๆ

 

อาจเป็นเพราะไม่พบเยี่ยชิวมานานมากแล้ว…

 

หลังเสร็จสิ้นการลงดัน หวงเส้าเทียนพูดมากจนคอแห้ง ก็ชะโงกหน้ามองตรงเคาท์เตอร์และบริเวณโดยรอบ หลังจากมั่นใจว่าปลอดภัย จึงเดินไปยังที่ที่เยี่ยชิวอยู่

 

เธอมองอีกฝ่ายอย่างแปลกใจ แต่ก็เขยิบให้มีเก้าอี้ว่างตัวหนึ่ง ซี่งเพียงพอแล้วต่อหวงเส้าเทียนคนนี้

 

“ทำไมถึงชอบเล่นตัวผู้ชายอยู่เรื่อยเลยเนี่ยเหล่าเยี่ย” หลังจากเก็บของตีมอนไปสักพัก หวงเส้าเทียนที่สังเกตการเปลี่ยนแปลงของร่มแสนกลจู่ๆ ก็ถามขึ้นด้วยความสงสัย

“ไม่มีเหตุผลอะไรเป็นพิเศษหรอก” เยี่ยชิวตอบง่ายๆ ทว่ามุมปากกลับปรากฏรอยยิ้มเศร้าหมองขึ้นมาวูบหนึ่ง

 

หวงเส้าเทียนสังเกตเห็นมัน และไม่ได้พูดอะไร

 

“เธอจะกลับมาใช่ไหม” เยี่ยชิวชะงักเมื่อสัมผัสได้ถึงน้ำเสียงที่เปลี่ยนไปจริงจังกระทันหันของหวงเส้าเทียน แต่ก็ตอบตามตรง

“แน่นอน”

“มีอะไรให้ช่วยต้องบอกนะ! ห้ามหายไปเงียบๆ แบบนี้อีก ฉันเป็นห่วงรู้ไหม”

“เข้าใจแล้ว”

“เห็นว่าวันนี้ลำบากหรอกนะ! เกอถึงยอมสละเวลามาช่วย”

 

เยี่ยชิวมองหวงเส้าเทียนที่ฮึดฮัดเสียบการ์ดลงบนเครื่องอย่างแปลกใจ ยังจะช่วยเธอเก็บวัตถุดิบอีกหรือ

 

ตัวละครที่เพิ่งล็อกอินปรากฏอยู่ข้างๆ เธอ เป็นตัวละครดาษๆ ที่หาได้ทั่วไป เลเวลไม่ได้สูงเป็นพิเศษ อาชีพจอมยุทธ์ดาบ แต่สิ่งที่ทำให้เยี่ยชิวชะงักเพราะมันเป็นไอดีตัวละครเพศหญิง ชื่อที่ขึ้นเหนือศีรษะเขียนว่าหลิวหลิว

 

“แค่อยากเปลี่ยนบรรยากาศเฉยๆ! ไม่ได้กลัวเหล่าเยี่ยจะเหงาหรอกนะ!” อีกฝ่ายอธิบายอย่างรวดเร็วราวกับร้อนตัว เมื่อเยี่ยชิวหัวเราะเบาๆ หวงเส้าเทียนจึงก่นด่าผู้หญิงหน้าไม่อายอย่างโมโห รัวมากไปจนไอค่อกแค่ก

 

ฉับพลันก็มีน้ำผึ้งมะนาวเย็นๆ วางไว้ข้างโต๊ะ

 

“ดื่มสิ”

 

เยี่ยชิวบอกยิ้มๆ มองดูสองตัวละครชายหญิงที่เคียงคู่กันเก็บเลเวล ทันใดนั้นก็เสมือนมีภาพซ้อนขึ้นมา หนึ่งชายคือนักเวทสงคราม หนึ่งหญิงคือผู้ใช้ปืนใหญ่

 

นิ้วมือที่บังคับพลันกระตุกเล็กน้อย จนโดนหวงเส้าเทียนบ่นยาวอีกระรอก

 

เธอนั่งอยู่อย่างนั้น ไม่ได้ส่งเสียงตอบรับกลับไป ในใจซึบซาบกระแสบางอย่างที่ค่อยๆ ผุดขึ้นมา

 

วันนี้เยี่ยชิวค้นพบบางสิ่งบางอย่าง

 

 

เสียงที่พร่ำพูดอยู่ข้างกายเธอนั้น…

 

 

 

สามารถขับไล่ความอ้างว้างให้เลือนหายไปได้ดีเหลือเกิน

 

 

 

 

 

 

 

END

 

เมื่อไหร่จะสอบเสร็จจจจ/โหยหวน

QZGS

[Fic QZGS] – ผืนฟ้าและธารา (อวี้เยี่ย)

หุบเขามังกรเป็นที่สถิตของเทพมังกรดำ

หนึ่งพันปีก่อนเทพมังกรดำหอบหิ้วทวนศึกคู่ใจ กรีธาทัพกำราบมารอสูรจนแตกพ่าย พวกมารต่างหวาดกลัวเข็ดหลาบ คุณนามความดีสะเทือนฟ้าดินครั้งนั้นทำให้เทพมังกรได้รับสมญานามว่าเทพแห่งสงคราม

ทั่วภพสวรรค์แซ่ซ้องสรรเสริญ เง็กเซียนฮ่องเต้จึงพระราชทานตำหนักเจียซื่อให้แก่เทพมังกรดำเป็นรางวัล อีกทั้งยังมอบหมายให้ปกครองผืนนภาฝั่งทิศบูรพา ต่อมาเทพอสูรจำนวนหนึ่งรวมตัวเป็นกบฏในภพสวรรค์ เทพมังกรดำจำต้องยกทัพไปปราบอีกครา แม้จะสามารถปราบปรามทัพกบฏได้สำเร็จ ทว่าสงครามก็สร้างผลกระทบให้แก่เทพมังกรเป็นอันมาก เทพมังกรจึงต้องจำศีลอยู่ในตำหนักอย่างยาวนานเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บ ภายหลังที่ตั้งของตำหนักจึงถูกเรียกขานกันว่าหุบเขามังกรเฉกเช่นทุกวันนี้

ทว่าหุบเขามังกรกลับเป็นสถานที่ที่เงียบเหงาไปสักหน่อย

บรรดาสัตว์ป่าและเทพเซียนอาศัยอยู่อย่างสงบเสงี่ยม เมื่อผู้เป็นนายยังคงอยู่ในสภาวะจำศีลมาเนิ่นนาน ข้ารับใช้ก็ไม่มีกระจิตกระใจจะรื่นเริง โดยรวมจึงพอฝืนพูดได้ว่าเงียบสงบดีเท่านั้น

แม้ร่างจะยังอยู่ในตำหนัก แต่หุบเขาแห่งนี้กลับมีม่านพลังสีทองอันกล้าแกร่งปกคลุมอยู่ทั่ว มันคือพลังส่วนหนึ่งที่เทพมังกรดำเหลือทิ้งไว้ก่อนเข้าสู่การจำศีล ทำให้ผู้ที่ไม่ได้รับอนุญาตไม่สามารถกล้ำกรายเข้ามาได้ บริวารของเทพมังกรต่างเฝ้ารอคอยถึงวันที่เทพสงครามผู้เกรียงไกรจะฟื้นตื่นขึ้นมาอีกครั้ง

กาลเวลาไหลผ่านไปอีกนับร้อยปี

ในที่สุดนัยน์ตาสีทองสุกสว่างก็ได้เปิดขึ้นมาอย่างเชื่องช้า

—–

เทพมังกรดำขยับตัวเล็กน้อย

มือขาวผ่องที่เดิมวางไว้บนหน้าอกถูกยกขึ้นมานวดศีรษะ ถึงตอนนี้เทพมังกรดำจึงเพิ่งสังเกตว่าเส้นผมสีเข้มดุจเปลือกไม้สนของตนบัดนี้ยาวระพื้นเสียแล้ว ภาพเหตุการณ์ก่อนหลับใหลฉายวาบผ่านในชั่ววินาที

เยี่ยซิวคือนามของเขา

นามของแม่ทัพแห่งแดนสวรรค์ นามของเทพมังกรผู้แข็งแกร่งเหนือผู้ใด

เหนือผู้ใดงั้นหรือ

เทพมังกรนึกขัน จับจ้องมือที่สั่นระริกของตนเอง

ด้วยอาการบาดเจ็บภายในที่สั่งสมมาเนิ่นนาน ด้วยมือคู่นี้แม้แต่จะยกทวนเชวี่ยเสียยังยกไม่ขึ้นเลยด้วยซ้ำ

แท้จริงในการออกศึกแต่ละครั้ง เยี่ยซิวใช่ว่าจะไม่บาดเจ็บเอาเสียเลย เพียงแต่ข้าศึกรุกไล่เข้ามาใกล้ทุกขณะ ทำให้เขาไม่ทันได้รักษาอาการบาดเจ็บของตนเองให้หายดีก็จำต้องออกไปรบอีกครั้ง เป็นเช่นนี้อยู่หลายครา ในที่สุดอาการบาดเจ็บเรื้อรังก็ส่งผลในศึกสุดท้าย ทว่าเขาก็เอาชีวิตรอดมาได้อย่างหวุดหวิด

เทพมังกรที่ได้รับบาดแผลฉกรรจ์แลกกับการทำหน้าที่ให้ลุล่วงได้รับเสียงยกย่องชื่นชมจากเหล่าทวยเทพ เมื่อถึงคราวที่เขาได้รับพระราชทานความชอบ เยี่ยซิวจึงทูลออกไปอย่างไม่ลังเล

“หม่อมฉันขอลาออกจากการเป็นแม่ทัพพะย่ะค่ะ”

ภายในบอบช้ำถึงขีดสุด เขารู้สภาพร่างกายตนเองดีว่าถึงขีดจำกัด ไม่สามารถที่จะนำทัพต่อกรพวกมารได้อีกต่อไป

เง็กเซียนฮ่องเต้เองก็ทรงทราบถึงความนัยของเขา จึงอนุญาตให้ลาพักได้อย่างไม่มีกำหนด ทั้งยังพระราชทานข้าวของล้ำค่ามากมายให้แก่เขาอีกด้วย จากนั้นเขาก็จำศีลไปนานนับพันปี ตื่นขึ้นอีกคราก็พบว่าตนฟื้นฟูกำลังกลับมาได้เพียงสามส่วนเท่านั้น

ทวนเชวี่ยเสียเป็นอาวุธที่สร้างมาเพื่อเขา และเกิดมาเพื่อเขาอย่างแท้จริง เมื่อครั้งเทพมังกรยังกล้าแกร่ง เขาพยายามเสาะหาอาวุธคู่มืออยู่นานแต่ไม่สามารถหาพบ จำต้องสร้างขึ้นมาเอง ด้ามหอกทำมาจากหินนิลกาฬในแดนเทพอสูร พู่ประดับทำมาจากขนกิเลนไฟ ตัวหอกใช้แร่จันทราที่ได้รับพระราชทานมาจากเง็กเซียนฮ่องเต้ เมื่อมีเขาย่อมมีเชวี่ยเสีย ร่วมต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่จนกลายเป็นคู่หูที่รู้ใจที่สุด ขนาดตนอ่อนแอถึงเพียงนี้ ทวนเชวี่ยเสียก็ยังยินยอมให้เขาจับ แม้จะไม่สามารถกวัดไกวเพื่อต่อสู้ได้แล้วก็ตาม

มังกรดำค่อย ๆ ได้สติขึ้นมาจากห้วงความคิดของตน

สู้ได้หรือไม่แล้วอย่างไร ในเมื่อความทรงจำเหล่านั้นก็เป็นเพียงอดีต ตอนนี้ตัวเขาเพิ่งจะมีกำลังเพียงแค่สามส่วน และต่อให้จำศีลไปอีกพันปี ก็ยังไม่แน่ว่ากำลังจะกลับคืนมาถึงห้าส่วนหรือไม่

เยี่ยซิวถอนหายใจอย่างปลดปลง ความรู้สึกสนุกยามออกรบแน่นอนว่าเขาย่อมนึกถึง แต่ไม่เสียดาย สายน้ำไม่ไหลย้อนกลับเช่นใด ชีวิตก็ต้องดำเนินต่อไปเช่นนั้น

เทพมังกรดำตัดสินใจแล้วว่าจะใช้ชีวิตต่อไปเช่นนี้เอง

—-

ผู้ที่ได้รับฉายาว่าเทพสงครามนอนเอกเขนกอยู่บนเตียงอย่างเกียจคร้าน

เทพรับใช้ที่ปกติจะทำความสะอาดอยู่ที่ตำหนักชั้นนอก เมื่อถึงกำหนดวันที่ต้องทำความสะอาดตำหนักชั้นในเปิดมาเจอภาพเทพมังกรกึ่งนั่งกึ่งนอนก็ตกใจเสียจนล้มตึง ผ่านไปกว่าครึ่งชั่วยามจึงได้สติและกุลีกุจอเข้ามารับใช้

“ท่านเทพต้องการสิ่งใดหรือไม่ขอรับ” เซียนตัวน้อยร่างสั่นงกเอ่ยอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ เทพมังกรท่านนี้เป็นที่เลื่องลือไปทั่วแดนสวรรค์ ต้องรับใช้ให้ดี!

