หุบเขามังกรเป็นที่สถิตของเทพมังกรดำ
หนึ่งพันปีก่อนเทพมังกรดำหอบหิ้วทวนศึกคู่ใจ กรีธาทัพกำราบมารอสูรจนแตกพ่าย พวกมารต่างหวาดกลัวเข็ดหลาบ คุณนามความดีสะเทือนฟ้าดินครั้งนั้นทำให้เทพมังกรได้รับสมญานามว่าเทพแห่งสงคราม
ทั่วภพสวรรค์แซ่ซ้องสรรเสริญ เง็กเซียนฮ่องเต้จึงพระราชทานตำหนักเจียซื่อให้แก่เทพมังกรดำเป็นรางวัล อีกทั้งยังมอบหมายให้ปกครองผืนนภาฝั่งทิศบูรพา ต่อมาเทพอสูรจำนวนหนึ่งรวมตัวเป็นกบฏในภพสวรรค์ เทพมังกรดำจำต้องยกทัพไปปราบอีกครา แม้จะสามารถปราบปรามทัพกบฏได้สำเร็จ ทว่าสงครามก็สร้างผลกระทบให้แก่เทพมังกรเป็นอันมาก เทพมังกรจึงต้องจำศีลอยู่ในตำหนักอย่างยาวนานเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บ ภายหลังที่ตั้งของตำหนักจึงถูกเรียกขานกันว่าหุบเขามังกรเฉกเช่นทุกวันนี้
ทว่าหุบเขามังกรกลับเป็นสถานที่ที่เงียบเหงาไปสักหน่อย
บรรดาสัตว์ป่าและเทพเซียนอาศัยอยู่อย่างสงบเสงี่ยม เมื่อผู้เป็นนายยังคงอยู่ในสภาวะจำศีลมาเนิ่นนาน ข้ารับใช้ก็ไม่มีกระจิตกระใจจะรื่นเริง โดยรวมจึงพอฝืนพูดได้ว่าเงียบสงบดีเท่านั้น
แม้ร่างจะยังอยู่ในตำหนัก แต่หุบเขาแห่งนี้กลับมีม่านพลังสีทองอันกล้าแกร่งปกคลุมอยู่ทั่ว มันคือพลังส่วนหนึ่งที่เทพมังกรดำเหลือทิ้งไว้ก่อนเข้าสู่การจำศีล ทำให้ผู้ที่ไม่ได้รับอนุญาตไม่สามารถกล้ำกรายเข้ามาได้ บริวารของเทพมังกรต่างเฝ้ารอคอยถึงวันที่เทพสงครามผู้เกรียงไกรจะฟื้นตื่นขึ้นมาอีกครั้ง
กาลเวลาไหลผ่านไปอีกนับร้อยปี
ในที่สุดนัยน์ตาสีทองสุกสว่างก็ได้เปิดขึ้นมาอย่างเชื่องช้า
—–
เทพมังกรดำขยับตัวเล็กน้อย
มือขาวผ่องที่เดิมวางไว้บนหน้าอกถูกยกขึ้นมานวดศีรษะ ถึงตอนนี้เทพมังกรดำจึงเพิ่งสังเกตว่าเส้นผมสีเข้มดุจเปลือกไม้สนของตนบัดนี้ยาวระพื้นเสียแล้ว ภาพเหตุการณ์ก่อนหลับใหลฉายวาบผ่านในชั่ววินาที
เยี่ยซิวคือนามของเขา
นามของแม่ทัพแห่งแดนสวรรค์ นามของเทพมังกรผู้แข็งแกร่งเหนือผู้ใด
เหนือผู้ใดงั้นหรือ
เทพมังกรนึกขัน จับจ้องมือที่สั่นระริกของตนเอง
ด้วยอาการบาดเจ็บภายในที่สั่งสมมาเนิ่นนาน ด้วยมือคู่นี้แม้แต่จะยกทวนเชวี่ยเสียยังยกไม่ขึ้นเลยด้วยซ้ำ
แท้จริงในการออกศึกแต่ละครั้ง เยี่ยซิวใช่ว่าจะไม่บาดเจ็บเอาเสียเลย เพียงแต่ข้าศึกรุกไล่เข้ามาใกล้ทุกขณะ ทำให้เขาไม่ทันได้รักษาอาการบาดเจ็บของตนเองให้หายดีก็จำต้องออกไปรบอีกครั้ง เป็นเช่นนี้อยู่หลายครา ในที่สุดอาการบาดเจ็บเรื้อรังก็ส่งผลในศึกสุดท้าย ทว่าเขาก็เอาชีวิตรอดมาได้อย่างหวุดหวิด