กระนั้นมังกรหนุ่มก็โบกมือให้เซียนน้อยทำตัวตามสบาย เดิมเขาก็ไม่ชอบพิธีรีตองอะไรอยู่แล้ว

“หิวหรือยัง” เทพมังกรหันไปกล่าวกับทิศทางหนึ่ง เซียนน้อยเอียงหัวงุนงง มองตามสายตาของเทพมังกรก็พบงูเกล็ดสีขาวปลอดเลื้อยอยู่บนแขนของท่านเทพอย่างเชื่องช้า มันมองเขาด้วยตาใสแจ๋ว แลบลิ้นสองแฉกออกมาหนึ่งครั้ง

ท่านเทพมังกรเลี้ยงงูด้วยหรือ

เซียนน้อยฉงน แต่เมื่อเห็นสัญลักษณ์รูปดาวหกแฉกที่กึ่งกลางหน้าผากของเจ้างูก็คาดว่าคงเป็นอสูรรับใช้ของเทพมังกรกระมัง วกกลับมาที่ใบหน้าของท่านเทพผู้เป็นนายเหนือหัวก็ปรากฏรอยยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม เซียนน้อยจึงหน้าแดงและอดตำหนิตนเองที่สอดรู้สอดเห็นเกินไปไม่ได้

เยี่ยซิวจิ้มที่หัวของงูขาวเบา ๆ แล้วหัวเราะเมื่อเห็นมันไม่หลบ แต่ใช้ดวงตากลม ๆ มองกลับมาอย่างน้อยอกน้อยใจแทน

เขาพบงูขาวตนนี้พลัดหลงเข้ามาเมื่อหลายวันก่อน จากรอยตราสีครามที่หัวของมันคงจะเป็นอสูรรับใช้ของเทพเซียนตนใดในหุบเขาสักตน เขาไม่รู้ว่ามันเข้ามาถึงตำหนักได้อย่างไร ตอนพบกันครั้งแรกเจ้างูขาวแค่เลื้อยมาข้างเตียงของเขาเงียบ ๆ เมื่อเห็นเขาตื่นขึ้นมาเจอมันเจ้างูก็ดูตกใจมากทีเดียว แต่ไม่นานก็เข้ามาคลอเคลียด้วยท่าทางดีใจ นับจากนั้นทุก ๆ วันเขาจะตื่นมาแล้วมีงูขาวหนึ่งตัวอยู่เป็นเพื่อน

เขาเปิดสำรับที่เซียนน้อยนำมาให้ เทพไม่จำเป็นต้องทานอาหารมากอยู่แล้ว เยี่ยซิวทานไม่กี่คำก็วางตะเกียบลง เจ้างูน้อยหยุดกินส่วนของมัน หันมาจ้องเขม็ง

“หืม อะไรหรือเสี่ยวไป๋” เทพมังกรเรียกตั้งชื่อเจ้างูน้อยตามลักษณะของมัน อาจจะดูมักง่ายไปเสียหน่อย แต่เจ้าตัวน้อยก็ดูชอบใจดี

เสี่ยวไป๋เลื้อยมาพันมือเขา หันหัวผงกไปทางชามข้าวที่กินเหลือไว้

เยี่ยซิวยิ้มอย่างจนใจ แต่ก็ยอมใช้ตะเกียบคีบข้าวเข้าปากเพิ่มอีกหลายคำ เสี่ยวไป๋ดีใจอย่างยิ่ง เอาหัวมาถูไถกับแก้มเขายกใหญ่

“ท่านเทพมังกรขอรับ ข้ามาปรนนิบัติท่านอาบน้ำขอรับ”

หลังมื้อเย็นเซียนน้อยอีกตนก็ถืออ่างใบเล็กเข้ามาด้วยท่าทางนอบน้อม เสี่ยวไป๋ชูคอขึ้น ส่งเสียงฟ่อ ๆ ใส่ผู้มาใหม่ เยี่ยซิวโบกมือไล่กลับไป เขาเป็นเทพ อาบไม่อาบก็ไม่เห็นจะเป็นอะไร ไม่สกปรกเสียหน่อย แต่เมื่อเห็นท่าทางอยากรู้อยากเห็นของเสี่ยวไป๋แล้ว เยี่ยซิวจึงยอมพาเจ้างูน้อยไปดูห้องอาบน้ำเสียหน่อย

อ่างน้ำสร้างมาจากหินอ่อนขนาดใหญ่บรรจุน้ำจนเต็ม ควันสีขาวที่ลอยออกมาเป็นระยะทำให้ทัศนวิสัยดูขุ่นมัว เสี่ยวไป๋ชะโงกลงไปดูในอ่างน้ำ เหมือนอยากจะลงไปเล่นแต่ไม่กล้า

เยี่ยซิวหัวเราะขบขัน ปลดสายรัดสีเขียวอ่อนลง อาภรณ์สีเข้มเลื่อนหลุดจากไหล่เผยให้เห็นหัวไหล่กลมมน ขาเรียวยาวก้าวลงไปในอ่างน้ำทีละข้าง กลุ่มเส้นไหมสีเข้มสยายอยู่ในอ่างน้ำ

“มานี่สิ เสี่ยวไป๋” ร้องเรียกพร้อมยื่นมือไปให้เสี่ยวไป๋ที่ดูลุกลี้ลุกลนครู่หนึ่ง จากนั้นก็เลื้อยเข้ามาโดยใช้ลำตัวพันรอบแขนของเขา ส่วนปลายหางก็พันนิ้วของเขาเอาไว้

หนึ่งมังกรหนึ่งงูอาบน้ำกันมานานพอสมควร เยี่ยซิวก็ขึ้นจากผิวน้ำ ใช้ผ้าแพรบางเบาสีดำสวมทับ จากนั้นก็ปีนขึ้นเตียง หลับไปอย่างง่วงงุน

งูขาวเลื้อยขึ้นมาบนหน้าอกของเทพมังกร เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายหลับไปทั้งๆ ที่ผมยังเปียกชื้น สัญลักษณ์ดาวหกแฉกก็เรืองแสงสีครามขึ้นวูบหนึ่งแล้วจางหายไป พร้อมกับเส้นผมยาวที่กลับมาแห้งสนิทเช่นเดิม

วันนี้เยี่ยซิวตื่นด้วยอารมณ์แปลกใหม่

พวกเซียนตัวน้อย ๆ พวกนั้นไม่ขวัญกล้าขนาดมารบกวนการพักผ่อนของเขา ดังนั้นเสียงโหวกเหวกโวยวายย่อมมาจากแขกที่น่ารักน่าชังแน่แท้

เยี่ยซิวป้องปากหาวหวอดแล้วยันตัวขึ้นนั่ง เสี่ยวไป๋ที่หลับอยู่ในอกเสื้อก็ดูจะตื่นขึ้นมาเหมือนกัน เทพมังกรเยื้องย่างออกจากตำหนักอย่างเชื่องช้า ดูเอื่อยเฉื่อยเป็นที่สุด

“เอะอะโวยวายอะไร”

“เหล่าเยี่ย!”

เทพผู้มาเยือนที่กำลังพล่ามฉอด ๆ ชะงักตะโกนเรียกเขาเสียงดัง เขาหรี่ตาลงเล็กน้อย เจ้าเด็กนี่ยังหนวกหูไม่เปลี่ยน

“ข่าวลือที่บอกว่าเจ้าตื่นแล้วเป็นความจริงด้วย!! หลับไปนานเป็นบ้า! ตะไคร่ขึ้นหรือยังฮึ! ไหนๆ มาให้เกอดูสารรูปหน่อยซิ!” ร่างที่มีหูชี้ตั้งและหางปุกปุยส่ายไปมารีบเข้ามาล้อมหน้าล้อมหลังเขา เยี่ยซิวยิ้มเรื่อย ๆ มองเทพสุนัขที่ตระหนกตกใจ “เพ้ย! ยังยิ้มได้หน้าหมั่นไส้เหมือนเดิมไม่เปลี่ยนเลยนะ ในที่สุดเจ้าก็ตื่นเสียที นอนเพลินหรือไง”

“อืม” เขารับคำง่าย ๆ “นอนเพลินไปหน่อย”

“เพ้ย ๆ เจ้าไม่ใช่เยี่ยซิวตัวจริง!” เจ้าหมาตาโต จากนั้นก็มองเขาขึ้น ๆ ลง ๆ หลายรอบ แล้วเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเสียงแฝงความตื่นตระหนก “พลังของเจ้า…”

จำศีลไปพันปียังไม่หายดี นี่บาดเจ็บหนักถึงขั้นไหนกันแน่

“ไม่ต้องห่วงเกอหรอก!”

“ใครห่วง!” เทพสุนัขขี้ห่วงยังคงไม่ยอมรับ “เอานี่ไปเลย นี่ด้วย นี่ นี่ แล้วก็นี่”

สมุนไพรบำรุงถูกยัดเยียดจากหวงเส้าเทียนเสียจนเต็มไม้เต็มมือมังกรหนุ่ม เขาเงยหน้ามองหวงเส้าเทียนที่ยืดอก ทำหน้าตาเหมือนกำลังบอกว่า ชมสิ ชมข้าสิ

“เยอะแยะขนาดนี้ ไม่ใช่ไปขโมยหวังต้าเหยี่ยนมาหรอกหรือ?”

“เพ้ย ๆ ๆ ใครจะไปหน้าไม่อายอย่างเจ้า! ตาแก่หน้าไม่อาย! ข้าอุตส่าห์ไปหามาอย่างยากลำบาก ฮึ ต้องบุกน้ำลุยไฟผ่านอุปสรรคอะไรมาตั้งมากมาย! ข้าน่ะ—”

“อ้อ งั้นเกอขอบใจมาก” เยี่ยซิวกล่าวง่าย ๆ เพื่อตัดประโยคที่ดูจะยืดยาวได้มากกว่านี้ของเทพสุนัข ที่จริงเจ้าหนูนี่มีน้ำใจเอาสมุนไพรมาให้เขา ไม่ใช่ร้องเอาแต่ท้าสู้เหมือนสมัยยังเยาว์ก็ดีมากแล้ว

“ฮึ่ม รู้ก็ดีแล้ว เอ๊ะ นั่นอะไรยุกยิก ๆ ในอกเจ้าน่ะ!” เทพสุนัขร้องไม่ทันขาดคำ งูตัวยาวสีขาวพิสุทธิ์ก็ค่อยๆ โผล่หน้าขึ้นพ้นรอยแยกของเนื้อผ้า ดวงตากลมจ้องมองไปยังฝ่ายตรงข้ามอย่างนิ่งสงบ

“งู? เดี๋ยวนี้เจ้าเลี้ยงงูด้วยหรือ อสูรรับใช้นี่นา ธาตุน้ำเสียด้วย อ๊ะ จะว่าไปก็ดูคุ้นตาอยู่นะ” หวงเส้าเทียนพูดรัวเร็ว

“เจ้ารู้จัก?”

นั่นทำให้เทพมังกรต้องมาระหกระเหินในป่าที่ไม่เคยมีความคิดจะมาสำรวจเลยสักเสี้ยวเดียว

“นี่น่ะ เป็นอสูรรับใช้ของเจ้านั่นไง! เทพธารานั่นน่ะ!”

“เทพธาราหรือ?”

“เจ้าต้องระวังไว้นะ! อุ๊บ ข้าพูดมากกว่านี้ไม่ได้หรอก นึกถึงรอยยิ้มเจ้านั่นแล้วหนาว ๆ อย่างไรบอกไม่ถูก…”

“อ้อ เทพธาราผู้นั้นอยู่ที่ใดหรือ”

หวงเส้าเทียนมองเขาด้วยสายตาแปลกประหลาด

 “เจ้านั่นน่ะ….

 

 …ก็อยู่ด้านล่างหุบเขามังกรไม่ใช่หรือไร

 

ใช่ เพียงประโยคเดียวเท่านั้น…เยี่ยซิวจึงต้องเดินวนอยู่ในป่าเป็นเวลากว่าสองชั่วยาม

ไม่ว่าจะทางไหนก็เหมือน ๆ กันหมดมิใช่หรือ? เหตุใดเมื่อสุ่ม ๆ ไปสักทางก็วนกลับมาที่เดิมได้?

ไม่รู้ว่าฟ้าดินเป็นใจหรือก่อนหน้าเขาถูกฟ้าดินลงโทษกันแน่ บัดนี้เมื่อเขาเดินตามลำธารมาเรื่อย ๆ ก็พบว่าลำธารหลายสายของหุบเขาแห่งนี้มาบรรจบกันเป็นแม่น้ำขนาดใหญ่ ตรงกึ่งกลางมีตำหนักขนาดใหญ่ที่สร้างจากผลึกแก้วทอประกายสีฟ้าจางสมชื่อ

ตำหนักพิรุณสีคราม

 เยี่ยซิวคิดว่าตนอาศัยอยู่เพียงผู้เดียวในหุบเขามาโดยตลอด ไม่นับเทพบริวารที่ถือเป็นคนของเขาเช่นเดียวกัน หากไม่มีหวงเส้าเทียน ผ่านไปอีกร้อยปีก็ไม่แน่ว่าเขาจะทราบหรือไม่

เยี่ยซิวได้ยินเสียงอ่อนหวานดังแผ่วมาจากที่ไกล ๆ เสียงนั้นหวีดหวิวคล้ายเสียงร่ำไห้ของหญิงสาว หากแต่อ่อนโยนดุจสายน้ำ และเต็มเปี่ยมไปด้วยความอารมณ์คิดคำนึง

ร่างหนึ่งนั่งอยู่บนโขดหิน มือทั้งสองข้างจับขลุ่ยใบไม้ที่แนบริมฝีปากอย่างสง่างาม ใช้เพียงแค่ลมที่ปล่อยออกมาบรรเลงบทเพลงได้อย่างน่าอัศจรรย์ ดวงตาหลับพริ้มราวกับกำลังดื่มด่ำกับห้วงเวลาที่ถูกสร้างขึ้น ไม่มีผู้ใดสามารถรุกล้ำเข้าไปได้

เยี่ยซิวรอจนเสียงเพลงเงียบลงแล้วจึงย่างเท้าเข้าไป เป็นจังหวะเดียวกับที่ชายผู้นั้นลืมตาขึ้นมา

รอยยิ้มนุ่มนวลแต่งแต้มอยู่บนใบหน้า ดวงตาเรียวรีหยีโค้งลง กล่าวต้อนรับบุคคลที่เขารอคอย

รอมาเนิ่นนาน…นานเหลือเกิน…

 

“ยินดีต้อนรับสู่ตำหนักของข้า ท่านเทพมังกร”

QZGS

[Fic QZGS] – Sweetaholic III (ซุนเยี่ย)

Fic 全职高手 – Sweetaholic III (ซุนเสียง x เยี่ยซิว)
#ซุนเยี่ย
note : ในที่สุดก็มีวันนี้!

ตอนก่อนหน้า : I , II

 

 

 

“นอกจากผม มีคนอื่นที่เป็นเค้กอีกไหม”

 

เสียงกระซิบดังขึ้นในระยะประชิด

 

คำถามแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยทำให้เยี่ยซิวชะงักเล็กน้อย ชายหนุ่มสูดนิโคตินเข้าปอด นึกไล่รายชื่อนักกีฬาอาชีพในหัว ดูเหมือนจะมีอยู่ไม่กี่คน

 

“แล้วก็…หานเหวินชิง”

 

พอเอ่ยชื่อสุดท้าย ใบหน้าของซุนเสียงก็แปรเปลี่ยนไปวูบหนึ่ง แต่นั่นไม่รอดพ้นสายตาของเยี่ยซิว

 

บุหรี่ถูกยื้อแย่ง ความหวานนุ่มของครีมนมดึงดันเข้ามาด้านใน เยี่ยซิวไม่ขัดขืน เพียงปล่อยตัวไปตามความอ่อนหวานที่ได้รับ

 

ภายในห้องที่เงียบสงัด สิ่งที่ได้ยินมีเพียงเสียงลมหายใจที่สอดประสาน และเสียงหัวใจของตนเอง

 

 

 

ควันสีขาวลอยเอื่อย

 

เยี่ยซิวเหม่อมองมันครู่หนึ่ง ก่อนได้สติกลับมาเพราะเสียงโครกครากที่ดังขึ้น ชายหนุ่มขยับตัวเปลี่ยนท่านั่งให้สบายตัวกว่าเดิม ไม่มีทีท่าจะลุกขึ้นไปหาของกินแต่อย่างใด

 

หลังจากที่ซุนเสียงกลับไปคืนนั้น เยี่ยซิวก็ไม่ได้เจอเด็กหนุ่มอีกเลย

 

สำหรับฟอร์ค อาหารอะไรก็ตามล้วนไร้รสชาติ ไม่ว่าจะน่ากินแค่ไหน กลิ่นหอมแค่ไหน เมื่อได้รับประทานก็จืดชืดไม่ต่างจากการเคี้ยวยางลบ

 

เยี่ยซิวไม่มีความอยากอาหาร แต่ยอมรับว่าเมื่อมีรสชาติของเค้ก เขาก็พลอยเจริญอาหารไปด้วย

 

เขาลูบหน้าท้องของตน นึกถึงรสชาตินุ่มลิ้น ผสมกลิ่นของเนยและนมสดยิ่งรู้สึกน้ำลายสอ

 

เยี่ยซิวเคยมีความคิดที่จะหยุดกินเค้กจากเด็กหนุ่มหลายครั้ง

 

เมื่อก่อนที่ไม่เคยได้ลิ้มลองนั้น เยี่ยซิวคิดว่าตนสามารถหักห้ามใจได้ แต่พอได้ชิมรสชาติของซุนเสียงแล้ว การจะกลับมาเป็นเหมือนเดิมนั้นยากกว่าหลายเท่า

 

เยี่ยซิวไม่มีโทรศัพท์ QQ จึงเป็นช่องทางการเดียวที่พวกเขาใช้ติดต่อกัน มันนิ่งเงียบไม่มีสัญญาณจากอีกคนมาเกือบเดือนแล้ว

 

ดูเหมือนจะโกรธจริงๆ เยี่ยซิวรู้สึกจนใจ

 

 

ซุนเสียงเป็นคนดื้อดึง

 

เป็นคนหนุ่มที่มีพลังงานเหลือล้น ให้ความรู้สึกพุ่งพล่านกระหายอยากในชัยชนะ ทำให้นึกย้อนไปยังสมัยที่เขาเข้ามาในกลอรี่แรกๆ ความร้อนแรงเช่นนี้ทำเอาเยี่ยซิวรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา ยอมรับว่าถูกใจเด็กหนุ่มคนนี้อยู่ไม่น้อย

 

แต่เพราะความสัมพันธ์เป็นเรื่องละเอียดอ่อน

 

การที่เขาแตะต้องซุนเสียง ปลดปล่อยความต้องการให้อีกฝ่ายเพราะว่าต้องการกินเค้ก นั่นไม่มีปัญหาอะไร แต่หากซุนเสียงเป็นฝ่ายขยับเข้ามาใกล้ขีดเส้นแบ่งของเขาเรื่อยๆ นั่นคือมีปัญหานิดหน่อยแล้ว

 

ภายใต้ใบหน้าเฉยชา แท้จริงแล้วซ่อนความคิดไว้มากมาย

 

ระหว่างพวกเราแค่ความใคร่ แค่การแลกเปลี่ยนเพื่อผลประโยชน์ที่ยุติธรรม เยี่ยซิวเชื่อแบบนั้นมาโดยตลอด

 

แต่ถ้าหากว่าไม่ใช่แค่นั้นล่ะ

 

 

เยี่ยซิวพ่นลมหายใจสีขาวออกมายาวเหยียด

 

เรื่องความสัมพันธ์อะไรนี่ เขาไม่ถนัดเลยจริงๆ

 

 

 

“…ซิว! เยี่ยซิว!”

 

เสียงตะโกนดังขึ้นข้างหู เยี่ยซิวผงะถอย จากนั้นก็เห็นใบหน้าถมึงทึงของผู้เป็นเจ้านายเต็มสองตา จึงถามด้วยน้ำเสียงเจื่อนๆ

 

“เจ้านายมีอะไรหรือ”

“ยังจะถามอีก!” เฉินกั่วควันออกหู “คนอื่นเขาจะไปกันหมดแล้ว นายเก็บของหรือยังฮะ!” เธอมองไปรอบตัวของหมอนี่ ยังไม่เห็นกระเป๋าเสื้อผ้าเลยแม้แต่ใบเดียว

“อ้อ ก็ไปสิ!” เยี่ยซิวจัดแจงปิดเครื่องคอมพิวเตอร์แล้วลุกขึ้นตามเฉินกั่วไปตัวเปล่า เจ้านายสาวมองอย่างเอือมระอา แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร

 

ในที่สุดก็ถึงเวลาของสัปดาห์งานออลสตาร์

 

หลังจากเหตุการณ์นั้น จะว่าไวก็ไว จะว่าช้าก็ช้า

 

เฉินกั่วไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าตามหลังมา จึงหันกลับไปเห็นว่าเยี่ยซิวเหม่ออีกแล้ว เมื่อเธอตะโกนเรียก หมอนั่นถึงสะดุ้งแล้วเดินตามมาอย่างเอื่อยๆ

 

เธอรู้สึกเป็นห่วงเล็กน้อย พักหลังเยี่ยซิวดูเหม่อลอยอย่างไรชอบกล ข้าวปลาก็ไม่ค่อยแตะ หวังว่าคงไม่เป็นลมล้มพับไปหรอกนะ

 

 

เมื่อมาถึงเมือง S ด้วยการนำทางของเยี่ยซิว ทำให้พวกเธอรอดพ้นจากการหลงทางไปได้อย่างหวุดหวิด ระหว่างที่ดูรายการน้องใหม่ขอท้าอย่างเมามันเยี่ยซิวก็ขอตัวไปเข้าห้องน้ำ เธอก็โบกมือส่งๆ อย่างไม่ใส่ใจ

 

เยี่ยซิวกลับมาด้วยใบหน้าขาวซีดเล็กน้อย เฉินกั่วยังไม่ทันได้ถามก็โดนอีเว้นท์บนเวทีดึงความสนใจไปหมดสิ้น

 

เนื่องจากเพราะวันที่สองเยี่ยซิวใช้ท่ามังกรผงกเศียร เพื่อหลีกเลี่ยงการโม่งแตก วันที่สามเยี่ยซิวจึงไม่ได้มาร่วมด้วย เฉินกั่วเมื่อรู้ว่าเยี่ยซิวคือคนเดียวกันกับมหาเทพเยี่ยชิวที่ตนเทิดทูนบูชาก็กลับไปรบเร้าให้เยี่ยซิววิเคราะห์การเล่นวันนี้เสียยกใหญ่ เมื่อตนพอใจจึงปล่อยเยี่ยซิวกลับห้องไปได้

 

เยี่ยซิวเหงื่อตกเล็กน้อย สาวๆ นี่เอาใจยากจริงๆ

 

เยี่ยซิวนึกอยากสูบบุหรี่ขึ้นมาจึงตบกระเป๋ากางเกง พบว่าในกระเป๋าว่างเปล่า นิ่งคิดสักพักก็ตัดสินใจลากสังขารตัวเองลงไปร้านสะดวกซื้อที่อยู่ฝั่งตรงข้าม

 

จ่ายเงินเสร็จแค่ครู่เดียว กลิ่นหอมประหลาดก็โชยมาแตะจมูก

 

เยี่ยซิวเผลอสูดเข้าปอดอย่างลืมตัว กลิ่นหวานๆ เช่นนี้เขาเคยได้กลิ่นมันมาก่อน

 

“รุ่นพี่?”

 

เสียงเรียกเบาๆ ดังขึ้นจากด้านหลัง เยี่ยซิวปรับสีหน้าให้เป็นปกติ หันไปยิ้มเรื่อยๆ ให้เด็กหนุ่มที่ดูจะทำตัวไม่ถูกเมื่อพบเจอมหาเทพโดยบังเอิญ

 

“รุ่นพี่มาซื้อของหรือครับ” เฉียวอี้ฟานถามอย่างสุภาพเกรงใจ ตัวเขาถูกรุ่นพี่ในสโมสรใช้ให้มาซื้อน้ำอย่างเคย ซึ่งเขาก็ยอมมาอย่างไม่อิดออด ไม่คาดคิดว่าจะได้มาพบเยี่ยซิวที่นี่

 

“อืม ฉันไปก่อนล่ะ!” เยี่ยซิวขอตัว รีบพาตัวเองออกห่างจากเฉียวอี้ฟานอย่างแนบเนียน เด็กหนุ่มดูงุนงง แต่ก็ไม่ได้เอ่ยรั้งเอาไว้

 

 

เยี่ยซิวหลบเข้าไปในตรอกร้างผู้คน คู้ตัวลงและหอบหายใจแรง กลิ่นของเฉียวอี้ฟานในระยะประชิดทำให้เขาแทบขาดสติ

 

เขาเคยได้ยินว่าหากฟอร์คได้ลองลิ้มรสเค้กแล้ว การจะควบคุมตนเองจะต่ำลง คล้ายกับบางคนที่เคยกินผักมาทั้งชีวิต แต่พอได้ลองกินเนื้อแล้วก็กลับไปแค่กินผักอย่างเดิมไม่ได้อีกต่อไป

 

และยิ่งเป็นเยี่ยซิวที่ก่อนหน้าได้กินเค้กอยู่เป็นประจำ แต่คราวนี้กลับขาดเค้กไปเป็นเวลานาน ดังนั้นเมื่อพบเจอเค้กที่ดูจะหอมอร่อย เยี่ยซิวก็เริ่มคุมสติไว้ไม่อยู่

 

ใช่ เด็กคนนั้น–เฉียวอี้ฟานเป็นเค้ก

 

เขารู้เมื่อหลังงานออลสตาร์วันแรก เขาไปพบเด็กหนุ่มที่ร้องไห้อยู่ในอุโมงค์ยาว กลิ่นหอมที่ลอยอบอวลทำให้เยี่ยซิวนึกรู้ได้ทันที เขาต้องจิกเล็บลงไปในเนื้อแรงๆ หลายครั้ง จึงดึงตัวเองกลับมาได้

 

“…! รุ่นพี่!”

 

เยี่ยซิวรู้สึกเหมือนแขนของเขาถูกสอดเพื่อพยุงตัวขึ้น กลิ่นที่จางหายเริ่มกลับมาอีกครั้ง เขาจับแขนเฉียวอี้ฟานแน่น พยายามเค้นเสียงออกมาอย่างยากลำบาก

 

“…ถอย…ไป…”

 

เด็กหนุ่มตื่นตกใจปนสับสน อาการของรุ่นพี่เยี่ยชิวไม่เหมือนคนป่วย แต่เหมือน…คนที่เป็นฟอร์ค

 

ตอนเด็กๆ เฉียวอี้ฟานเคยโดนฟอร์คพุ่งเขาหา จากนั้นเขาเลยรู้ว่าตนเป็นเค้ก เพื่อความปลอดภัย พ่อแม่จึงให้เขาศึกษาพฤติกรรมของฟอร์คเพื่อหลีกเลี่ยง ซึ่งรุ่นพี่ตอนนี้ก็ดูเหมือนฟอร์คในยามคลั่ง…ไม่สิ รุ่นพี่ดูควบคุมตัวเองได้ดีกว่าฟอร์คพวกนั้นมาก

 

เห็นเหงื่อที่เกาะพราวบนใบหน้าของอีกฝ่ายแล้วเฉียวอี้ฟานก็นึกสงสาร ชายหนุ่มยื่นมือที่ไร้สิ่งปกปิดของตนไปไว้เบื้องหน้าของอีกคน

 

“รุ่นพี่…กินเถอะครับ”

 

พอเยี่ยซิวส่ายหน้าปฏิเสธ เฉียวอี้ฟานก็ร้อนใจ ขยับมือเข้าไปจ่อปากของเยี่ยซิวยิ่งขึ้น เขาแค่อยากช่วยให้รุ่นพี่ร่วมอาชีพของตนพ้นจากความทรมานเท่านั้น

 

เยี่ยซิวเริ่มที่จะทนไม่ไหวแล้วจริงๆ ขณะกำลังเผยอปาก เสียงตวาดลั่นก็ดังสะท้อนไปทั่วทั้งตรอก

 

“ทำอะไรกันน่ะ!!!”

 

 

 

 

ซุนเสียงรู้สึกหงุดหงิดมาก

 

เขาเปิดหน้าต่าง QQ ขึ้นมารอบที่สิบของวัน จากนั้นก็ปิด เปิดรอบที่สิบเอ็ด สิบสอง วนอยู่อย่างนั้นเหมือนไม่รู้จักจบสิ้น

 

บทสนทนายังคงเป็นประโยคเดียวกันกับครั้งล่าสุดที่พวกเขาคุยกัน ผ่านมาเป็นเดือนแล้ว ก็ยังไม่มีข้อความใหม่จากผู้ที่อยู่อีกฟากเช่นเคย

 

คนคนนั้น…เห็นเขาเป็นแค่เค้กจริงๆสินะ

 

ซุนเสียงพ่นลมหายใจแรงๆ อย่างงุ่นง่านสับสน นึกอยากวิ่งไปดูคนหน้าไม่อายฝั่งตรงข้าม แต่ก็ข่มกลั้นไว้สุดความสามารถ

 

นี่เขากำลังทำบ้าอะไรอยู่ เขาเป็นคนตัดสินใจแบบนี้เองไม่ใช่หรือไง

 

ซุนเสียงพยายามสงบใจลง นึกครุ่นคิดหาเหตุผลมาดึงความสนใจของตนเอง แต่เมื่อเผลอนึกไปถึงท่าทีของอีกฝ่ายก็หงุดหงิดขึ้นมาอีกครั้ง

 

“ได้ยินว่าทางผู้จัดออลสตาร์จะขอเชิญเยี่ยชิวไปร่วมล่ะ”

 

ซุนเสียงหยุดชะงัก หูผึ่งอย่างรวดเร็ว

 

“นั่นสิ แต่ได้ยินว่าเยี่ยชิวไม่มีมือถือ ไม่รู้ว่า…”

 

เสียงพูดคุยเริ่มห่างออกไป ซุนเสียงยืนนิ่ง

 

ถ้างั้นคงได้เจอกันที่งานออลสตาร์สินะ?

 

ราวกับมีใครมาราดน้ำให้มอดดับ จิตใจที่ร้อนรุ่มของซุนเสียงเริ่มกลับมาสงบนิ่ง กลายเป็นว่าเขาเฝ้ารอคอยสัปดาห์งานออลสตาร์อย่างใจจดใจจ่อแทน

 

 

ไม่มี

 

ซุนเสียงพยายามเพ่งมอง แต่ก็ไม่เห็นเงาของใครคนนั้นเลยแม้แต่น้อย

 

ความรู้สึกไร้ที่ระบายทำให้ซุนเสียงหัวเสียง่ายกว่าปกติ ถึงขนาดเห็นหน้าของกัปตันแห่งป้าถูแล้วก็นึกถึงตอนที่เยี่ยซิวตอบคำถามตน

 

‘แล้วก็…หานเหวินชิง’

 

จากนั้นซุนเสียงจึงท้าทายอีกฝ่ายอย่างไม่คิดหน้าคิดหลัง ผลสรุปคือพ่ายแพ้กลับมา

 

 

ลูกทีมของเจียซื่อต่างเข้าหน้ากัปตันของตนไม่ติด แม้แต่หลิวเฮ่าที่ชอบประจบประแจงอยู่ข้างๆ ก็หลีกหนีหายไปไกล

 

ใครใช้ให้ช่วงหลังกัปตันซุนดูอารมณ์ไม่ดีขนาดนั้นล่ะ! เหมือนหมาป่าที่พร้อมจะตะปบใครก็ตามที่เข้าใกล้ไม่มีผิด! ลูกทีมเจียซื่อน้ำตาไหลพราก แถมวันแรกกัปตันก็พ่ายแพ้แก่หานเหวินชิง วันนี้เลยพกความอัดอั้นมาเต็มอัตรา

 

ขณะที่ซุนเสียงทำหน้าเหมือนพร้อมจะขย้ำใครสักคน การแข่งขันบนเวทีก็ดำเนินต่อไป ตู้หมิงจากทีมเจ้าบ้านยังคงแข่งขันอย่างดุเดือดกับสาวงาม ซุนเสียงไม่ได้ใส่ใจมันเท่าไหร่ จนกระทั่ง…

 

“มังกรผงกเศียร! ใครอยู่บนแท่นควบคุม!!”