เทพมังกรที่ได้รับบาดแผลฉกรรจ์แลกกับการทำหน้าที่ให้ลุล่วงได้รับเสียงยกย่องชื่นชมจากเหล่าทวยเทพ เมื่อถึงคราวที่เขาได้รับพระราชทานความชอบ เยี่ยซิวจึงทูลออกไปอย่างไม่ลังเล
“หม่อมฉันขอลาออกจากการเป็นแม่ทัพพะย่ะค่ะ”
ภายในบอบช้ำถึงขีดสุด เขารู้สภาพร่างกายตนเองดีว่าถึงขีดจำกัด ไม่สามารถที่จะนำทัพต่อกรพวกมารได้อีกต่อไป
เง็กเซียนฮ่องเต้เองก็ทรงทราบถึงความนัยของเขา จึงอนุญาตให้ลาพักได้อย่างไม่มีกำหนด ทั้งยังพระราชทานข้าวของล้ำค่ามากมายให้แก่เขาอีกด้วย จากนั้นเขาก็จำศีลไปนานนับพันปี ตื่นขึ้นอีกคราก็พบว่าตนฟื้นฟูกำลังกลับมาได้เพียงสามส่วนเท่านั้น
ทวนเชวี่ยเสียเป็นอาวุธที่สร้างมาเพื่อเขา และเกิดมาเพื่อเขาอย่างแท้จริง เมื่อครั้งเทพมังกรยังกล้าแกร่ง เขาพยายามเสาะหาอาวุธคู่มืออยู่นานแต่ไม่สามารถหาพบ จำต้องสร้างขึ้นมาเอง ด้ามหอกทำมาจากหินนิลกาฬในแดนเทพอสูร พู่ประดับทำมาจากขนกิเลนไฟ ตัวหอกใช้แร่จันทราที่ได้รับพระราชทานมาจากเง็กเซียนฮ่องเต้ เมื่อมีเขาย่อมมีเชวี่ยเสีย ร่วมต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่จนกลายเป็นคู่หูที่รู้ใจที่สุด ขนาดตนอ่อนแอถึงเพียงนี้ ทวนเชวี่ยเสียก็ยังยินยอมให้เขาจับ แม้จะไม่สามารถกวัดไกวเพื่อต่อสู้ได้แล้วก็ตาม
มังกรดำค่อย ๆ ได้สติขึ้นมาจากห้วงความคิดของตน
สู้ได้หรือไม่แล้วอย่างไร ในเมื่อความทรงจำเหล่านั้นก็เป็นเพียงอดีต ตอนนี้ตัวเขาเพิ่งจะมีกำลังเพียงแค่สามส่วน และต่อให้จำศีลไปอีกพันปี ก็ยังไม่แน่ว่ากำลังจะกลับคืนมาถึงห้าส่วนหรือไม่
เยี่ยซิวถอนหายใจอย่างปลดปลง ความรู้สึกสนุกยามออกรบแน่นอนว่าเขาย่อมนึกถึง แต่ไม่เสียดาย สายน้ำไม่ไหลย้อนกลับเช่นใด ชีวิตก็ต้องดำเนินต่อไปเช่นนั้น
เทพมังกรดำตัดสินใจแล้วว่าจะใช้ชีวิตต่อไปเช่นนี้เอง
—-
ผู้ที่ได้รับฉายาว่าเทพสงครามนอนเอกเขนกอยู่บนเตียงอย่างเกียจคร้าน
เทพรับใช้ที่ปกติจะทำความสะอาดอยู่ที่ตำหนักชั้นนอก เมื่อถึงกำหนดวันที่ต้องทำความสะอาดตำหนักชั้นในเปิดมาเจอภาพเทพมังกรกึ่งนั่งกึ่งนอนก็ตกใจเสียจนล้มตึง ผ่านไปกว่าครึ่งชั่วยามจึงได้สติและกุลีกุจอเข้ามารับใช้
“ท่านเทพต้องการสิ่งใดหรือไม่ขอรับ” เซียนตัวน้อยร่างสั่นงกเอ่ยอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ เทพมังกรท่านนี้เป็นที่เลื่องลือไปทั่วแดนสวรรค์ ต้องรับใช้ให้ดี!