 

คนทั้งงานต่างแตกตื่น ซุนเสียงเผลอผุดลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว กวาดมองหาร่างที่คุ้นเคย แต่ก็คว้าน้ำเหลว

 

 

วันที่สามเยี่ยชิวไม่มา

 

ลูกทีมเจียซื่อพากันหลบหลีกกัปตันซุนเช่นเดิม กัปตันที่ดูดุร้ายแบบนี่พวกเขาขอไม่ยุ่งเกี่ยวด้วยแล้วกัน เจียซื่อยกขโยงกลับที่พักด้วยความกระอักกระอ่วนเช่นนี้เอง

 

ซุนเสียงรู้สึกกระสับกระส่าย นอนก็นอนไม่หลับ เสมือนมีบางสิ่งกวนใจเขาอยู่ ชายหนุ่มตัดสินใจเลือกลงไปเดินรับลมด้านล่าง ที่พักของเจียซื่ออยู่ใกล้กับเวยเฉ่า ซุนเสียงหวังว่าคงไม่เจอคนจากสโมสรอื่นตอนนี้

 

ชายหนุ่มรู้สึกคอแห้งเล็กน้อย จึงเดินเข้าร้านสะดวกซื้อ แต่สายตาคมปลาบเหลือบไปเห็นเงาร่างขยับไหวอยู่ภายในตรอก

 

ท่าทางแบบนั้น…เด็กจากเวยเฉ่าไม่ใช่หรือไง?

 

ซุนเสียงเข้าใกล้จนได้ยินเสียงพูดคุยเบาๆ ดังลอดออกมา

 

“…ย….ไ…”

 

“รุ่นพี่…กินเถอะครับ” น้ำเสียงแฝงความเป็นห่วงและคะยั้นคะยอทำให้ซุนเสียงติดใจสงสัย ทันใดนั้นเองโครงร่างที่คุ้นเคยปรากฏเข้าสู่ครรลองสายตา

 

เยี่ยชิว!?

 

ซุนเสียงเบิกตากว้าง มองร่างของเยี่ยชิวที่ถูกตระกองกอดไว้โดยเฉียวอี้ฟาน ท่าทางใกล้ชิดเกินกว่าจะเป็นแค่คนรู้จักทั่วๆ ไป

 

จากคำพูดที่ตนได้ยินก่อนหน้า รวมทั้งท่าทางของทั้งคู่ ซุนเสียงนำมาประมวลผลอย่างรวดเร็ว หรือว่าเฉียวอี้ฟานจะเป็นเค้ก…แล้วเยี่ยชิวกำลังจะกินเด็กหนุ่มคนนั้นงั้นหรือ?

 

ซุนเสียงกำหมัดแน่น

 

ทำแบบนี้กับใครก็ได้งั้นหรือ ไม่ใช่ว่าต้องเป็นเขา แต่ขอแค่เป็นเค้กก็พอ?

 

ซุนเสียงขบกรามจนขึ้นเป็นสันนูน

 

ถ้าเป็นคนอื่น ก็จะทำแบบนี้เหมือนกันสินะ?

 

ริมฝีปากนั่นจะจูบกับคนอื่น มือคู่นั้นจะสัมผัสกับคนอื่น ร่างกายนั้นนั้นจะถูกโอบกอดโดยคนอื่น

 

ในสายตาของเยี่ยชิวเขาก็เป็นแค่เค้ก…เป็นแค่ของที่ถูกแทนที่ได้อย่างง่ายดาย

 

ไม่ยอมหรอก

 

 

 

“ทำอะไรกันน่ะ!!!”

 

สองร่างผละออกจากกันด้วยความตกใจ ซุนเสียงสาวเท้าเข้าไปอย่างช้าๆ ด้วยสีหน้าอึมครึม

 

“รุ่นพี่…ซุนเสียง?” เฉียวอี้ฟานมองหน้าซุนเสียงสลับกับเยี่ยซิวอย่างสับสน

 

“ทางนี้ฉันจัดการเอง นายไปได้แล้ว”

 

“แต่ว่า…” เฉียวอี้ฟานทำท่าจะค้าน แต่เมื่อถูกแรงกดดันที่มองไม่เห็นจากซุนเสียง เด็กหนุ่มก็ปิดปากเงียบ เฉียวอี้ฟานหันไปมองเยี่ยซิวด้วยความเป็นห่วง แต่หลังจากเห็นซุนเสียงเข้าไปพยุงเยี่ยซิวด้วยตัวเองก็เริ่มวางใจ

 

ยังไงรุ่นพี่ก็เคยอยู่เจียซื่อมาก่อน คงสนิทกันพอควรนั่นล่ะ

 

พอคิดหาเหตุผลได้แล้วเด็กหนุ่มก็ถอยออกไปอย่างสุภาพ ด้วยเกรงว่าจะรบกวนเวลาของทั้งสอง โดยไม่รู้เลยว่าเยี่ยซิวอยากรั้งตนเองไว้ใจจะขาด ยิ่งเห็นสีหน้าของซุนเสียง เยี่ยซิวแทบจะตะโกนเรียกให้เฉียวอี้ฟานกลับมาเลยทีเดียว

 

เยี่ยซิวกลืนน้ำลายเหนียวหนืดลงในลำคอ

 

“เสี่ยว…อึก!”

 

ลำตัวถูกดันกระแทกเข้ากับผนัง ตามด้วยร่างกายใหญ่โตกว่าเขาเกือบสิบเซนฯ วาดแขนกักกันตัวเขาเอาไว้ ซุนเสียงหรี่ตาลง ดวงตาฉายแววดุร้ายอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน

 

“แค่ผมยังไม่พอหรือไง!” ชายหนุ่มกระชากเสียง เยี่ยซิวยังไม่ทันได้ตอบโต้กลีบปากก็ถูกครอบครองจากอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว ด้วยความตกใจเยี่ยซิวจึงกัดเข้าเต็มแรง

 

กลิ่นสนิมลอยคละคลุ้ง แต่ร่างกายเยี่ยซิวกลับแข็งทื่อ

 

หวาน…

 

รสชาติครีมนมฟุ้งกระจายเต็มโพรงปาก ที่เขาว่ากันว่าเลือดของเค้กมีรสชาติหวานที่สุดดูท่าจะเป็นความจริง

 

เยี่ยซิวขยับเรียวลิ้น ตอบสนองกลับอย่างตะกละตะกลาม

 

มากกว่านี้อีก

 

เดิมทีเยี่ยซิวก็ควบคุมตัวเองไม่ค่อยได้อยู่แล้ว การได้ลิ้มรสชาติที่โหยหามานานทำให้หลงลืมตัวตนไปจนหมดสิ้น

 

เอวถูกอีกฝ่ายรวบเอาไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่ทราบ เยี่ยซิวครางอือเมื่อถูกรุกเร้าจนหายใจไม่ทัน ซุนเสียงเอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบพร่า ลมหายใจร้อนพรั่งพรูปะทะใบหน้าของอีกคน

 

ซุนเสียงตัดสินใจแล้ว เขาจะไม่ยอมปล่อยเยี่ยชิวไปเด็ดขาด

 

“ถ้าอยากกินมากกว่านี้ล่ะก็…สัญญาสิ ว่าจะมีแค่ผม”

 

เยี่ยซิวหิวจนหน้ามืดตาลาย ถูกหลอกล่อด้วยน้ำเสียงแบบนั้นก็เกือบจะพยักหน้าตกลงไปแล้ว ดีที่เขารู้สึกตัวก่อน

 

…เจ้าเด็กซุนเสียงร้ายขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่

 

ซุนเสียงเดาะลิ้นอย่างขัดใจเมื่อเห็นว่าเยี่ยซิวไม่ตอบตกลงกลับมา ชายหนุ่มมอบจูบหวานๆ ปรนเปรอให้อีกฝ่ายมัวเมาอีกครั้ง ก่อนจะอาศัยจังหวะที่เยี่ยซิวเคลิบเคลิ้มกระซิบข้างหู

 

“นี่…วันนี้ไปห้องผมนะ”

 

คราวนี้ซุนเสียงไม่รอให้เยี่ยซิวประมวลผลอะไรทั้งนั้น จัดแจงหิ้วอีกฝ่ายขึ้นห้องโดยไม่ให้อีกฝ่ายมีโอกาสได้ปฏิเสธ

 

 

เยี่ยซิวรู้สึกเหมือนกำลังล่องลอย รสชาติหอมกรุ่นของนมสดลอยคลุ้งไปทั่ว จนเมื่อแผ่นหลังสัมผัสกับเตียงนุ่มถึงรู้ว่าตนเองถูกโรมรันจนเนื้อตัวเปล่าเปลือยไปตั้งนานแล้ว

 

“เสี่ยว…เสี..ยง…อื้อ”

 

เสียงที่เปล่งออกมาฟังดูน่าอายและติดขัด ลำคอและลาดไหล่ถูกขบกัดสลับจุมพิตไปทั่ว เยี่ยซิวหอบหายใจ ยิ่งถูกป้อนด้วยจูบหวานนุ่มยิ่งรู้สึกไร้เรี่ยวแรงขัดขืน

 

ไรผมเปียกชื้น เยี่ยซิวโน้มตัวขึ้นไปพรมจูบตามฐานคอของอีกฝ่ายอย่างเผลอไผล ซุนเสียงเหงื่อออกเยอะมาก ใบหน้าหล่อเหลาขึ้นสีแดงจัด กลิ่นหอมของนมสดก็เข้มแรงตามไปด้วย เยี่ยซิวพลิกตัวอย่างกระสับกระส่าย รู้สึกเหมือนไม่ค่อยเป็นตัวของตัวเอง

 

ลิ้นอ่อนนุ่มตวัดเกี่ยวพัน ของเหลวใสถูกแลกเปลี่ยนกันอย่างไม่รู้เบื่อ เยี่ยซิวครางหวิว เมื่อถูกฝ่ามือร้อนรุ่มปัดป่ายไปทั่วผิวกายก็กระถดตัวหนี แต่ร่างกายแข็งแรงของชายหนุ่มหมาดๆ ก็ติดตามมาอย่างไม่ลดละ

 

เมื่ออีกฝ่ายประกบริมฝีปากลงมา เยี่ยซิวก็ส่งเสียงในลำคออย่างท้อแท้ เขาไม่มีทางหนีแล้ว

 

ซุนเสียงมองลูกแก้วสุกใสที่เริ่มเหม่อลอยเคลิบเคลิ้มไปกับรสชาติที่เขามอบให้ เขารู้ดีว่าเยี่ยชิวชอบรสชาติของเขา

 

ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร

 

ซุนเสียงพร่ำบอกตัวเองซ้ำๆ

 

จะชอบแต่รสชาติของเขาก็ไม่เป็นไร ชอบแค่ที่เขาเป็นเค้กก็ไม่เป็นไร ตราบใดที่เยี่ยชิวยังยอมให้เขาเข้าใกล้อยู่ สักวันอีกฝ่ายต้องชอบเขาเหมือนที่ชอบรสชาติของเขาแน่นอน

 

ตอนนี้เขาทำได้เพียงทำให้เยี่ยชิวมัวเมาหลงใหลอยู่ในรสชาติของเขาจนไม่มีเวลาไปสนใจคนอื่น อย่างน้อยให้ได้สักครึ่งหนึ่งของความรู้สึกหลงใหลที่เขามีต่ออีกฝ่ายก็พอ

 

“แค่ผมได้ไหม…”

 

เยี่ยซิวเบิกตากว้าง เมื่อครู่เจ้าเด็กนี่ว่าไงนะ

 

ซุนเสียงแนบใบหน้าเข้ากับฝ่ามือของอีกฝ่าย พูดพึมพำอย่างแผ่วเบาแต่ชัดเจน

 

“ขอร้องล่ะ อย่าไปสัมผัสคนอื่นเลย อย่าไปสนใจคนอื่นเลย ถ้าพี่ต้องการ จะให้ผมมาเมื่อไหร่ก็ได้…

 

…แต่ขอแค่ผมได้ไหม”

 

น้ำเสียงเจือแววอ้อนวอน เจือแววดื้อดึงเอาแต่ใจ

 

ดวงตาที่มองสบเข้ามา บ่งบอกว่าทั้งหมดนี้คือความจริง

 

เด็กเย่อหยิ่งคนนั้น มาวันนี้เหมือนยอมสยบให้แก่เขาโดยสิ้นเชิง เหมือนหมาป่าโดดเดี่ยวที่ยอมให้มนุษย์ธรรมดาๆ ล่ามปลอกคอเอาไว้

 

“…เยี่ยเกอ”

 

 

ความหมายของสายตานั้น ทำไมเยี่ยซิวจะมองไม่ออก

 

ดวงตาของเยี่ยซิวไหวระริก ราวกับได้ยินเสียงอะไรบางอย่างขาดผึง

 

เป็นเส้นบางๆ ที่ขวางกั้นเอาไว้ เส้นบางๆ ที่จะว่าแข็งก็แข็ง จะว่าเปราะก็เปราะเหลือเกิน เส้นที่กั้นความรู้สึกทั้งหมดทั้งมวลของเขา บัดนี้มันได้ทะลักทลายลงมา

 

 

ทุกอณูในอกสั่นไหว

 

กล่าวได้ว่าเยี่ยซิวนั้นพ่ายแพ้แล้ว

 

พ่ายแพ้ต่อความซื่อตรงของซุนเสียง

 

 

เยี่ยซิวยกมือลูบใบหน้าของชายหนุ่มที่เขาเพิ่งได้พิจารณาอีกฝ่ายอย่างเต็มตา เขายืดตัวขึ้นจุมพิตที่มุมปากซุนเสียงเบาๆ แล้วยกยิ้ม ทุกอย่างผ่านการกระทำ ปราศจากคำพูดใดๆ

 

ซุนเสียงตาโต นี่หมายถึง…อนุญาตแล้วใช่หรือเปล่า?