กระนั้นมังกรหนุ่มก็โบกมือให้เซียนน้อยทำตัวตามสบาย เดิมเขาก็ไม่ชอบพิธีรีตองอะไรอยู่แล้ว
“หิวหรือยัง” เทพมังกรหันไปกล่าวกับทิศทางหนึ่ง เซียนน้อยเอียงหัวงุนงง มองตามสายตาของเทพมังกรก็พบงูเกล็ดสีขาวปลอดเลื้อยอยู่บนแขนของท่านเทพอย่างเชื่องช้า มันมองเขาด้วยตาใสแจ๋ว แลบลิ้นสองแฉกออกมาหนึ่งครั้ง
ท่านเทพมังกรเลี้ยงงูด้วยหรือ
เซียนน้อยฉงน แต่เมื่อเห็นสัญลักษณ์รูปดาวหกแฉกที่กึ่งกลางหน้าผากของเจ้างูก็คาดว่าคงเป็นอสูรรับใช้ของเทพมังกรกระมัง วกกลับมาที่ใบหน้าของท่านเทพผู้เป็นนายเหนือหัวก็ปรากฏรอยยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม เซียนน้อยจึงหน้าแดงและอดตำหนิตนเองที่สอดรู้สอดเห็นเกินไปไม่ได้
เยี่ยซิวจิ้มที่หัวของงูขาวเบา ๆ แล้วหัวเราะเมื่อเห็นมันไม่หลบ แต่ใช้ดวงตากลม ๆ มองกลับมาอย่างน้อยอกน้อยใจแทน
เขาพบงูขาวตนนี้พลัดหลงเข้ามาเมื่อหลายวันก่อน จากรอยตราสีครามที่หัวของมันคงจะเป็นอสูรรับใช้ของเทพเซียนตนใดในหุบเขาสักตน เขาไม่รู้ว่ามันเข้ามาถึงตำหนักได้อย่างไร ตอนพบกันครั้งแรกเจ้างูขาวแค่เลื้อยมาข้างเตียงของเขาเงียบ ๆ เมื่อเห็นเขาตื่นขึ้นมาเจอมันเจ้างูก็ดูตกใจมากทีเดียว แต่ไม่นานก็เข้ามาคลอเคลียด้วยท่าทางดีใจ นับจากนั้นทุก ๆ วันเขาจะตื่นมาแล้วมีงูขาวหนึ่งตัวอยู่เป็นเพื่อน
เขาเปิดสำรับที่เซียนน้อยนำมาให้ เทพไม่จำเป็นต้องทานอาหารมากอยู่แล้ว เยี่ยซิวทานไม่กี่คำก็วางตะเกียบลง เจ้างูน้อยหยุดกินส่วนของมัน หันมาจ้องเขม็ง
“หืม อะไรหรือเสี่ยวไป๋” เทพมังกรเรียกตั้งชื่อเจ้างูน้อยตามลักษณะของมัน อาจจะดูมักง่ายไปเสียหน่อย แต่เจ้าตัวน้อยก็ดูชอบใจดี
เสี่ยวไป๋เลื้อยมาพันมือเขา หันหัวผงกไปทางชามข้าวที่กินเหลือไว้
เยี่ยซิวยิ้มอย่างจนใจ แต่ก็ยอมใช้ตะเกียบคีบข้าวเข้าปากเพิ่มอีกหลายคำ เสี่ยวไป๋ดีใจอย่างยิ่ง เอาหัวมาถูไถกับแก้มเขายกใหญ่
“ท่านเทพมังกรขอรับ ข้ามาปรนนิบัติท่านอาบน้ำขอรับ”
หลังมื้อเย็นเซียนน้อยอีกตนก็ถืออ่างใบเล็กเข้ามาด้วยท่าทางนอบน้อม เสี่ยวไป๋ชูคอขึ้น ส่งเสียงฟ่อ ๆ ใส่ผู้มาใหม่ เยี่ยซิวโบกมือไล่กลับไป เขาเป็นเทพ อาบไม่อาบก็ไม่เห็นจะเป็นอะไร ไม่สกปรกเสียหน่อย แต่เมื่อเห็นท่าทางอยากรู้อยากเห็นของเสี่ยวไป๋แล้ว เยี่ยซิวจึงยอมพาเจ้างูน้อยไปดูห้องอาบน้ำเสียหน่อย
อ่างน้ำสร้างมาจากหินอ่อนขนาดใหญ่บรรจุน้ำจนเต็ม ควันสีขาวที่ลอยออกมาเป็นระยะทำให้ทัศนวิสัยดูขุ่นมัว เสี่ยวไป๋ชะโงกลงไปดูในอ่างน้ำ เหมือนอยากจะลงไปเล่นแต่ไม่กล้า
เยี่ยซิวหัวเราะขบขัน ปลดสายรัดสีเขียวอ่อนลง อาภรณ์สีเข้มเลื่อนหลุดจากไหล่เผยให้เห็นหัวไหล่กลมมน ขาเรียวยาวก้าวลงไปในอ่างน้ำทีละข้าง กลุ่มเส้นไหมสีเข้มสยายอยู่ในอ่างน้ำ
“มานี่สิ เสี่ยวไป๋” ร้องเรียกพร้อมยื่นมือไปให้เสี่ยวไป๋ที่ดูลุกลี้ลุกลนครู่หนึ่ง จากนั้นก็เลื้อยเข้ามาโดยใช้ลำตัวพันรอบแขนของเขา ส่วนปลายหางก็พันนิ้วของเขาเอาไว้
หนึ่งมังกรหนึ่งงูอาบน้ำกันมานานพอสมควร เยี่ยซิวก็ขึ้นจากผิวน้ำ ใช้ผ้าแพรบางเบาสีดำสวมทับ จากนั้นก็ปีนขึ้นเตียง หลับไปอย่างง่วงงุน
งูขาวเลื้อยขึ้นมาบนหน้าอกของเทพมังกร เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายหลับไปทั้งๆ ที่ผมยังเปียกชื้น สัญลักษณ์ดาวหกแฉกก็เรืองแสงสีครามขึ้นวูบหนึ่งแล้วจางหายไป พร้อมกับเส้นผมยาวที่กลับมาแห้งสนิทเช่นเดิม
วันนี้เยี่ยซิวตื่นด้วยอารมณ์แปลกใหม่
พวกเซียนตัวน้อย ๆ พวกนั้นไม่ขวัญกล้าขนาดมารบกวนการพักผ่อนของเขา ดังนั้นเสียงโหวกเหวกโวยวายย่อมมาจากแขกที่น่ารักน่าชังแน่แท้
เยี่ยซิวป้องปากหาวหวอดแล้วยันตัวขึ้นนั่ง เสี่ยวไป๋ที่หลับอยู่ในอกเสื้อก็ดูจะตื่นขึ้นมาเหมือนกัน เทพมังกรเยื้องย่างออกจากตำหนักอย่างเชื่องช้า ดูเอื่อยเฉื่อยเป็นที่สุด
“เอะอะโวยวายอะไร”
“เหล่าเยี่ย!”