 

ยังไม่ทันได้คิดอะไรมากกว่านั้น เยี่ยซิวก็เป็นฝ่ายพลิกกลับมาด้านบน

 

“เยี่ยชิว” ซุนเสียงเอ่ยเสียงพร่า อีกฝ่ายส่ายหน้าเบาๆ แล้วเอ่ยแก้ “เยี่ยซิว”

 

เยี่ยซิวก้มลง ค่อยๆ กัดชิมผิวหนังที่ตึงแน่นมีสุขภาพดี แตกต่างจากเขาโดยสิ้นเชิง

 

ในปากรับรู้ได้ถึงเนื้อเค้กเนียนนุ่มผสานกับรสหวานนุ่มของนมสด ลิ้นอุ่นๆ ไล่จากไหปลาร้าที่เป็นเส้นนูนชัดเจน ประทับจูบลงบนรอยบุ๋มตรงกลาง จากนั้นก็ลากมาจนถึงหน้าท้องตึงแน่น และลงต่ำไปกว่านั้น

 

เยี่ยซิวโลมเลียสิ่งที่ตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้า ค่อยๆ ใช้ลิ้นลากไล้ไปช้าๆ จนสุดความยาว ดูดเลียเหมือนแท่งไอศกรีม…หรือบางทีอาจจะเป็นแท่งไอศกรีมในความคิดของเยี่ยซิวจริงๆ เพียงแต่เป็นไอศกรีมที่อุ่นร้อนไปสักหน่อยเท่านั้น

 

สูดหายใจเข้าอย่างแรงเมื่ออีกฝ่ายใช้ความอ่อนนุ่มที่ห่อหุ้มเขาขยับขึ้นลง ชายหนุ่มสอดมือเข้าไปใต้เรือนผมนุ่ม แก่นกายกระตุกสามสี่ครั้งก่อนจะทำการปลดปล่อยในโพรงปากของอีกคน

 

เยี่ยซิวเลิกคิ้ว ใช้มือปาดเอาของเหลวขุ่นที่เลอะตามมุมปากแล้วแลบลิ้นเลีย จากนั้นก็เหยียดยิ้มเหมือนกำลังท้าทาย

 

นัยน์ตาของซุนเสียงเข้มวาว เผชิญหน้ากับการยั่วยวนโดยไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็แล้วแต่ แต่เรื่องนี้เขาใช่ว่าจะทนได้

 

โดยเฉพาะการที่เขาอดทนที่จะไม่ทำเกินกว่าจูบกับเยี่ยซิวมาหลายเดือนแล้ว ให้ทนต่อไป ก็เกรงจะไม่ไหวเช่นกัน

 

โลกของเยี่ยซิวพลิกกลับด้าน จากนั้นเค้กก็เป็นฝ่ายเริ่มชิมฟอร์คแทน

 

ซุนเสียงรวบมืออีกฝ่ายเอาไว้ ขบกัดตามผิวเนื้อขาวเนียน

 

หวานเหลือเกิน

 

“คุณทั้งหวานทั้งนุ่ม”

 

ซุนเสียงอดพึมพำออกมาไม่ได้ เยี่ยซิวหัวเราะผสานเสียงหอบหายใจ อกหยอกเย้าอีกฝ่ายไม่ได้

 

“เกอ..ไม่ใช่เค้กสักหน่อย”

 

ซุนเสียงใช้นิ้วบุกเบิกช่องทางอ่อนนุ่ม ปลายนิ้วครูดเข้ากับผนังอุ่นร้อน หลังจากขยายออกพอประมาณ เขาก็สอดแทรกตัวตนของตนเองเข้าไปอย่างอดใจไม่ไหว

 

“อ๊ะ…อึก” เยี่ยซิวสะอึกในลำคอ สูดหายใจเข้าปอดลึกเมื่อสิ่งที่ใหญ่โตกว่านิ้วหลายเท่าค่อยๆ รุกล้ำเข้ามา ซุนเสียงรอให้อีกฝ่ายเริ่มคุ้นชิน จากนั้นก็ขยับอย่างเชื่องช้า

 

“..ฮึก…อื้อ”

 

ความเจ็บปวดเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นความกระสันเมื่อซุนเสียงกระแทกถูกบางจุดในร่างกายของเยี่ยซิว ลมหายใจร้อนรุ่มที่แลกเปลี่ยนซึ่งกันและกัน ไม่มีวันให้อีกฝ่ายสัมผัสคนอื่นนอกจากเขา ไม่มีวันให้อีกฝ่ายทอดทิ้งเขา

 

ซุนเสียงมองร่างในอ้อมแขนที่ใกล้ชิดกันจนลมหายใจหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียว

 

คนคนนี้ต้องเป็นของเขา

 

สะโพกขยับถี่ เยี่ยซิวสะอื้นฮัก แยกขารองรับความต้องการที่โหมกระหน่ำเข้ามา ความร้อนฉีดพุ่งเข้าไปในร่างกาย เติมเต็มช่องทางกลวงเปล่าด้วยทั้งหมดของเขา พร้อมกันกับที่ร่างของเยี่ยซิวกระตุกริก สายธารขุ่นเปรอะเปื้อนหน้าท้องขาว

 

เยี่ยซิวพลิกตัวฟุบหน้าลงกับหมอนอย่างเหนื่อยอ่อน เพียงครู่เดียวสิ่งที่ยังค้างอยู่ในตัวเขากลับแข็งขืนขึ้นมาอีกครั้ง

 

“เยี่ยเกอ…อีกรอบนะ”

 

เยี่ยซิวได้แต่ส่งเสียงประท้วงอู้อี้กับหมอนใบโต จากนั้นช่องทางด้านหลังก็ถูกอีกฝ่ายรังแกอย่างไร้ปราณี เยี่ยซิวทำได้เพียงครวญครางไม่เป็นศัพท์

 

 

 

ไม่รู้ทำไม เขาถึงรู้สึกว่าเค้กอย่างซุนเสียงดูจะเอร็ดอร่อยกว่าฟอร์คอย่างเขาเสียอีก

 

 

 

 

 

 

 

 

END

 

ตอนนี้ไม่มีใครย้ายเรือกันใช่ไหมคะ ซุนเยี่ยนะ ซุนเยี่ย (ฮา)

ไม่รู้ว่ามีใครสังเกตบ้างหรือเปล่า แต่ถ้าอ่านดีๆ ในเรื่องความรู้สึกของพี่เยี่ยเราแอบใบ้ๆ ไว้ตั้งแต่ต้นเรื่อง(รวมทั้งตอนก่อนๆ)แล้วล่ะค่ะ(หัวเราะ) พี่เยี่ยก็แค่คนมีกำแพงสูงหน่อยเท่านั้นเอง เสี่ยวเสียงพังลงไปได้แล้ว ต่อจากนี้ก็สู้ๆ นะ!

เรื่องนี้ยังไม่จบดี ถ้าขยันจะคลอดตอนพิเศษออกมานะ!

QZGS

[Fic QZGS] – The rainy day, when I met a cat 2 (ส่านซิว)

[AU Fic 全职高手] – The rainy day, when I met a cat 2 (ส่านซิว)
ชื่อไทย : อย่าปล่อยบอสไว้กับแมว
#ส่านซิว #CEOทาสแมว
Genre : slice of life,fantasy,romantic
note : คาดว่าทุกคนคงลืมเรื่องนี้แล้ว คำเตือน มีตัวละครที่ยังไม่ปรากฏในเล่มปัจจุบัน

ตอนก่อนหน้า : 1

 

 

 

 

– กฏของการเป็นทาสแมวข้อที่ 1 : ใส่ใจดูแลเรื่องอาหารการกินอยู่เสมอ –

 

 

 

 

ปี๊บ ปี๊บ ปี๊บ

 

นาฬิกาดิจิตอลส่งเสียงดังน่ารำคาญในยามเช้า ปลุกชายหนุ่มที่หลับไหลให้ฟื้นจากห้วงนิทรา ซูมู่ชิวลืมตาขึ้น ดวงตาสีน้ำตาลไร้แววง่วงงุน ชายหนุ่มลุกขึ้นเสยผมด้านหน้าที่ปรกดวงตา มือที่ปัดป่ายไปด้านข้างด้วยความเคยชินปะทะกับกลุ่มขนนุ่มนิ่ม

 

ที่แท้ก็เป็นสัตว์เลี้ยงตัวใหม่ที่เขาพึ่งเก็บมาเลี้ยงเมื่อวานนั่นเอง

 

แมวดำยังคงนอนขดตัวอยู่ด้านข้างอย่างสบายอารมณ์ อาซิวหลับตาพริ้ม เสียงครืดคราดในลำคอส่งผ่านปลายนิ้วมือของชายหนุ่ม รอยยิ้มถูกวาดบนริมฝีปาก เขาลูบหัวมันสองสามที ก่อนจะลุกขึ้นจากเตียง

 

 

“ตื่นแล้วหรือคะ”

 

เสียงกังวาลใสแจ๋วดังออกมาจากในครัวเมื่อเขาเปิดประตูออกมา ซูมู่ชิวขานรับ เห็นแผ่นหลังเล็กๆ กำลังยุ่งวุ่นวายกับการเตรียมอาหาร ก็เอ่ยไถ่ถามน้องสาวเพียงคนเดียวของตน

 

“เมื่อคืนกลับมากี่โมง”

 

ซูมู่เฉิงหัวเราะ ด้วยรู้นิสัยขี้เป็นห่วงของพี่ชายตนเองดี จึงหันกลับมายิ้มให้

 

“กลับมาตอนห้าทุ่มค่ะ”

 

ซูมู่ชิวพยักหน้า นั่งลงที่โต๊ะอาหาร หยิบหนังสือพิมพ์ขึ้นมาอ่านหัวข้อข่าวที่น่าสนใจยามเช้า ไม่ถึงห้านาทีโจ๊กร้อนๆ หอมกรุ่นก็ถูกวางลงตรงหน้าของเขา

 

“ฝีมือทำอาหารของเธอนับวันยิ่งดีขึ้นเรื่อยๆ เลย!” ซูมู่ชิวตักชิมไปคำนึงแล้วถอดถอนใจ น้องสาวเขานับวันจะยิ่งโตขึ้นเรื่อยๆ แล้ว

 

ซูมู่เฉิงหัวเราะ ตักโจ๊กส่วนของตัวเองแล้วไปนั่งลงตรงข้ามกับพี่ชายของตน “ก็ดีแล้วนี่คะ ฉันจะได้ทำอาหารให้พี่กินบ่อยๆ ไง!”

 

ซูมู่ชิวส่ายหน้า ทำท่าจะพูดอะไรบางอย่าง แต่กลับถูกเสียงร้องเบาๆ ที่ด้านล่างดึงความสนใจไปเสียก่อน

 

“พี่เลี้ยงแมวด้วย!” ซูมู่เฉิงร้องวี๊ดว๊าย ตาเป็นประกายเมื่อเห็นเจ้าเหมียวน้อยน่ารักเดินนวยนาดอยู่ใต้โต๊ะ จากนั้นเจ้าแมวดำก็กระโดดขึ้นมานั่งบนเก้าอี้ข้างพี่ชายตน แต่เนื่องจากเก้าอี้เป็นเก้าอี้สำหรับคน ไม่ใช่สำหรับแมว มันจึงโผล่มาได้แค่ส่วนหัวเท่านั้น เรียกสายตาเอ็นดูจากซูมู่เฉิงมากขึ้นไปอีก

 

ซูมู่ชิวทำหน้าแปลกประหลาด เจ้าแมวดำนี่จะแสนรู้ไปหน่อยหรือไม่?

 

“พี่พึ่งเก็บมันกลับมาเมื่อวานน่ะ” เห็นซูมู่เฉิงเดินไปเล่นกับแมวอย่างกระตือรือร้น เขาจึงเอ่ยขึ้น “ชื่ออาซิว”

“น่ารักมากเลย” สาวน้อยก็ยังเป็นสาวน้อยอยู่วันยังค่ำ เธอเกาคางให้อาซิวเบาๆ เจ้าแมวดำหลับตาพริ้ม อยู่นิ่งๆ ให้หญิงสาวเล่นกับมันตามสบาย

 

หลังจากซูมู่เฉิงสังเกตเห็นอาหารแมวที่วางอยู่บนชั้น จึงลุกขึ้นเพื่อไปหยิบอาหารมาเทให้สมาชิกใหม่ แต่กลับโดนซูมู่ชิวขัดก่อน

 

“เอาแบบที่เธอทำให้พี่นั่นแหละ”

 

ซูมู่เฉิงทำหน้าแปลกใจ แต่ก็เดินไปตักโจ๊กร้อนๆ มาวางไว้ให้อาซิว แมวดำชะเง้อคอมอง หญิงสาวชะงักไปก่อนหัวเราะ แล้วเอาเบาะรองนั่งมาให้อาซิว ทำให้เจ้าแมวสามารถกินอาหารได้อย่างสะดวกยิ่งขึ้น

 

ซูมู่เฉิงกลับไปนั่งเดิม รออาซิวกินอาหารอย่างใจจดใจจ่อ อาซิวก้มลงกินอาหารไปคำหนึ่งแล้วรีบผละออกมา แล้วสองพี่น้องก็ได้เห็นของแปลก เช่นแมวทำหน้าเบี้ยวเป็นครั้งแรก

 

“เป็นอะไร ไม่อร่อย?” ซูมู่ชิวหรี่ตาใส่แมวดำที่เมินอาหารน้องสาวสุดรักสุดหวงของตน ซูมู่เฉิงมองๆ ดูครู่หนึ่งก็เหมือนนึกอะไรได้ กำมือทุบดังปุ

 

“ฉันเคยอ่านเจอว่าแมวไม่ชอบกินของร้อน” ซูมู่เฉิงเอ่ยกลั้วหัวเราะ “สงสัยจะลิ้นพองแล้วมั้งเนี่ย ฮ่ะๆ”

 

“อ้อ” ซูมู่ชิวเหงื่อตก เรื่องละเอียดอ่อนแบบนี้ต้องยกให้หญิงสาวจริงๆ

 

หลังจากรอจนโจ๊กหายร้อน สองพี่น้องก็เห็นแมวดำก้มลงไปกินอย่างเชื่องช้า ตลอดเวลาไม่มีโจ๊กหกออกมานอกชามเลยแม้แต่หยดเดียว ทำให้ซูมู่เฉิงมองด้วยความประหลาดใจ

 

วันนี้เป็นวันหยุด พี่น้องตระกูลซูจึงอยู่ติดบ้าน และได้เห็นพฤติกรรมหลายอย่างของอาซิว อาซิวมักจะไม่กวนพวกเขาก่อน ดูเหมือนจะชอบเดินเล่นไปเรื่อย และชอบนอนเป็นที่สุด

 

“อาซิวฉลาดมากๆ เลย” ซูมู่เฉิงชม ดูจะถูกใจสัตว์เลี้ยงตัวนี้เอามาก

 

แต่ซูมู่ชิวกลับกลุ้มใจเล็กน้อย

 

เขาคิดว่าอาซิวอาจมีเจ้าของแล้ว และบางทีคงพลัดหลงออกมาจากบ้าน ดูได้จากพฤติกรรมเป็นระเบียบของอาซิวที่เหมือนถูกฝึกมาอย่างดี พอเล่าความคิดให้น้องสาวของตนฟัง ซูมู่เฉิงก็เสนอง่ายๆ

 

“งั้นก็โพสต์ลงเน็ตก่อนสิคะ ถ้าไม่มีคนมาติดต่อ พวกเราก็รับอาซิวไว้เลยไง!”

 

ซูมู่ชิวเห็นด้วยกับน้องสาว หลังจากจัดการโพสต์รูปลงเน็ตเรียบร้อย ก็เห็นอาซิวนั่งทำหน้าตายอยู่ข้างจอ เหมือนมาดูว่าเขากำลังทำอะไร

 

ซูมู่ชิวหมันไส้กับท่าทางเหมือนเจ้านายของแมวนี่มาก จึงใช้นิ้วดีดปลายจมูกเล็กๆ นั่นเบาๆ อาซิวมองด้วยหน้าปลาตายเช่นเดิม ทำให้ซูมู่ชิวรู้สึกเหมือนกำลังถูกเจ้าแมวนี่หยามเหยียดทางสายตา

 

จากนั้น…ซีอีโอหนุ่มผู้โด่งดังก็ดึงแมวลงมาฟัดบนตักอย่างรวดเร็ว!

 

“ม้าว!”

 

อาซิวบิดตัวหลบไปมาบนตัก พยายามตะเกียกตะกายให้พ้นเงื้อมือมัจจุราจแต่ไม่อาจหนีไปได้จึงส่งเสียงร้องประท้วง รอจนซูมู่ชิวฟัดพุงแมวจนสาแก่ใจ ชายหนุ่มถึงได้ยอมปล่อยมือออกจากสัตว์เลี้ยงของตน

 

อาซิวที่เป็นอิสระรีบกระโดดแผล็วไปอยู่หลังซูมู่เฉิงที่เปิดประตูเข้ามาอย่างงุนงง เธอมองพี่ชายที่นั่งหน้านิ่งเสมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น หญิงสาวอุ้มอาซิวขึ้นมาแล้วเดินเขาไปหาซูมู่ชิว โดยไม่สังเกตเลยว่าแมวในอ้อมอกตนมีท่าทางอยากจะหนีสุดชีวิต

 

“พี่คะ ไหนๆ วันนี้เราก็ว่าง ไปหาซื้อของให้อาซิวกันไหมคะ” ซูมู่เฉิงเอ่ยถามอย่างร่าเริง

 

“ซื้อของ? เอาสิ!” พิจารณาเพียงครู่เดียวซูมู่ชิวก็ตอบตกลง ทั้งคู่ถือเป็นมือใหม่ด้านการเลี้ยงแมวขนานแท้ ซูมู่ชิวใช้โน้ตบุ๊คเสิร์ชดูของจำเป็นต่างๆ ที่ต้องใช้ หลังจากให้ซูมู่เฉิงจดรายการทั้งหมดแล้ว ทั้งสองคนพ่วงด้วยแมวอีกหนึ่งตัวก็ขับรถตระเวนซื้อของกันอย่างสนุกสนาน

 

การพาอาซิวมาซื้อของครั้งนี้ก็ทำให้ซูมู่ชิวพบสิ่งแปลกใหม่อีกครั้ง

 

เมื่อเขาซื้อของที่อาซิวไม่ชอบ แมวดำจะเอาอุ้งเท้ามาตีเขาเบาๆ หนึ่งที คราแรกซูมู่ชิวไม่สนใจ จนโดนหลายครั้งเข้า ชายหนุ่มก็เริ่มเอะใจ จึงหยั่งเชิงโดยการเอาของไปเก็บไว้ที่เดิม แมวดำเห็นดังนั้นก็ร้องอย่างพึงพอใจ ส่วนของอีกหลายอย่างเขาก็ไม่รู้ว่าอาซิวชอบหรือไม่ เพราะหลังๆ มันนอนฟุบลงกับขาหน้าอย่างเกียจคร้าน ปล่อยให้พวกซูมู่ชิวเลือกซื้อของกันต่อไปอย่างไม่สนใจ

 

กลับมาถึงห้อง ซูมู่เฉิงปล่อยอาซิวที่อ้าปากหาวลงที่หน้าประตู พี่น้องตระกูลซูช่วยกันจัดข้าวของโดยมีอาซิวนั่งแกว่งหางอย่างสบายอารมณ์อยู่ข้างๆ

 

ซูมู่ชิวย้ายบ้านแมวใหม่เอี่ยมเข้าไปไว้ในห้องนอนของเขา ซูมู่เฉิงดูเหมือนอยากให้อาซิวเข้านอนกับตนบ้าง แต่ไม่ว่าจะร้องเรียกหรือหลอกล่ออย่างไรอาซิวก็ไม่ยอมเข้าไปให้ห้องเธอเด็ดขาด

 

“ท่าทางเขาจะชอบพี่นะคะ” ในที่สุดซูมู่เฉิงก็ยอมแพ้ กล่าวอย่างเสียดาย

 

 

หลังจากซูมู่ชิวอาบน้ำเสร็จก็นั่งลงที่โต๊ะทำงาน เปิดโน้ตบุ๊คเพื่อจัดการงานที่ค้างเอาไว้ บนบ่ากว้างมีผ้าขนหนูพาดอย่างลวกๆ ไม่ใส่ใจ ขณะตรวจงานก็นั่งเช็ดผมไปด้วย

 

ชายหนุ่มมองจอแสดงผลอย่างพึงพอใจ หุ้นในมือเขานั้นไม่เลวเลยทีเดียว ซูมู่ชิวคุ้นเคยกับเรื่องพวกนี้ตั้งแต่ยังเป็นวัยรุ่น กล่าวได้ว่าซูมู่ชิวมีสายตาที่ดี และมีมันสมองที่ดียิ่งกว่า ไม่เช่นนั้นลำพังเงินที่ได้จากธุรกิจของเขาคงไม่พอที่จะซื้อหุ้นของเจียซื่อมาได้มากขนาดนั้น

 

ซูมู่ชิวทำงานหนักตั้งแต่เด็ก พอโตขึ้นหน่อยก็เริ่มสนใจในวงการธุรกิจ แม้จะมีเงินเก็บที่ได้จากพ่อแม่ที่เสียชีวิตไป แต่เพราะมีน้องสาวที่ต้องเลี้ยงดูอีกหนึ่งคน ซูมู่ชิวจึงไม่กล้าที่จะใช้เงินฟุ่มเฟือย เขานำเงินออกมาลงทุนอย่างระมัดระวัง โชคดีที่ประสบผลสำเร็จ

 

 

ทั้งชีวิตของชายหนุ่มมีแต่เรื่องงานและน้องสาว ไม่เคยมีเรื่องความรักมารบกวนให้รำคาญใจ ก่อนหน้าก็มีคนเข้ามาบ้างเหมือนกัน แต่ซูมู่ชิวในตอนนั้นสนใจแต่เรื่องทำงานหาเงิน ไม่มีเวลาสนใจความรัก ส่วนช่วงหลังแม้มีเวลา แต่คนที่เข้ามาก็เพื่อหาผลประโยชน์ ซึ่งซูมู่ชิวไม่สนใจผู้หญิงประเภทนี้เลยสักนิด

 

ซูมู่ชิวนั่งเหม่อจนกระทั่งรู้สึกหนักๆ จึงตื่นจากภวังค์ มองแมวดำที่ร้องม้าวบนตักของตน ดวงตาสีอำพันต้องแสงจากโคมไฟ สะท้อนประกายประหลาดในยามราตรี

 

แมวตัวนี้ประหลาดมาก เพียงแค่มองตาก็ราวกับสามารถรับรู้ว่ามันรู้สึกแบบใด ราวกับเป็นมนุษย์ ซูมู่ชิวอาจจะดูเหมือนประสาทหลอนไปเอง แต่เขารู้สึกเช่นนี้จริงๆ

 

ซูมู่ชิวเกาที่คางและใบหูของอาซิวเบาๆ เจ้าแมวร้องเหมียว เผลอขยับเข้าซุกฝ่ามือของซูมู่ชิว ชายหนุ่มโดนดาเมจกระแทกเข้าเต็มๆ จนมือสั่นไปหมด แต่ก็ยังทำหน้านิ่งเสมือนไม่รู้สึกรู้สาอะไร

 

หลังจากเดินมาให้เขาปรนนิบัติจนพอใจแล้ว อาซิวก็กระโดดลงจากตัก เดินนวยนาดจากไป ซูมู่ชิวรู้สึกขำปนเอ็นดู จากนั้นก็กลับมาสนใจงานในเครื่องโน๊ตบุ๊คของตนเองต่อ

 

เวลาผ่านไปอีกครู่ใหญ่ ซูมู่ชิวก็ปิดเครื่อง บิดไล่ความเมื่อยขบ จากนั้นก็เห็นสิ่งมีชีวิตที่สมควรจะนอนอยู่ในบ้านแมวอันใหม่ กำลังนอนขดตัวอยู่บนเตียงเขาอีกครั้ง

 

ซูมู่ชิวมองแมวดำที่ยึดเตียงเขาไปครึ่งหนึ่งนอนอย่างสบายอกสบายใจแล้วส่ายหน้า เขาหัวเราะหึๆ ใช้นิ้วชี้เคาะลงไปบนหัวกลมๆ ของอาซิว จากนั้นก็ล้มตัวลงนอนหลับไปด้วยกัน

 

 

 

 

 

 

 

TBC

 

หนทางการเปย์แมวของพี่มู่ยังอีกยาวไกล…

 

QZGS

[Fic QZGS] – Sweetaholic II (ซุนเยี่ย)

Fic 全职高手 – Sweetaholic II (ซุนเสียง x เยี่ยซิว)
#ซุนเยี่ย
note : โหยหาาาาาาา ความรักความเมตตาาาาาาาา
note2 : เค้กเวิร์สจริงๆ นะ…

 

 

 

ครั้งแรกที่จูบ ต่างฝ่ายต่างเงอะงะจนน่าขัน

 

แต่พอมีครั้งแรก ครั้งที่สอง ที่สามก็ตามมา จนไม่รู้แล้วว่านี่เป็นครั้งที่เท่าไหร่

 

พอผละออกห่าง ซุนเสียงมักจะได้ยินเยี่ยชิวงึมงำว่ารสนม จากนั้นก็ยื่นหน้าเข้ามาจูบอีกครั้ง

 

ตามจริงตัวเขาที่เป็นเค้กควรจะไม่ได้รับรสชาติใดๆ จากฟอร์ค แต่ยามที่แนบชิด ยามที่พัวพัน ซุนเสียงมักจะรู้สึกว่าเยี่ยชิวหวานมาก

 

และใช่ เขากำลังติดของหวาน

 

ของหวานที่มีชื่อว่าเยี่ยชิว

 

 

 

ซุนเสียงกำลังนั่งจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์ของตนอยู่

 

โดยปกติแล้ว เยี่ยชิวจะส่ง QQ มาหาเขาอาทิตย์ละครั้ง แต่ไม่แน่นอนว่าจะเป็นวันไหน

 

เยี่ยชิวไม่เคยส่งข้อความมาหาเขาในศุกร์หรือวันหยุด วันที่เจ้าตัวส่งมาบ่อยๆ คือวันจันทร์หรืออังคารที่ลูกค้าค่อนข้างน้อย

 

ใกล้จะได้เวลาแล้ว…

 

สมาธิทั้งหมดของซุนเสียงอยู่ที่ตัวเลขดิจิตอลตรงมุมขวาล่างของหน้าจอ เมื่อเลขเก้าเปลี่ยนเป็นเลขศูนย์ ทันใดนั้นหน้าต่างโปรแกรม QQ ก็ปรากฏข้อความของผู้ที่เขารอคอยมาทั้งอาทิตย์

 

จวินม่อเซี่ยว : เกอหิวแล้ว

 

ซุนเสียงรัวความเร็วมือพิมพ์ตอบกลับอย่างรวดเร็ว แต่พอจะกดส่งก็ชะงัก ปลายนิ้วนิ่งค้างอยู่บนแป้น

 

ถ้าเกิดตอบกลับไปทันที เยี่ยชิวก็รู้น่ะสิว่าเขาเฝ้าหน้าจออยู่ตลอด

 

ชายหนุ่มตัดสินใจรอ จวบจนเห็นว่าสมควรแก่เวลา จึงกดส่งข้อความที่พิมพ์เสร็จตั้งแต่ห้านาทีก่อนกลับไปให้เยี่ยชิว

 

อี๋เยี่ยจือชิว : ผมยังมีเทคนิคที่อยากเรียนจากคุณอีกนิดหน่อย ให้ผมไปหาเลยไหม?

 

ซุนเสียงถามแบบนี้เพราะทุกครั้งเขาจะเป็นฝ่ายไปรับเยี่ยชิวจากร้านเน็ตด้วยตัวเอง แม้เยี่ยชิวจะบอกปัดตลอด แต่พอเขายืนกรานมากๆ เข้า อีกฝ่ายก็ยอมปล่อยไปตามน้ำ

 

หลังจากเวลาผ่านไปพักหนึ่งก็ยังไม่มีข้อความจากเยี่ยชิว ปกติเยี่ยชิวไม่เคยตอบเขาช้าขนาดนี้ โดยเฉพาะเป็นเรื่องปากท้องด้วยแล้ว ซุนเสียงเริ่มกระวนกระวาย ไพล่คิดไปต่างๆ นาๆ ว่าเยี่ยชิวอาจกำลังติดธุระ ไม่ว่างมาตอบเขา หรืออาจจะโกรธที่เขาตอบช้าจนไม่อยากจะคุยด้วย?

 

อนิจจา ซุนเสียงลืมไปว่าช้าของเขาก็แค่ห้านาทีเท่านั้น คนอย่างเยี่ยชิวไม่มีวันคิดเล็กคิดน้อยกับเรื่องแค่นี้ แต่ในหัวของชายหนุ่มเต็มไปด้วยความคิดที่ว่าเยี่ยชิวจะโกรธเขาจนร้อนใจไปหมด กระบวนการคิดวิเคราะห์เสมือนหยุดทำงานชั่วคราว ชายหนุ่มตัดสินใจหยิบผ้าพันคอกับแว่นกันแดดมาสวม แล้วเดินข้ามไปยังอีกฟากของถนน

 

ชายหนุ่มเปิดประตูเข้าไป กวาดสายตามองทั่วร้าน ด้านหน้าเคาท์เตอร์ว่างเปล่า ไร้เงาของหญิงสาวที่ซุนเสียงมักจะเห็นเธอประจำอยู่กะนี้

 

“เสี่ยวเสียง?” เสียงอันคุ้นเคยดังขึ้นมาจากด้านข้าง ซุนเสียงรีบหันไปตามต้นเสียง คนในห้วงคำนึงใช้ดวงตาเฉื่อยชาเหมือนคนง่วงนอนมองเขา ในนั้นมีความประหลาดใจเล็กๆ แฝงอยู่ แขนสองข้างหอบกระป๋องเครื่องดื่มอยู่เต็มไปหมด

 

“อา…” ซุนเสียงกระชับอุปกรณ์ปลอมตัวของตนเอง มองอีกฝ่ายอย่างไม่รู้จะพูดอะไรดี

“รอเกอแปบนึงนะ เดี๋ยวเอาไปส่งลูกค้าก่อน”

 

ว่าแล้วเยี่ยชิวก็หายตัวไปอีกด้าน ซุนเสียงยืนเก้ๆ กังๆ อยู่ที่เดิม สายตาจากรอบด้านทิ่มแทงจนรู้สึกอึดอัด ครู่หนึ่งเยี่ยชิวก็เดินกลับมา ซุนเสียงถอนหายใจเฮือก รู้สึกผ่อนคลายลงทันที

 

“วันนี้คงไปไม่ได้แล้วล่ะ คนที่ปกติเข้ากะนี้ไม่อยู่น่ะ เกอเลยต้องมาเข้าแทน” เยี่ยชิวเอนตัวพิงเคาท์เตอร์ด้วยท่าทางสบายๆ ซุนเสียงได้ยินก็หน้าร้อน รีบบอกปฏิเสธอย่างรวดเร็ว

“ใครบอกว่าผมมาหาคุณ!”