เทพผู้มาเยือนที่กำลังพล่ามฉอด ๆ ชะงักตะโกนเรียกเขาเสียงดัง เขาหรี่ตาลงเล็กน้อย เจ้าเด็กนี่ยังหนวกหูไม่เปลี่ยน
“ข่าวลือที่บอกว่าเจ้าตื่นแล้วเป็นความจริงด้วย!! หลับไปนานเป็นบ้า! ตะไคร่ขึ้นหรือยังฮึ! ไหนๆ มาให้เกอดูสารรูปหน่อยซิ!” ร่างที่มีหูชี้ตั้งและหางปุกปุยส่ายไปมารีบเข้ามาล้อมหน้าล้อมหลังเขา เยี่ยซิวยิ้มเรื่อย ๆ มองเทพสุนัขที่ตระหนกตกใจ “เพ้ย! ยังยิ้มได้หน้าหมั่นไส้เหมือนเดิมไม่เปลี่ยนเลยนะ ในที่สุดเจ้าก็ตื่นเสียที นอนเพลินหรือไง”
“อืม” เขารับคำง่าย ๆ “นอนเพลินไปหน่อย”
“เพ้ย ๆ เจ้าไม่ใช่เยี่ยซิวตัวจริง!” เจ้าหมาตาโต จากนั้นก็มองเขาขึ้น ๆ ลง ๆ หลายรอบ แล้วเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเสียงแฝงความตื่นตระหนก “พลังของเจ้า…”
จำศีลไปพันปียังไม่หายดี นี่บาดเจ็บหนักถึงขั้นไหนกันแน่
“ไม่ต้องห่วงเกอหรอก!”
“ใครห่วง!” เทพสุนัขขี้ห่วงยังคงไม่ยอมรับ “เอานี่ไปเลย นี่ด้วย นี่ นี่ แล้วก็นี่”
สมุนไพรบำรุงถูกยัดเยียดจากหวงเส้าเทียนเสียจนเต็มไม้เต็มมือมังกรหนุ่ม เขาเงยหน้ามองหวงเส้าเทียนที่ยืดอก ทำหน้าตาเหมือนกำลังบอกว่า ชมสิ ชมข้าสิ
“เยอะแยะขนาดนี้ ไม่ใช่ไปขโมยหวังต้าเหยี่ยนมาหรอกหรือ?”
“เพ้ย ๆ ๆ ใครจะไปหน้าไม่อายอย่างเจ้า! ตาแก่หน้าไม่อาย! ข้าอุตส่าห์ไปหามาอย่างยากลำบาก ฮึ ต้องบุกน้ำลุยไฟผ่านอุปสรรคอะไรมาตั้งมากมาย! ข้าน่ะ—”
“อ้อ งั้นเกอขอบใจมาก” เยี่ยซิวกล่าวง่าย ๆ เพื่อตัดประโยคที่ดูจะยืดยาวได้มากกว่านี้ของเทพสุนัข ที่จริงเจ้าหนูนี่มีน้ำใจเอาสมุนไพรมาให้เขา ไม่ใช่ร้องเอาแต่ท้าสู้เหมือนสมัยยังเยาว์ก็ดีมากแล้ว
“ฮึ่ม รู้ก็ดีแล้ว เอ๊ะ นั่นอะไรยุกยิก ๆ ในอกเจ้าน่ะ!” เทพสุนัขร้องไม่ทันขาดคำ งูตัวยาวสีขาวพิสุทธิ์ก็ค่อยๆ โผล่หน้าขึ้นพ้นรอยแยกของเนื้อผ้า ดวงตากลมจ้องมองไปยังฝ่ายตรงข้ามอย่างนิ่งสงบ
“งู? เดี๋ยวนี้เจ้าเลี้ยงงูด้วยหรือ อสูรรับใช้นี่นา ธาตุน้ำเสียด้วย อ๊ะ จะว่าไปก็ดูคุ้นตาอยู่นะ” หวงเส้าเทียนพูดรัวเร็ว
“เจ้ารู้จัก?”