 

เยี่ยชิวเลิกคิ้ว ไถ่ถามโดยไร้คำพูด

 

“ผม…ผมจะมาเล่นเน็ตต่างหาก!” ถ้อยคำหลุดออกมาโดยไม่ผ่านสมอง ซุนเสียงรู้สึกว่าใบหน้าร้อนผ่าวกว่าเดิมเมื่อเผชิญกับสายตารู้ทันแต่ไม่ได้เปิดโปงออกมาของอีกฝ่าย เยี่ยชิวนั่งลงตรงที่ประจำ จากนั้นก็จัดการเปิดเครื่องตามความต้องการของซุนเสียง

 

“ขอบัตรประชาชนด้วย”

“…”

 

เมื่อจัดแจงสิ่งต่างๆ เรียบร้อย เยี่ยชิวก็ส่งบัตรประชาชนคืนให้เขา เดินนำเขาไปยังมุมมืดของร้านที่ไม่ค่อยมีผู้คน ตบลงบนคอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่งสองสามที

 

“เครื่องนี้แหละ ไม่ต้องห่วง ไม่มีใครเห็นหรอก เกอไปทำงานก่อนล่ะ”

“เห็นผมเป็นเด็กหรือไง!” ซุนเสียงถลึงตาใส่ แล้วก็ได้เสียงหัวเราะแผ่วกลับมาเบาๆ จากนั้นเยี่ยชิวก็เดินกลับไปยังเคาท์เตอร์เช่นเดิม

 

ซุนเสียงมองซ้ายมองขวา เห็นว่าไม่มีใครจริงดังว่าก็ถอดแว่นตากับผ้าพันคอออก จากมุมนี้ ไม่รู้จงใจหรือไม่ ซุนเสียงมองเห็นบริเวณที่เยี่ยชิวอยู่ได้อย่างชัดเจน

 

ดวงตาของเยี่ยชิวจับจ้องอยู่บนหน้าจอ มือยังคงพรมลงบนคีบอร์ดอย่างรวดเร็ว ริมฝีปากคาบบุหรี่ไว้อย่างหมิ่นเหม่ ซุนเสียงมองเหม่อ รู้ตัวอีกทีตอนเห็นผู้ชายคนหนึ่งเดินเข้ามาหน้าเคาท์เตอร์

 

ทั้งคู่พูดคุยอะไรกันอีกสองสามประโยค เยี่ยชิวก็หัวเราะ ซุนเสียงมองนิ่ง หว่างคิ้วกดลึกลงเมื่อเห็นใครคนนั้นฉวยโอกาสตอนเยี่ยชิวเผลอแอบลูบมือเรียวสวยไปหลายที

 

ไม่รู้ตัวเลยหรือไง!

 

ตลอดเวลาที่เยี่ยชิวเข้ากะ เหตุการณ์แบบนี้วนเวียนเกิดขึ้นอีกสองสามรอบ ยิ่งเวลาผ่านไปมากเท่าไหร่ สีหน้าซุนเสียงก็ยิ่งดูไม่ได้มากเท่านั้น

 

ที่จริงนี่ควรจะได้เวลานอนของนักกีฬาอาชีพแล้ว แต่หลังจากเห็นสิ่งที่เกิดขึ้น ซุนเสียงก็ยังคงนั่งอยู่ที่เดิมไม่ไปไหน

 

เยี่ยชิวนั่งอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งมีพนักงานในร้านอาสามาเปลี่ยนเวรแทน เจ้าตัวลุกบิดขี้เกียจทีหนึ่ง ดวงตาซึมกะทือหันมาสบเข้ากับซุนเสียงพอดี ชายหนุ่มสะดุ้ง ก่อนหันกลับไปทำทีเหมือนว่ากำลังเล่นคอมต่อ

 

ผ่านไปสักพักซุนเสียงก็แอบเหลือบมองไปที่เดิม คราวนี้เห็นเยี่ยชิวคุยกับหญิงสาวผมสั้นหน้าตาสะสวย ดูจากสีหน้าท่าทางคงสนิทสนมกันพอสมควร ซุนเสียงขมวดคิ้ว ความรู้สึกที่เหมือนก้อนเนื้อในอกถูกบีบช้าๆ จนปวดหนึบค่อยๆ ทวีความรุนแรงมากขึ้นทุกที

 

ดวงตาเรียวโศกบังเอิญหันมาสบตาเขาอีกครั้ง ไม่รู้ทำไมคราวนี้ซุนเสียงถึงไม่หลบ เขามองเยี่ยชิวเอ่ยลาสาวสวยคนนั้น แล้วสาวเท้าเนิบนาบมาทางเขา

 

“เหงาหรือ” เริ่มต้นด้วยประโยคกวนโมโห “อยากให้เกออยู่เป็นเพื่อนไหม”

 

ซุนเสียงไม่อยากรอให้ริมฝีปากบางเจื้อยแจ้วไปมากกว่านี้ เขากระชากคอเสื้ออีกฝ่ายลงมาใกล้ ดวงตาเยี่ยชิวเบิกกว้าง ก่อนจะใช้ความอุ่นนุ่มปิดกั้นไม่ให้มีสิ่งใดเล็ดลอดออกมา

 

ไม่หรอก ยังไม่พอ

 

เขาใช้ร่างตนเองและความมืดบดบังร่างเยี่ยชิวจากสายตาคนอื่นเอาไว้ ลิ้มรสความรู้สึกวาบหวามที่ก่อเกิดขึ้นมา มือสอดเข้าไปใต้เสื้อโค้ทของอีกฝ่าย สัมผัสได้ถึงอุณหภูมิของเยี่ยชิวผ่านเสื้อตัวในบางเบา ลูบไล้ตามแผ่นหลังและสีข้างอย่างเชื่องช้า ราวกับกำลังตั้งใจจดจำทั่วทุกตารางนิ้ว

 

ถึงกระนั้น

 

ก็ยังไม่พอ

 

เขาต้องการมากกว่านี้ เพียงแค่นี้ไม่อาจบรรเทาความรู้สึกอึดอัดไร้ที่มาที่ไปนี้ได้ ต้องสัมผัสมากกว่านี้ แนบชิดมากกว่านี้ ใกล้เสียจนลมหายใจหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน

 

 

“เยี่ยซิว!”

 

ร่างในอ้อมกอดเขาสะดุ้ง จากนั้นก็พยายามขืนตัวออกห่าง

 

แต่เขายังไม่อยากปล่อยมือ

 

“อื้อ…อื้อ” เยี่ยชิวส่งเสียงประท้วงในลำคอเมื่อถูกรุกรานอย่างจาบจ้วงอีกครั้ง ซุนเสียงมองสีหน้าเคลิบเคลิ้มของอีกฝ่าย

 

เขารู้ดี สิ่งที่เยี่ยชิวชอบไม่ใช่จูบของเขา แต่เป็นรสชาติของเขา

 

พอคิดถึงความจริงข้อนี้ ความอึดอัดที่เพิ่งคลายลงก็กลับมาบีบแน่นอีกครั้ง

 

“เยี่ยซิว หายไปไหนน่ะ!”

 

สิ้นเสียงตะโกน เยี่ยชิวก็ผลักเขาออกอย่างแรง ดวงตาของอีกฝ่ายหลุบลง ริมฝีปากบวมอิ่มเม้มเบาๆ ก่อนจะเอ่ยออกมา

 

“วันนี้เสี่ยวเสียงกลับไปก่อนเถอะ เกอมีธุระจะต้องทำ”

 

ซุนเสียงมองอีกฝ่ายเงียบๆ ค่อยๆ ปล่อยมือออกอย่างเชื่องช้า ใช้สายตาเจือแววตัดพ้อส่งไปให้อีกฝ่าย จากนั้นก็ลุกออกมาโดยปราศจากคำพูดใด

 

รู้ดีอยู่แล้ว เพราะเป็นอย่างนี้มาตลอด

 

 

ซุนเสียงมีความลับที่ไม่เคยบอกใคร

 

เขามีจูบแรกตอนอายุสิบแปด

 

 

ริมฝีปากสีเรื่อที่มักจะใช้คาบบุหรี่นุ่มและชุ่มชื้นเกินกว่าที่เคยคาดไว้

 

แพขนตายาวหนาระผิวแก้มขยับไหวเบาๆ เมื่อเขาส่งมอบสัมผัสหวานล้ำมากยิ่งขึ้น จมูกขนาดกำลังพอดี ใบหน้าเรียวได้รูป ซุนเสียงใช้ปลายนิ้วเกลี่ยเบาๆ ที่ข้างแก้มของอีกฝ่าย รู้สึกถึงความเนียนลื่นดุจกระเบื้องเคลือบชวนให้สัมผัสซ้ำแล้วซ้ำเล่า

 

ลูกแก้วสีดำขลับที่หลบซ่อนอยู่ใต้เปลือกตาค่อยๆ เผยออกมา ระยิบระยับแพรวพราวเหมือนมีน้ำเอ่อคลออยู่ด้านใน ชั่วขณะนั้น หัวสมองของชายหนุ่มพลันโล่งเปล่า

 

นับแต่นั้นมา ห้วงความคิดของชายหนุ่มที่ชื่อซุนเสียง ก็เต็มไปด้วยเรื่องของเยี่ยชิว

 

 

ซุนเสียงไม่ได้ติดต่อกับเยี่ยชิวอีก

 

ไม่สิ พูดให้ถูกคือยังติดต่อกันอยู่ แต่ซุนเสียงไม่ได้ออกไปพบเยี่ยชิวอีกแล้ว

 

ซุนเสียงมองข้อความเดิมๆ ที่ส่งมาจากคนเดิม ดั่งเช่นครั้งที่แล้วๆ มา แต่กลับให้ความรู้สึกขัดหูขัดตาอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

 

จวินม่อเซี่ยว : เสี่ยวเสียง เกอหิวจริงๆ นะ

 

รางกับสัมผัสได้ถึงน้ำเสียงออดอ้อนเล็กๆ ของอดีตมหาเทพแห่งกลอรี่ ซุนเสียงมีใบหน้าเรียบเฉย เคาะแป้นคีบอร์ดตอบกลับไปประโยคเดียว

 

อี๋เยี่ยจือชิว : ผมไม่ว่าง

 

จากนั้นซุนเสียงก็รีบปิดหน้าต่างโปรแกรมอย่างรวดเร็วเสมือนกลัวว่าถ้าเปิดไว้นานกว่านี้ คำตอบของเขาอาจจะเปลี่ยนไป

 

พอมาสำรวจดูดีๆ แล้ว ความรู้สึกของเขาที่มีต่อเยี่ยชิวมันมากขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน

 

รู้สึกดียามที่ถูกอีกฝ่ายสัมผัส รู้สึกดียามที่ถูกดวงตาคู่นั้นจ้องมองมา

 

เป็นความเปรมปรีย์ที่สลักลงไปถึงจิตใต้สำนึกโดยที่ซุนเสียงไม่รู้ตัว

 

ในเมื่อสัมผัสมากไปกว่านี้ไม่ได้ ซุนเสียงหักห้ามใจไม่ให้ตนออกไปเจอเยี่ยชิวอีก

 

ตอนแรกยังไม่รู้ก็ไม่เป็นไร แต่เมื่อรู้แล้ว เขาไม่คิดว่าตนจะปล่อยคนคนนั้นไปได้

 

เพราะถ้าหากได้แตะต้องคนคนนั้นอีกครั้ง ได้เติมเต็มความโหยหาจากคนคนนั้นอีกครั้ง

 

 

มันคงไม่จบที่จูบอย่างแน่นอน

 

 

 

 

 

 

 

TBC

เสี่ยวซุนงอนแล้วล่ะ

Q : ไหนบอกตอนนี้ตอนจบไง
A : ทางนี้ก็อยากจะถามเหมือนกันนั่นแหละ!

 

QZGS

[Fic QZGS] – Sweetaholic I (ซุนเยี่ย)

Fic 全职高手 – Sweetaholic I (ซุนเสียง x เยี่ยซิว)
#ซุนเยี่ย หลังจากนอนตายมาหลายวันก็ได้ฤกษ์ฟื้นคืนชีพ….
note : cakeverse ค่ะ อ่านเพิ่มเติมได้ที่ goo.gl/kQBcD2

 

 

 

 

ลมหายใจอุ่นรดรินระผิวของกันและกัน

 

ในห้องปิดทึบ สองร่างใกลัชิดในท่วงท่าสนิทสนมเกินธรรมดาสามัญ ร่างที่สูงใหญ่กว่ามาตรฐานเด็กวัยรุ่นทั่วไปตวัดรัดร่างอีกคนจนแทบจะจมหายลงไปในอก

 

ลิ้นเปียกชื้นขยับเกี่ยวพัน เสียงเฉอะแฉะที่ไม่อาจแยกแยะได้ว่าเป็นของใคร เสียงหัวใจดังกึกก้องอยู่ในอกจนได้ยินอย่างชัดเจนนี้ก็เช่นกัน

 

ริมฝีปากถูกความอุ่นนุ่มค่อยๆ แทะเล็มไปทีละเล็กละน้อย เชื่องช้าอ้อยอิ่งราวกับกำลังลิ้มรสของหวานชั้นเลิศ กลิ่นบุหรี่เจือจางในอากาศ กลับยิ่งกระตุ้นสัมผัสทั่วร่างให้ตื่นตัว

 

เยี่ยซิวเอียงองศาใบหน้าเพิ่มอีกเล็กน้อย มือเรียวโอบรั้งต้นคอของอีกฝ่ายเข้ามาใกล้ ใช้ปลายลิ้นกวาดเอาความหอมหวานในโพรงปาก หลับตาพริ้มอย่างเผลอไผล รสชาตินุ่มละมุนลิ้น หวานกำลังดี ไม่มากไปหรือน้อยจนเกินไป แต่ชวนให้อยากลิ้มลองอีกจนหยุดไม่ได้

 

อุณหภูมิร่างกายพุ่งขึ้นสูง เหงื่อเย็นๆ หลั่งรินลงมาจากปลายเส้นผม เยี่ยซิวละออกมากจากสิ่งที่กำลังพัวพัน ย้ายริมฝีปากไล่จุมพิตตามสันกราม เรื่อยไปถึงขมับชื้นเหงื่อ แล้วจูบซับเบาๆ

 

ความหวานนุ่มแผ่ซ่านในโพรงปาก ยากที่จะอดใจไหว เยี่ยซิวแลบลิ้นเลียตามพวงแก้ม ได้ยินเสียงคำรามต่ำๆ ดังข้างหู ก่อนจะถูกดึงกลับไปบดจูบอีกครั้ง

 

ไม่รู้นานเท่าไหร่ริมฝีปากทั้งสองคนถึงแยกออกจากกัน เยี่ยซิวเงยหน้าสบตาอีกฝ่าย ดวงตาเรียวโศกแฝงแววยั่วเย้า เอ่ยผสานเสียงหัวเราะแผ่ว

 

“เสร็จแล้วหรือ เกอยังไม่อิ่มเลย”

“…หน้าไม่อาย!”

 

เยี่ยซิวมองเจ้าเด็กที่ถลึงตาจ้องเขาเขม็ง แต่ใบหูแดงก่ำ เขาผลักอกซุนเสียงออกเบาๆ แผ่นอกตึงแน่นกลับส่งแรงต่อต้านผ่านออกมา แน่นอนว่าคนแรงน้อยนิดอย่างเขาย่อมไม่อาจสู้ได้

 

“เสี่ยวเสียง?”

 

ซุนเสียงนิ่งขึงผิดปกติ เยี่ยซิวจึงลองออกแรงขืนอีกหน่อย ผลลัพธ์คือถูกคนที่ถูกปรามาสว่าเด็กในใจรวบตัวเอาไว้เช่นเดิม โครงหน้าหล่อเหลาขยับเข้ามาใกล้ แล้วอ้าปากขบเม้มบนต้นคอขาว เยี่ยซิวผินหน้าหนีด้วยความจักจี้ แต่กลับกลายเป็นว่ายิ่งเปิดทางให้คนทำสะดวกยิ่งขึ้น

 

“เอาอีกแล้ว เกอไม่ใช่เค้กสักหน่อย”

 

ซุนเสียงไม่สนใจคำพูดนั้น ยังคงพรมจูบไปทั่วลำคอระหง ก่อนวนกลับมาบรรจบที่ริมฝีปากชุ่มฉ่ำอีกครั้ง ฝ่ามือสอดใต้เรือนผม ประคองดวงหน้าหมดจดขึ้นมามอบสัมผัสลึกล้ำ รับรู้ดีว่าสิ่งที่ดำเนินอยู่นี้ไม่ใช่ความรัก

 

 

ซุนเสียงไม่เคยเจอฟอร์ค และไม่คิดว่าเงาสะท้อนที่มองตอบกลับมาทุกวันจะกลายเป็นเค้ก

 

ที่เขารู้ก็เพราะว่ามีฟอร์คผอมแห้งแรงน้อยคนหนึ่งที่เจอกันแค่ครั้งแรกก็มาขอชิม

 

 

“นายเป็นเค้ก แล้วบังเอิญเกอก็เป็นฟอร์ค ดังนั้นขอชิมหน่อยสิ!”