นั่นทำให้เทพมังกรต้องมาระหกระเหินในป่าที่ไม่เคยมีความคิดจะมาสำรวจเลยสักเสี้ยวเดียว
“นี่น่ะ เป็นอสูรรับใช้ของเจ้านั่นไง! เทพธารานั่นน่ะ!”
“เทพธาราหรือ?”
“เจ้าต้องระวังไว้นะ! อุ๊บ ข้าพูดมากกว่านี้ไม่ได้หรอก นึกถึงรอยยิ้มเจ้านั่นแล้วหนาว ๆ อย่างไรบอกไม่ถูก…”
“อ้อ เทพธาราผู้นั้นอยู่ที่ใดหรือ”
หวงเส้าเทียนมองเขาด้วยสายตาแปลกประหลาด
“เจ้านั่นน่ะ….
…ก็อยู่ด้านล่างหุบเขามังกรไม่ใช่หรือไร”
ใช่ เพียงประโยคเดียวเท่านั้น…เยี่ยซิวจึงต้องเดินวนอยู่ในป่าเป็นเวลากว่าสองชั่วยาม
ไม่ว่าจะทางไหนก็เหมือน ๆ กันหมดมิใช่หรือ? เหตุใดเมื่อสุ่ม ๆ ไปสักทางก็วนกลับมาที่เดิมได้?
ไม่รู้ว่าฟ้าดินเป็นใจหรือก่อนหน้าเขาถูกฟ้าดินลงโทษกันแน่ บัดนี้เมื่อเขาเดินตามลำธารมาเรื่อย ๆ ก็พบว่าลำธารหลายสายของหุบเขาแห่งนี้มาบรรจบกันเป็นแม่น้ำขนาดใหญ่ ตรงกึ่งกลางมีตำหนักขนาดใหญ่ที่สร้างจากผลึกแก้วทอประกายสีฟ้าจางสมชื่อ
ตำหนักพิรุณสีคราม
เยี่ยซิวคิดว่าตนอาศัยอยู่เพียงผู้เดียวในหุบเขามาโดยตลอด ไม่นับเทพบริวารที่ถือเป็นคนของเขาเช่นเดียวกัน หากไม่มีหวงเส้าเทียน ผ่านไปอีกร้อยปีก็ไม่แน่ว่าเขาจะทราบหรือไม่
เยี่ยซิวได้ยินเสียงอ่อนหวานดังแผ่วมาจากที่ไกล ๆ เสียงนั้นหวีดหวิวคล้ายเสียงร่ำไห้ของหญิงสาว หากแต่อ่อนโยนดุจสายน้ำ และเต็มเปี่ยมไปด้วยความอารมณ์คิดคำนึง
ร่างหนึ่งนั่งอยู่บนโขดหิน มือทั้งสองข้างจับขลุ่ยใบไม้ที่แนบริมฝีปากอย่างสง่างาม ใช้เพียงแค่ลมที่ปล่อยออกมาบรรเลงบทเพลงได้อย่างน่าอัศจรรย์ ดวงตาหลับพริ้มราวกับกำลังดื่มด่ำกับห้วงเวลาที่ถูกสร้างขึ้น ไม่มีผู้ใดสามารถรุกล้ำเข้าไปได้
เยี่ยซิวรอจนเสียงเพลงเงียบลงแล้วจึงย่างเท้าเข้าไป เป็นจังหวะเดียวกับที่ชายผู้นั้นลืมตาขึ้นมา
รอยยิ้มนุ่มนวลแต่งแต้มอยู่บนใบหน้า ดวงตาเรียวรีหยีโค้งลง กล่าวต้อนรับบุคคลที่เขารอคอย
รอมาเนิ่นนาน…นานเหลือเกิน…
“ยินดีต้อนรับสู่ตำหนักของข้า ท่านเทพมังกร”