 

เนิ่นนานกว่าซุนเสียงจะหาเสียงตนเองเจอ “…หา”

 

“เกอบอกว่านายเป็นเค้ก เกอเป็นฟอร์ค ขอชิมหน่อย!”

คราวนี้สติของซุนเสียงกลับมาครบถ้วน เขาตอบกลับไปด้วยเสียงอันดัง “จะบ้าหรือไง! มีที่ไหนมาขอกินกันง่ายๆ แบบนี้!”

 

เขาหวังอีกฝ่ายให้ล้มเลิกความคิดบ้าบอนี่ไปซะ แต่เยี่ยชิวดันนิ่งเงียบเหมือนขบคิดเรื่องราวอย่างจริงจัง พอเจ้าตัวคิดตกแล้ว จึงเงยหน้าขึ้นมาบอกเขา

 

“ถ้างั้น…แลกกับการที่เกอช่วยสอนเทคนิคของนักเวทสงครามเป็นไง?”

“ไม่เอา!”

 

เห็นซุนเสียงปฏิเสธกลับมาอย่างรวดเร็วโดยแทบไม่คิดเยี่ยซิวก็เหมือนจะผิดหวังเล็กน้อย จึงพยายามหว่านล้อมอีกสองสามรอบ แล้วก็ยอมล้มเลิก

 

ซุนเสียงไม่คิดจะยอมให้ใครกินทั้งนั้น โดยเฉพาะเยี่ยชิว

 

แต่แล้ว โลกของซุนเสียงก็เหมือนถูกเขย่าทั้งใบจนกระจัดกระจาย

 

เยี่ยชิวจะ…วางมือ?

 

ออกจากลีค? ออกจากกลอรี่?

 

อารมณ์หลายอย่างประเดประดังเข้ามา ตีกันจนมั่วซั่วไปหมด แต่ที่มีมากที่สุดคือความผิดหวัง

 

จะไม่ได้เจอเยี่ยชิวอีกแล้ว?

 

ซุนเสียงเม้มปาก มองใบหน้าด้านข้างที่นิ่งสนิทจนเดาอารมณ์ไม่ถูกของเยี่ยชิวแล้วพลันรู้สึกเคว้งขึ้นมา

 

เยี่ยชิวเดินออกจากสโมสรไปอย่างเด็ดเดี่ยว แผ่นหลังยืดตรง หยิ่งทระนงอย่างที่เคยเป็นมาเสมอ

 

เขาไม่เข้าใจว่าตนจะตามเยี่ยชิวออกมาทำไม

 

พอเห็นเยี่ยซิวกำลังจะหายไป ร่างกายของซุนเสียงก็ตอบสนองโดยอัตโนมัติ

 

“เยี่ย…เกอ!” ซุนเสียงลืมตัวตะโกนเรียก ใบหน้ายังมีอารมณ์สับสนปนเป แต่พอเยี่ยชิวหันกลับมา สบเข้ากับดวงตาที่ไม่รู้ว่าคิดสิ่งใดอยู่ ความลังเลก็หายวับ เหลือเพียงแต่ความแน่วแน่ “ที่พี่บอก ผมตกลง!”

 

 

ความสัมพันธ์คลุมเครือระหว่างหนึ่งเค้กกับหนึ่งฟอร์คเริ่มต้นเช่นนี้เอง

 

 

 

เยี่ยซิวเป็นฟอร์ค

 

เรื่องพวกนี้เขารู้ตั้งแต่จำความได้

 

และเพราะเป็นฟอร์ค จึงไม่สามารถรับรู้รสชาติของอาหารได้ เยี่ยซิวจึงไม่มีความอยากอาหารเสียเท่าไหร่ กินน้อยเสียยิ่งกว่าแมวดม โชคยังดีที่เขาไม่ได้ใช้พลังงานในการขยับตัวเยอะ วันๆ นั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์อย่างเดียว นั่นทำให้เยี่ยซิวผอมแห้งแรงน้อยยิ่งกว่าฟอร์คทั่วไปหลายเท่า

 

เยี่ยซิวเคยคิดเล่นๆ ว่า จะได้ลิ้มลองรสชาติเค้กหรือไม่ก็ไม่เห็นเป็นอะไร

 

แต่เมื่อเจอเค้กที่ถูกใจจริงๆ ดันต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง

 

ครั้งแรกที่เดินสวนกัน เยี่ยซิวก็ได้กลิ่นหอมลอยออกมาจากร่างของซุนเสียง รับรู้ได้ทันที่ว่าคนคนนี้เป็น ‘เค้ก’

 

เยี่ยซิวไม่ชอบเค้กที่หวานเกินไป หรือขมเกินไป ว่ากันตามจริงเขาก็เคยเจอเค้กอยู่หลายครั้ง ล้วนที่มีกลิ่นหวานจนเลี่ยน ดังนั้นเมื่อพบซุนเสียงจึงแปลกใจมากๆ

 

เพราะว่าเจ้าเด็กซุนเสียงดันมีกลิ่นของเค้กนมสดที่แตกต่างกันสุดกู่กับเปลือกนอกที่ฉูดฉาดของเจ้าตัว ทำให้อดที่จะสนใจไม่ได้

 

 

เยี่ยซิวคิดว่าตนกำลังติดของหวาน

 

แผ่นหลังแนบเข้ากับผนังเย็นเฉียบ ความหวานล้ำถูกส่งผ่านประสาทรับรส สองร่างขยับแนบชิดจนไม่มีแม้แต่แสงสว่างลอดผ่าน

 

อ่อนหวาน อบอุ่น รุ่มร้อน

 

เขาไม่เคยได้รับรสชาตินี้จากใครนอกจากซุนเสียง

 

สองมือเกาะเกี่ยวบ่ากว้างของอีกฝ่ายเอาไว้ ริมฝีปากยังคงถูกรุกรานผู้อ่อนวัยกว่า อีกฝ่ายผละออกชั่วครู่เพื่อเว้นจังหวะให้เขาหายใจ จากนั้นก็ประกบจูบลงมาอีกรอบ

 

บางครั้งซุนเสียงก็ดึงดันแบบแปลกๆ

 

จูบครั้งนี้เนิ่นนานกว่าครั้งแรกมากนัก เพื่ออาหารในวันนี้และวันข้างหน้าของตน เยี่ยซิวจึงปล่อยให้ซุนเสียงจูบจนพอใจ ว่ากันตรงๆ เพราะเขาเป็นฝ่ายได้ประโยชน์มากกว่าเสียอีก

 

เหมือนมัวเมาอยู่ในรสชาติอ่อนหวานอันเป็นเอกลักษณ์ เยี่ยซิวไม่เคยคิดว่าความสัมพันธ์ของพวกเขาจะดำเนินมาถึงขนาดนี้ไปได้

 

เยี่ยซิวใช้มือเรียวลากไล้บนแผ่นอกของอีกฝ่าย ความยืดหยุ่นที่สัมผัสได้ทำให้เพลินเพลินจนไม่อยากหยุด มือของเยี่ยซิววนรอบหน้าท้องอีกฝ่าย ใช้ปลายเล็บสะกิดตรงสะดือเบาๆ ร่างของซุนเสียงก็แข็งเกร็งขึ้นมาทันควัน

 

“หืม?”

 

เยี่ยซิวหลุดอุทานเมื่อรู้สึกบางสิ่งที่แข็งขืนดุดดันเขาอยู่เบื้องล่าง เมื่อเห็นใบหน้าแดงๆ ของซุนเสียงก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะหยอกเย้า

 

“เด็กๆ ก็แบบนี้แหละน่า”

“ไม่ใช่เด็กสักหน่อย!”

 

การกระทำดังกล่าวเรียกเสียงหัวเราะจากเยี่ยซิวอีกระรอก เยี่ยซิวยังไม่อยากแหย่เด็กน้อยจนเปลี่ยนจากอายมาเป็นโกรธเสียก่อน จึงค่อยๆ คุกเข่าลงบนพื้น ใช้มือดึงรั้งขอบกางเกงของอีกคนลงมา ปลดปล่อยความตื่นตัวของซุนเสียงให้ออกมาภายนอก

 

เห็นกี่ครั้งก็ยังพิศวง เด็กสมัยนี้โตไวจริงๆ

 

เขายื่นหน้าไปใกล้ ใช้ลิ้นเลียส่วนหัวเบาๆ ก่อนกลืนกินตัวตนของอีกฝ่ายจนคับแน่นโพรงปาก เยี่ยซิวใช้ลิ้นห่อหุ้มความร้อนที่ขยับขยายเอาไว้ พร้อมกับใช้มือรูดรั้งไปพร้อมกัน

 

“อึก”

 

ได้ยินเสียงหายใจติดขัดดังขึ้นมาจากด้านบน แต่เยี่ยซิวไม่สนใจ ใช้ลิ้นอ่อนนุ่มไล้เลียตั้งแต่ส่วนโคนจรดปลาย ไม่นาน ความปราถนาของซุนเสียงก็ระเบิดออกออกมาเต็มล้นจนเยี่ยซิวแทบจะกลืนกินไปไม่หมด

 

เยี่ยซิวใช้นิ้วโป้งปาดเอาของเหลวสีขุ่นที่เลอะตรงมุมปากออก แล้วแลบลิ้นเลียอย่างเชื่องช้า รสชาติของมันทั้งอ่อนนุ่มทั้งหวาน ราวกับครีมสดไม่มีผิด

 

ลำแขนถูกอีกฝ่ายฉุดรั้งขึ้นมา ริมฝีปากทาบทับลงไปอย่างไม่นึกรังเกียจ เยี่ยซิวอ้าปากออกเพื่อรับสัมผัสจากอีกคน ตอนแรกเขาเป็นคนเริ่มก่อนก็จริง แต่ผู้ที่เรียกร้องมากขึ้นเรื่อยๆ กลับเป็นซุนเสียง

 

ฝ่ามือร้อนระอุเลื่อนลงมายังขอบกางเกง ขณะที่จะลงต่ำไปกว่านั้นเยี่ยซิวก็เป็นฝ่ายถอยห่างออกมาเสียก่อน ซุนเสียงยืนนิ่ง กำมือที่ไร้ไออุ่นของใครอีกคนแล้วขมวดคิ้วถาม

 

“ทำไม?”

 

เยี่ยซิวเหลือบมองนาฬิกา ใช้มือจัดแต่งเสื้อผ้าให้เรียบร้อย ก่อนจะตอบกลับด้วยน้ำเสียงสบายๆ

 

“บอกแล้วไงว่าไม่ต้องสนใจเกอก็ได้ เกอไม่ใช่เค้กสักหน่อย มีรสชาติอะไรเสียที่ไหน”

 

พอพูดออกไปแล้วซุนเสียงกลับหน้านิ่วคิ้วขมวดกว่าเดิม

 

ทุกครั้งที่ทำแบบนี้ จะมีแค่เยี่ยชิวที่แตะต้องเขาอยู่ฝ่ายเดียวเสมอ ในขณะที่อีกฝ่ายไม่ยอมให้เขาได้สัมผัสเลยแม้สักครั้ง

 

ดูเหมือนเป็นการแลกเปลี่ยนที่ยุติธรรม เขาได้ปลดปล่อย ส่วนเยี่ยชิวได้กินเค้ก แต่ซุนเสียงก็รู้สึกไม่ชอบใจอยู่ดี

 

ไม่รู้ว่าเพราะจ้องนานเกินไปหรืออะไร เยี่ยชิวถึงได้เริ่มทำหน้าแปลกๆ ซุนเสียงถอนหายใจ มองมองเวลาก็พบว่าใกล้จะได้เวลางานของอีกฝ่ายจึงหยิบเสื้อโค้ทมาคลุมหัวเยี่ยชิว จากนั้นก็จับข้อมือบางเอาไว้

 

“ผมไปส่ง”

 

ได้ยินเสียงอืมดังลอดออกมาใต้เสื้อคลุมแล้ว ซุนเสียงก็จูงอีกฝ่ายออกมาจากห้องพักของตน ระหว่างทางพบเจอผู้คนประปราย แต่ก็ไม่มีใครทักถึงบุคคลปริศนาที่กัปตันของพวกตนพามาเลยสักคนเดียว

 

เริ่มแรกที่กัปตันพาคนแปลกหน้าเข้ามาบรรดาสมาชิกเจียซื่อต่างตื่นตกใจกันใหญ่ แต่นานวันเข้าก็เริ่มชิน เพราะฝ่ายนั้นมาแค่อาทิตย์ละครั้ง แถมกัปตันเขาก็ดูสดชื่นผ่องใสดี ทุกคนจึงพากันหลับตาข้างหนึ่ง

 

เมื่อเลยหน้าเจียซื่อเพียงแค่ครู่เดียวเยี่ยซิวก็มองซ้ายมองขวา เห็นว่าไม่มีใครก็ถอดเสื้อโค้ทส่งคืนให้ซุนเสียง มือเรียวที่หยิบเอาบุหรี่ขึ้นมาคาบไว้ โบกมือหยอยๆ ให้ผู้อายุน้อยกว่า

 

“ส่งเกอแค่นี้พอ ไปร้านเน็ตเดี๋ยวโม่งก็แตกหรอก!”

 

มองคนที่ปิดหน้าตามิดชิดก็นึกขัน ยังไม่ทันได้หันหลังเสื้อโค้ทที่พึ่งส่งคืนก็ถูกสะบัดคลุมรอบหัวเขาอีกครั้ง บุหรี่ถูกดึงออกจากปาก แทนที่ด้วยความนุ่มหยุ่นที่นาบลงมาเพียงครู่เดียวก็หายไป

 

ได้ยินเสียงพึมพำว่าเหม็นบุหรี่ จากนั้นเยี่ยซิวทำหน้าเหลอหลาเมื่อแท่งในมือของซุนเสียงถูกขยี้จนดับไป สุดท้ายก็ได้แต่หัวเราะเหอๆ หยิบมวนใหม่ขึ้นมาสูบแทนท่ามกลางสายตาขุ่นเคืองของชายหนุ่มรุ่นน้อง

 

ซุนเสียงยืนรอจนกว่าร่างของอีกฝ่ายจะหายเข้าไปในซิงซิน แล้วจึงหมุนตัวกลับมา หัวใจวูบโหวงเมื่อฝ่ามือว่างเปล่ายังรู้สึกได้ถึงอุณหภูมิร่างกายของอีกฝ่าย

 

 

 

ระหว่างพวกเขามีถนนเส้นหนึ่งกั้นอยู่

 

 

ทั้งที่ใกล้กันเพียงหนึ่งถนน

 

 

แต่กลับไกลแสนไกลจนสุดเอื้อมคว้า

 

 

 

 

 

 

TBC

 


 

ที่จริงเป็นวันช็อต แต่ว่ามันยาวเกินเลยขออนุญาตหั่นเป็นสองตอน ต่อเมื่อกาวมาค่ะ แงงง

ปล.อยากอ่านซุนเยี่ยจังเลย เสี่ยวซึนตัวน้อยของพี่ o<-<